ระเบียงรถใหม่
มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ
มหกรรมยานยนต์ปารีส
ทุกๆ ปีในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นฤดูใบไม้ร่วงของทวีปยุโรป จะมีงานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" หนึ่งรายการ ที่ "ฟอร์มูลา" ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องส่งทีมงานไปทำข่าว เพื่อนำเรื่องราวที่น่าสนใจมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์"มหกรรมยานยนต์ต่างประเทศ"
งานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" ที่ว่านี้ สลับผลัดเปลี่ยนกันจัด ระหว่างค่ายเยอรมันกับค่ายฝรั่งเศสนั่นคือ ในปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ จะเป็นคิวของ INTERNATIONALE AUTOMOBIL-AUSSTELLUNG หรือ "มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท" ซึ่งจัดกันที่มหานครฟรังค์ฟวร์ทในเยอรมนี ส่วนปีคริสต์ศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคู่อย่างปีนี้ ก็จะเป็นคิวของ MONDIAL DE L'AUTOMOBILE หรือ "มหกรรมยานยนต์ปารีส" ซึ่งจัดกันที่มหานครปารีส เมืองหลวงของฝรั่งเศส
ปีนี้ คณะของเราเดินทางไปเหยียบพื้นดินของปารีสเกือบ 10 คน และปักหลักอยู่ที่โรงแรมระดับ 3 ดาวใกล้ๆย่าน มองมาร์ตร์ (MONMARTRE) แหล่งรวมของบรรดาศิลปินที่ยังชีพด้วยการเขียนภาพ การเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน "มหกรรมยานยนต์ปารีส" เป็นการเดินทางตัดผ่านศูนย์กลางของตัวเมือง จากด้านเหนือไปยังด้านใต้ แถมเป็นการเดินทางในช่วงเวลาที่การจราจรคับคั่ง ดังนั้นวิธีดีที่สุด รวดเร็วที่สุด และประหยัดเงินในกระเป๋าที่สุด ก็คือ เลือกใช้บริการของรถไฟใต้ดิน หรือที่ชาวปาริเซียนเรียกกันว่า เมตโร (METRO)
ใกล้ๆ โรงแรมที่พักของเรา มีสถานีรถไฟใต้ดินอยู่สถานีหนึ่ง มีชื่อว่า อังแวร์ส (ANVERS) เรามุดลงดินที่สถานีนี้ นั่งรถไฟใต้ดินสาย 2 (สายสีน้ำเงิน) ไปลงที่สถานี ปิกาลล์ (PIGALLE) แล้วต่อสาย 12 (สายสีเขียว) ไปโผล่ขึ้นจากดินที่สถานี ปอร์เตอ เดอ แวร์ซายล์ล์ส์ (PORTE DE VERSAILLES) เดินไปอีกไม่กี่สิบก้าวก็ถึงสถานที่จัดงาน ซึ่งเป็นศูนย์นิทรรศการขนาดใหญ่ มีชื่อว่า ปารีส เอกซ์โป (PARIS EXPO)
มหกรรมยานยนต์ปารีส ปีนี้ จัดกันในช่วงเวลา 16 วัน คือ ระหว่างวันเสาร์ที่ 30 กันยายน จนถึงวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม โดยที่ 2 วันก่อนหน้านั้น คือ วันพฤหัสบดีที่ 28 และวันศุกร์ที่ 29 กันยายน จัดเป็นวันพิเศษสำหรับผู้สื่อข่าว หรือที่เรียกกันว่า PRESS DAY
สถานที่จัดงานประกอบด้วยอาคารทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่รวม 8 อาคาร แต่เป็นอาคารที่แสดงสินค้ารถยนต์นั่งเพียง 4 อาคาร คือ อาคาร 1/3/4 และอาคาร 5/2 (อาคารหลังสุดท้ายนี้เป็นอาคารใหม่ เพิ่งเปิดใช้งานในปีนี้เป็นปีแรก) ในแต่ละอาคาร มีรถยนต์ยี่ห้ออะไร มีรถอะไรใหม่ๆ มีอะไรน่าสนใจ โปรดพลิกไปอ่านได้ ใน 16 หน้าถัดจากนี้ แล้วพบกันอีกครั้งในเดือนหน้า ด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจของบรรดา "รถแนวคิด" ที่ปรากฏตัวในงานนี้
ซีตรอง เซ กัตร์ ปิกัสโซ
เนื่องจากเป็นงานในบ้าน ค่าย "จ่าโท" จึง "เต็มที่" กับงานนี้ โดยนำผลงานใหม่ๆ ออกแสดงหลายชิ้น ทั้งรถตลาด และรถแนวคิด ที่เห็นในภาพ 12-13 เป็นรถตลาดอนุกรมใหม่ล่าสุดมีชื่อว่า ซีตรอง เซ กัตร์ปิกัสโซ (CITROEN C4 PICASSO) เป็น MPV หรือ รถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่ขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มจากรถซาลูน/คูเป ซีตรอง เซ กัตร์ (CITROEN C4) ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปลายปี 2004 จุดเด่นในส่วนของตัวถัง และน่าจะเป็นจุดขายสำคัญของรถอนุกรมใหม่นี้ คือ พื้นที่กระจกหน้าต่าง และหลังคา ที่กว้างขวางถึง 6.4 ตารางเมตร ออกจำหน่ายแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วยค่าตัวระดับ 21,000-30,350 ยูโร
ซีตรอง เซ กัตร์ ดับเบิลยูอาร์ซี
ค่าย "จ่าโท" คว้าตำแหน่งแชมพ์โลกผู้ผลิตรถแรลลีมาแล้ว 3 ปีติดต่อกัน ในปี 2003-2005 ด้วยรถ ซีตรอง ซารา (CITROEN XSARA) ส่วนที่เห็นในภาพ 14 เป็นรถแรลลีรุ่นใหม่ ที่จะลงสนามในปี 2007ตัวถังยาว 4.275 ม. และกว้าง 1.800 ม. พัฒนาจากตัวถังของรถรุ่นสามัญ โดยเพิ่มเติมอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการแข่งแรลลีชิงแชมพ์โลก ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อด้วยพลังจากเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 315 แรงม้า ที่ 5,500 รตน.ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์กึ่งอัตโนมัติ 6 จังหวะ
ซีตรอง เซ-เมติสส์
ค่าย "จ่าโท" ทำรถแนวคิดตระกูล "เซ" มาแล้วหลายคัน คันล่าสุด คือ ซีตรอง เซ-มาติสส์ (CITROEN C-METISSE) ซึ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเป
4 ประตู 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยระบบพันทาง (METISSE ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่า HYBRID ในภาษาอังกฤษ) โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 6 3.0 ลิตร 208 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขับล้อหลังจำนวน 2 ชุด แต่ละชุดให้กำลัง 20 แรงม้าและติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่เปลี่ยนจังหวะเกียร์ด้วยมือก็ได้สามารถทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยแค่ 6.5 ลิตร/100 กม. และปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 174 กรัม/กม.
เปอโฌต์ 908 แอร์เซ
ค่าย "สิงห์เผ่น" นำรถแนวคิดออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ 2 คันคันที่หรูหราอลังการ เห็นแล้วอดใจไม่มองซ้ำไม่ได้ คือ เปอโฌต์ 908 แอร์เซ (PEUGEOT 908 RC) ในภาพ 16-17 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 4 ประตูซาลูน 4 ที่นั่งระดับสุดหรู ตัวถังยาว 5.125 ม. กว้าง 2.155 ม. (รวมกระจกมองข้าง) และสูง 1.370 ม. ออกแบบโดยมีเจตนาเพื่อให้ดูว่ามีขนาดโตกว่าที่เป็นจริง ใช้ระบบวางเครื่องหลัง/ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 12 สูบ 5.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 700 แรงม้าและติดตั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้สูงกว่า 300 กม./ชม.
เปอโฌต์ 908
ค่าย "สี่ห่วง" สามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งรถทางไกลเลอ มองส์ 24 ชั่วโมง ในปี 2006 มาแล้ว ด้วยรถแข่งเครื่องยนต์ดีเซล เอาดี อาร์ 10 (AUDI A10) จึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่ค่ายอื่นๆ จะทำบ้าง อย่างที่เห็นในภาพ 18 คือ เปอโฌต์ 908 (PEUGEOT 908) รถแข่งเครื่องยนต์ดีเซลที่ค่าย "สิงห์เผ่น" จะส่งเข้าร่วมการชิงชัยในการแข่งขันประจำปี 2007 นี้ และเครื่องยนต์ที่ใช้ ก็คือ เครื่องเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 12 สูบ 700 แรงม้าที่ติดตั้งในรถแนวคิด เปอโฌต์ 908 แอร์เซ นั่นเอง
เปอโฌต์ 207 เอปืร์
เปอโฌต์ 207 เอปืร์ (PEUGEOT 207 EPURE) ในภาพ 19 คือรถแนวคิดอีกคันหนึ่ง ที่ค่าย "สิงห์เผ่น" นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุน 2 ประตู 4 ที่นั่งและเป็นต้นแบบของรถตลาด เปอโฌต์ 207 เซเซ (PEUGEOT 207 CC) ที่ค่ายนี้จะนำออกจำหน่ายในปี 2007 นี้ อย่างไรก็ตาม มีอยู่สิ่งหนึ่งในรถแนวคิดคันนี้ ที่รับประกันได้ว่า จะไม่มีโอกาสได้พบได้เห็นในรถตลาดรุ่นที่ว่า ก็คือ ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 70 กิโลวัตต์ ซึ่งรับพลังงานไฟฟ้าจากหม้อแบทเตอรี ลิเธียม-อีออน (LITHIUM-ION) ที่รับพลังงานจาก FUEL CELL หรือ เซลล์เชื้อเพลิง ที่ค่าย เปอโฌต์-ซีตรอง พัฒนาขึ้นเอง อีกทอดหนึ่ง
เรอโนลต์ เนปตา
ค่าย "เรอโนลต์" ยืนยันความเป็น "หมายเลข 1" ของเมืองน้ำหอมโดยนำรถแนวคิดออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ถึง 3 คัน และคันที่ชวนให้ระทึกใจที่สุด คือ เรอโนลต์ เนปตา (RENAULT NEPTA)ในภาพ 20-21 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุน 4 ที่นั่งขนาดใหญ่ ตัวถังยาว 4.995 ม. กว้าง 1.955 ม. และสูง 1.330 ม. มีจุดเด่นสะดุดตาอยู่หลายจุด รวมทั้งแผงด้านข้างของตัวถังที่ออกแบบเป็นชิ้นเดียวกับฝากระโปรงหน้าหม้อ และสามารถยกเปิดขึ้นได้เหมือนประตูแบบปีกนก เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังจากเครื่องยนต์ไบเทอร์โบ DOHC วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 420 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
เรอโนลต์ ทแรฟฟิค พาสเซนเจอร์
นอกจากรถแนวคิด ยักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมยังใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถตลาดรุ่นใหม่ๆ อีก 2-3 รุ่น รวมทั้งที่เห็นในภาพ 22 คือ เรอโนลต์ ทแรฟฟิค พาสเซนเจอร์ (RENAULT TRAFFIC PASSEN GER) รถตู้แบบพิเศษซึ่งออกแบบให้มีห้องโดยสารที่นั่งสบายเหมือนรถยนต์นั่ง ดัดแปลงจากรถตู้ เรอโนลต์ ทแรฟฟิค ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปลายปี 2001 มีตัวถัง 2 ขนาด คือ ตัวถังยาว 4.780 ม. กับตัวถังยาว 5.180 ม. และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 4 ขนาดทั้งเครื่องยนต์เบนซิน และเครื่องยนต์ดีเซล
เรอโนลต์ โกเลโอส คอนเซพท์
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอมนำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ คือ เรอโนลต์ โกเลโอส คอนแซพท์ (RENAULT KOLEOS CONCEPT) ในภาพ 23-24 เป็นผลงานจากความร่วมมือกับ ซัมซุงมอเตอร์ส (SAMSUNG MOTORS) แห่งเกาหลีใต้ ที่ เรอโนลต์ เป็นเจ้าของ และเป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ผลิตในเมืองโสม ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในปี 2007 โดยติดยี่ห้อ ซัมซุงและในปี 2008 โดยติดยี่ห้อ เรอโนลต์ รถแบบเดียวแต่ 2 ยี่ห้อนี้ จะใช้เทคโนโลยีระบบขับ 4 ล้อ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกับรถ นิสสัน เอกซ์-ทเรล (NISSAN X-TRAIL) และติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ขนาด 2.0 ลิตร ซึ่งก็เป็นผลงานของ นิสสัน เช่นกัน ในรถคันต้นแบบ เครื่องยนต์ดังกล่าวนี้ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า
เรอโนลต์ ทวิงโก คอนเซพท์
รถแนวคิดคันที่ 3 ที่ยักษ์ใหญ่เมืองน้ำหอม นำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ เรอโนลต์ ทวิงโก คอนเซพท์ (RENAULT TWINGO CONCEPT) ในภาพ 25-26 เป็นต้นแบบของรถตลาด เรอโนลต์ทวิงโก รุ่นใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในฤดูร้อนปี 2007 แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1993 โดยจะทำทั้งรถพวงมาลัยซ้าย และรถพวงมาลัยขวา (รุ่นเดิมมีแต่รถพวงมาลัยซ้าย) สำหรับรถคันต้นแบบที่ออกแสดงในงานนี้ อยู่ในตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ยาว 3.600 ม. กว้าง 1.725 ม. และสูง 1.410 ม. ติดตั้งเครื่องยนต์ เทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง 100 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ดาซีอา โลกาน เอมซีวี
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 76 เมื่อเดือนมีนาคม 2006 ดาซีอา (DACIA) ผู้ผลิตรถยนต์ของโรมาเนีย ซึ่งมี เรอโนลต์ เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.3 นำรถ ดาซีอา โลกาน สเตปเป (DACIA LOGAN STEPPE) ออกแสดงในฐานะรถแนวคิด ที่งานนี้ รถหน้าตา
อย่างเดียวกันปรากฏตัวอีกครั้งนี้ คราวนี้อยู่ในฐานะของรถที่พร้อมจะออกตลาดโดยใช้ชื่อ ดาซีอา โลกาน เอมซีวี (DACIA LOGAN MCV) เป็นรถ 5 ประตูตรวจการณ์ ราคาย่อมเยา ออกจำหน่ายแล้วในโรมาเนียเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่วนตลาดอื่นๆ ต้องรอปีหน้า
นิสสัน กัชไก
ยักษ์รองของเมืองยุ่น ซึ่งยักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมถือหุ้นอยู่ร้อยละ 44.4 นำรถออกแสดงในงานนี้นับ 10 คัน แต่จุดโฟคัสความสนใจ คือ นิสสัน กัชไก (NISSAN QASHHQAI) ในภาพ 29 เป็นรถแบบใหม่เอี่ยมแกะกล่อง ผลงานชิ้นแรกของศูนย์ออกแบบแห่งใหม่ของ นิสสันยุโรป ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอน และผลิตที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองซันเดอร์แลนด์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอังกฤษ เป็นรถขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ผสมผสานคุณสมบัติของรถเก๋งแฮทช์แบค และรถกิจกรรมกลางแจ้งเข้าไว้ด้วยกัน กำหนดออกจำหน่ายในยุโรปเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ด้วยค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 19,000 ยูโร หรือประมาณ 0.72ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายการขายไว้ที่ระดับ 100,000 คัน/ปี
อัลฟา โรเมโอ 8 ซี กมเปติซีโอเน
อัลฟา โรเมโอ 8 ซี กมเปติซีโอเน (ALFA ROMEO 8C COMPETI ZIONE) ในภาพ 30-31 เป็น "ดาวดวงเด่น" ของงานนี้ และเป็นรถที่ทีมงานของ "ฟอร์มูลา" เห็นพ้องต้องกันว่าหามุมกล้องถ่ายภาพได้ยากที่สุด เพราะซ่อนตัวอยู่ในห้องกระจกขนาดจำกัด แถมมี รปภ. หุ่นกำยำคอยกั้นทางเข้า จัดคิวให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิดครั้งละไม่กี่คน แต่เห็นแล้วก็หายเหนื่อย เพราะรูปทรงองค์เอวสไตล์รถโบราณออกแบบได้โดนใจจริงๆ เป็นรถระดับ "ซูเพอร์คูเป" ที่จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 500 คัน และตั้งค่าตัวไว้แพงระยับระดับ 100,000 ยูโร (ประมาณ 4.8 ล้านบาท) จะมีตัวถังเปิดประทุนให้เลือกใช้ด้วย และจะอวดโฉมเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทปีหน้า
ลันชา เดลตา เอชพีอี
ผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองมะกะโรนีปลดรถ ลันชา เดลตา (LANCIA DELTA) ออกจากสายการผลิตมาหลายปีแล้ว ส่วน ลันชา เดลตาเอชพีอี (LANCIA DELTA HPE) ที่เห็นในภาพ 32 เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถรุ่นใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดกลางปี 2008 โดยตั้งเป้าหมายการขายไว้ที่ระดับ 60,000 คัน/ปี ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.500 ม. กว้าง 1.800 ม. และสูง 1.500 ม. (โดยประมาณ) เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานที่มีนักออกแบบชื่อดังคือ ฟแรงค์ สตีเฟนสัน (FRANK STEPHENSON) เป็นผู้นำ
ปินินฟารีนา แฟร์รารี พี 4/5
ในบูธของ ปินินฟารีนา (PININFARINA) สำนักออกแบบชื่อดังของเมืองมะกะโรนี มีรถติดเครื่องหมาย "ม้าลำพอง" อวดตัวอยู่คันหนึ่งแต่หน้าตาไม่ยักกะเหมือนกับรถสปอร์ท "ม้าลำพอง" รุ่นใดๆ ที่มีขายในขณะนี้ อ่านจากเอกสารที่เขาแจกมาให้จึงได้รู้ว่า แฟร์รารี พี 4/5 (FERRARI P 4/5) ในภาพ 33 เป็นรถคันพิเศษและคันเดียว ค่าตัว 4.0 ล้านยูโร หรือประมาณ 152 ล้านบาทไทย ที่สำนักออกแบบเจ้านี้ ทำให้แก่มหาเศรษฐีนักสะสมรถยนต์ชาวอเมริกันเจ้าของนาม เจมส์ กลิกเคนฮอส (JAMES GLICKENHAUS) โดยขอหยิบขอยืมเครื่องยนต์กลไกจากรถสปอร์ท "ม้าลำพอง" รุ่นพิเศษ คือ แฟร์รารี เอนโซ (FERRARI ENZO) ซึ่งขณะนี้เลิกผลิตไปแล้ว
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน 722 เอดิชัน
ค่าย "ดาวสามแฉก" มีผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้ 2-3 ชิ้น แต่ที่พิเศษกว่าชิ้นใดๆ ก็คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน (MERCEDES-BENZ SLR McLAREN 722 EDITION) ในภาพ 34-35 เป็นรถสปอร์ท "ซูเพอร์คาร์" โมเดลพิเศษ ทำขึ้นเพื่อระลึกถึงชัยชนะของรถแข่ง เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอลอาร์ (MERCEDES-BENZ 300 SLR) ในการแข่ง MILLE MIGLIA อันเลื่องชื่อเมื่อปี 1955 รหัส 722 เป็นหมายเลขรถแข่งคันดังกล่าว ซึ่งมีความหมายว่า ให้ออกรถที่จุดเริ่มต้นเวลา 07.22 น. มีข้อแตกต่างหลายอย่างจากรถรุ่นมาตรฐาน รวมทั้งเครื่องยนต์ SOHC วี 8 สูบ 5,439 ซีซีบลอคเดิม ที่ปรับแต่งจนกำลังสูงสุดพุ่งจาก 626 เป็น 650 แรงม้า
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค "เอดิชัน 10"
นับแต่ฤดูใบไม้ร่วงปี 1996 เป็นต้นมา ค่าย "ดาวสามแฉก" ผลิตรถเปิดประทุนอนุกรม เอสแอลเค-คลาสส์ (SLK-CLASS) ออกจำหน่ายไปแล้วรวม 2 รุ่น และขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 460,000 คันสำหรับ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเค "เอดิชัน 10" (MERCEDES-BENZ SLK "EDITION 10" ที่เห็นในภาพ 36 เป็นรถโมเดลพิเศษทำขึ้นในวาระที่รถอนุกรมนี้มีอายุครบ 10 ปี มีการตกแต่งที่ต่างไปจากรถรุ่นสามัญมากมายหลายจุด ทั้งภายนอกและภายใน แถมติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคอำนวยความสุข และความสะดวกมากมายสุดจะพรรณนา
เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล 63 เอเอมจี
ค่าย "ดาวสามแฉก" นำรถคูเประดับสุดหรู ซีแอล-คลาสส์ (CL-CLASS)รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดในเมืองเบียร์ก่อนหน้างานนี้ไม่กี่วัน โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 2 โมเดล คือ ซีแอล 500 (CL 500) ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 5,461 ซีซี 388 แรงม้า กับ ซีแอล 600 (CL 600) ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ SOHC วี 12 สูบ 5,513 ซีซี 517 แรงม้า ส่วนรถเมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอล 63 เอเอมจี (MERCEDES-BENZ CL 63 AMG) ที่เห็นในภาพ 37 เป็นรถโมเดลใหม่ เพิ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกที่งานนี้เป็นผลงานของสำนัก เอเอมจี (AMG) ที่อยู่ในเครือข่ายของค่าย "ดาวสามแฉก" และจะเริ่มจำหน่ายในเดือนมกราคมปีหน้า รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 6,208 ซีซี ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษ จนได้กำลังสูงสุดสูงถึง 525 แรงม้า
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำรถใหม่ออกอวดตัวในงานนี้ 3 แบบและรถที่ได้รับความสนใจมากที่สุด คือ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 คูเป (BMW 3-SERIES COUPE) ในภาพ 38-39 เป็นรถรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกจำหน่าย ตัวถังรูปทรงลื่นลม ยาว 4.580 ม. กว้าง 1.780 ม. สูง1.395 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.28 ดัดแปลงจากตัวถังของรถซาลูนซึ่งออกตลาดเมื่อต้นปี 2005 แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 5 โมเดล คือ 325I COUPE-330ICOUPE-335I COUPE-330D COUPE และ 335D COUPE เฉพาะรุ่น 335I COUPE นับเป็นรถโมเดลแรกในประวัติศาสตร์ของค่ายนี้ที่ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินทวินเทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง
บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง บีเอมดับเบิลยู เอกซ์ 3 (BMW X3) รุ่น FACELIFT หรือ "ยกหน้า" ซึ่งหน้าตา และรูปทรงองค์เอวดูแล้วแทบไม่แตกต่างจากรถรุ่นดั้งเดิมที่เริ่มจำหน่ายเมื่อต้นปี2004 เพราะหัวใจของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่หน้าตา หากอยู่ที่เครื่องยนต์กลไก กล่าวโดยสรุปได้ว่า รถรุ่นนี้มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 6 ขนาด แยกเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 3 ขนาด และเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 3 ขนาด
บีเอมดับเบิลยู เอม 6 กาบริโอเลต์
นับแต่การออกตลาดของรถ ซีรีส์-6 คูเป (6-SERIES COUPE) เมื่อปลายปี 2003 และของ ซีรีส์-6 กาบริโอเลต์ (6-SERIES CABRIOLET) เมื่อต้นปี 2004 เป็นต้นมา ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" จำกัดรถโมเดลพิเศษ คือ เอม 6 (M6) ไว้เฉพาะตัวถัง
คูเป จนกระทั่งที่งานนี้นี่เอง ผู้คนจึงได้มีโอกาสได้ยลโฉมรถ เอม 6 ในตัวถังเปิดประทุน ซึ่งมีชื่อเรียกอย่างเต็มยศว่า บีเอมดับเบิลยูเอม 6 กาบริโอเลต์ (BMW M6 CABRIOLET) รถโมเดลใหม่นี้ติดตั้งเครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่ใช้ในรถคูเป คือ เครื่อง DOHC วี 10 สูบ 4,999 ซีซี 507 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ ออกจำหน่ายแล้วในเมืองเบียร์ด้วยค่าตัว 116,300 ยูโร
โพร์เช 911 ทาร์กา 4/โพร์เช 911 ทาร์กา 4 เอส
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์ นำรถตลาดโมเดลใหม่ออกแสดงในงานนี้ถึง 3 โมเดล 2 โมเดลแรก คือ โพร์เช 911 ทาร์กา 4 และ โพร์เช 911 ทาร์กา 4 เอส (PORSCHE 911 TARGA 4/4S)ในภาพ 42-43 เป็นรถโมเดลใหม่ ซึ่งดัดแปลงจากรถโมเดลเก่า 2โมเดล คือ โพร์เช 911 คาร์เรรา 4 และ โพร์เช 911 คาร์เรรา 4 เอส (PORSCHE 911 CARRERA 4/4S) โดยจุดใหญ่ใจความของการเปลี่ยนแปลง คือ การเปลี่ยนชิ้นส่วนหลังคา จากหลังคาแบบธรรมดาเป็นหลังคากระจกใส เลื่อนเปิด/ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนกลไกอื่นๆ ก็มีการปรับแต่งเป็นบางจุด ออกจำหน่ายแล้วในเยอรมนี ด้วยสนนราคาค่าตัว 92,900 และ 103,100 ยูโร ตามลำดับ
โพร์เช 911 จีที 3 อาร์เอส
รถใหม่อีกโมเดลหนึ่ง ที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ โพร์เช 911 จีที 3 อาร์เอส (PORSCHE 911 GT3 RS) ในภาพ 44 เป็นรถโมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรถ โพร์เช 911 จีที 3 (PORSCHE 911 GT3) โดยเปลี่ยน
แปลงชิ้นส่วนหลายชิ้นเพื่อลดน้ำหนักตัว ซึ่งผลปรากฏว่าลดได้ 20 กก.และผลลัพธ์ที่ตามมาจากน้ำหนักตัวที่เบาขึ้น ก็คือ อัตราเร่งที่ดีกว่าเดิมนิดหน่อย 0-100 กม./ชม. ที่เคยทำได้ใน 4.3 วินาที ก็ลดเหลือแค่ 4.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดยังคงเดิม คือ 310 กม./ชม.
โพร์เช อาร์เอส สไปเดอร์
รถใหม่อีกแบบหนึ่งที่ค่าย โพร์เช นำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่งานนี้คือ โพร์เช อาร์เอส สไปเดอร์ (PORSCHE RS SPYDER) ที่เห็นในภาพ 46 ไม่ใช่รถตลาด แต่เป็นรถแข่ง 2 ที่นั่ง ที่ออกแบบและพัฒนาสำหรับการแข่งรถทางไกล เลอ มองส์ ซีรีส์ (LE MANS
SERIES) ทั้งในยุโรป และสหรัฐอเมริกา ตัวถังยาว 4.650 ม. กว้าง 2.000 ม. และสูง 1.070 ม. มีน้ำหนักตัวเบาหวิวแค่ 775 กก. ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของการแข่งรถประเภทนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 3,397 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 503 แรงม้า ที่ 10,300 รตน. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ มีแป้นเปลี่ยนจังหวะเกียร์ ติดตั้งอยู่บนแกนพวงมาลัย
มีนี คูเพอร์/มีนี คูเพอร์ เอส
ค่าย มีนี ผู้ผลิตรถยนต์ในร่มเงาของ บีเอมดับเบิลยู แห่งเยอรมนีใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถ มีนี รุ่นใหม่ ซึ่งหน้าตาและรูปทรงองค์เอวต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด จึงจะเห็นว่าแตกต่างจากรุ่นเดิมตรงไหนบ้างๆ ทั้งๆ ที่ผู้ผลิตยืนยันนั่งยันและนอนยันว่า มีขนาดตัวถังยาวกว่ารถรุ่นเดิมเกือบ 7 ซม. และชิ้นส่วนตัวถังทุกๆ ชิ้น ล้วนเป็นชิ้นส่วนที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด กำหนดออกจำหน่ายเดือนธันวาคมนี้โดยมีรถให้เลือกใช้แค่ 2 โมเดล คือ มีนี คูเพอร์ (MINI COOPER) ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 120 แรงม้า กับมีนี คูเพอร์ เอส (MINI COOPER S) ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 175 แรงม้า
แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์
เป็นข่าวเป็นคราวมานมนาน ว่าสมควรจะมีการปรับปรุงกันเสียทีเพราะเก่าแก่เหลือเกิน ที่งานนี้ ยอดผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองผู้ดีก็ตัดสินใจยุติการรอคอยอันยาวนาน โดยนำรถ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (LAND ROVER DEFENDER) รุ่น "ยกหน้า" ออกอวดตัวเป็นครั้งแรก รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอกดูราวกับไม่ได้ถูกแตะต้องอะไร ทั้งๆ ที่มีการปรับปรุงอยู่หลายจุดโดยเฉพาะส่วนหน้า แต่ที่เห็นชัดว่าเปลี่ยนไปในทางดีเพราะดูทันยุคทันสมัยขึ้นก็คือ อุปกรณ์ และการตกแต่งภายในห้องโดยสาร
แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์
ผู้ใช้รถใช้ถนนในเมืองอังกฤษเห็นกันแล้วจนชินตา แต่ผู้คนในเมืองฝรั่งเศสเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงอย่างใกล้ชิดเป็นครั้งแรกที่งานนี้คือ แลนด์ โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ (LAND ROVER FREELANDER) ในภาพ 50 เป็นรถรุ่นที่ 2 ที่เพิ่งออกจำหน่ายแทนที่รถรุ่นแรกซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1997 เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ซึ่งมีโครงสร้างตัวถังแบบ UNIBODY คือ เป็นตัวถังรับแรงแบบรถยนต์นั่งมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่อง DOHC 6 สูบเรียง 3,192 ซีซี 233 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,179 ซีซี 160 แรงม้า สนนราคาค่าตัวที่ซื้อขายกันในเมืองผู้ดี เริ่มต้นที่ระดับ 20,000 ปอนด์
ฟอร์ด ไอโอซิส เอกซ์
ยักษ์รองของเมืองมะกันนำผลงานรถแนวคิดออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนี้ 2 ชิ้น และชิ้นที่มีโอกาสไม่มากนักที่จะเปลี่ยนสภาพจากรถแนวคิดเป็นรถตลาด คือ ฟอร์ด ไอโอซิส เอกซ์ (FORD IOSIS X) ในภาพ 51-52 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CROSSOVER VEHICLE หรือ "รถผสานพันธุ์" ที่นำคุณสมบัติของรถเก๋งคูเป และรถกิจกรรมกลางแจ้ง 4x4 มารวมไว้ด้วยกัน ตัวถังซึ่งมีขนาดพอๆ กับรถ ฟอร์ด โฟคัส (FORD FOCUS) มีจุดเด่นสะดุดตาอยู่หลายจุด ตัวอย่าง คือ ประตูข้างทั้ง 2 ด้าน ที่เปิดแยกออกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลาง ที่เรียกกันว่า"ประตูฆ่าตัวตาย" หรือ"ประตูตู้กับข้าว" และ BELT LINE หรือ"เส้นสะเอว" ที่ค่อนข้างสูง จนเหลือช่องหน้าต่างแคบนิดเดียว
ฟอร์ด มนเดโอ คอนเซพท์
ผลงานรถแนวคิดอีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย ฟอร์ด นำออกอวดตัวที่งานนี้ เป็นรถที่ในปีหน้าจะกลายสภาพเป็นรถตลาดแน่นอน คือ ฟอร์ด มนเดโอ คอนเซพท์ (FORD MONDEO CONCEPT) ในภาพ 53 เป็นต้นแบบของรถตลาด ฟอร์ด มนเดโอ (FORD MONDEO) รุ่นที่ 3 ที่จะออกจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม 2007 โดยใช้โรงงานของ ฟอร์ด ยุโรปซึ่งตั้งอยู่ที่เมือง GENK ในเบลเยียมเป็นที่ผลิต และตั้งเป้าหมายการผลิตไว้ที่ระดับ 200,000 คัน/ปี แหล่งข่าววงในยืนยันว่า รถตลาดที่ว่านี้ จะมีรายละเอียดแตกต่างจากรถคันต้นแบบเพียงเล็กน้อย
โวลโว ซี 30
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวา เมื่อเดือนมีนาคม 2006 ผู้ผลิตรถยนต์ของเมืองฟรีเซกซ์นำรถ โวลโว ซี 30 (VOLVO C30) ออกอวดตัวเป็นครั้งแรก และบอกว่ายังมีฐานะเป็นรถแนวคิด ที่งานนี้ รถชื่อเดียวกันปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่ในสภาพของรถตลาดอย่างสมบูรณ์นับเป็นรถขนาดเล็กที่สุดในสายการผลิตของค่ายนี้ กำหนดออกจำหน่ายตอนปลายปี โดยมีเป้าหมายการขายที่ระดับ 65,000 คัน/ปี มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 4 ขนาด คือ เครื่อง 4 สูบเรียง 1,596 ซีซี 100แรงม้า เครื่องเทอร์โบ 5 สูบเรียง 2,521 ซีซี 200 แรงม้า เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,560 ซีซี 109 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 5 สูบเรียง 2,400 ซีซี 180 แรงม้า
ฮอนดา ซีอาร์-วี
ฮอนดา มีพื้นที่มากกว่าใครใน ฮอลล์ 3 แต่ผู้คนก็ยังเนืองแน่นเพราะมีจุดดึงดูดโฟคัสสายตา คือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง ฮอนดา ซีอาร์-วี (HONDA CR-V) ที่เห็นในภาพ 55-56 เป็นรถรุ่นที่ 3 และเป็นรถผลิตในอังกฤษ ที่โรงงานซึ่งตั้งอยู่ในเมืองสวินดอน (SWINDON) จะเริ่มจำหน่ายในเดือนมกราคม 2007 โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้สองขนาด คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 150 แรงม้ากับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,204 ซีซี 140 แรงม้า ระบบเกียร์ก็มีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ในยุโรป ฮอนดา ซีอาร์-วี เป็นรถขายดีอันดับ 3 ของ ฮอนดา รองจาก ฮอนดา ซีวิค และ ฮอนดา แจซซ์
ฮันเด คูเป
รถตลาดแบบหนึ่งของค่าย ฮันเด ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลก คือ ฮันเด คูเป (HYUNDAI COUPE) ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมืองโสมนำรถแบบนี้ออกสู่ตลาดเมื่อเดือนกันยายน 2001 และขายไปแล้วมากกว่า 220,000 คัน สำหรับ ฮันเด คูเป ที่เห็นในภาพ 57 เป็นรถที่เพิ่งผ่านการ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในหลายๆ จุดทั้งภายนอกและภายใน รุ่นที่จำหน่ายในยุโรปมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 3 ขนาด ขนาดโตที่สุด เป็นเครื่อง DOHC วี 6 สูบ 2,656 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 168 แรงม้า ที่ 6,000 รตน.
ฮันเด อาร์นีส
ฮันเด เป็นผู้ผลิตรถยนต์เมืองโสมที่ชอบอวดฝีมือในรูปของรถแนวคิดที่งานนี้ก็เช่นกัน ผลงานรถแนวคิดเพียงชิ้นเดียวที่นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ ฮันเด อาร์นีส (HYUNDAI ARNEJS) ในภาพ58 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 5 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัดและเป็นต้นแบบของรถตลาดที่ค่ายนี้จะนำออกจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิปี2007 แต่ชื่อที่ใช้คงไม่ใช่ชื่อเดียวกับรถแนวคิดคันนี้ เป็นรถที่ออกแบบในยุโรป ที่ศูนย์ออกแบบของ ฮันเด ซึ่งตั้งอยู่ในเยอรมนี ตัวถังยาว4.335 ม. กว้าง 1.840 ม. และสูง 1.490 ม. ใช้ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังจากเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบฉีดตรง 2.0 ลิตร 170 แรงม้าถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ คอนเซพท์
ค่าย "สามเพชร" กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวด ที่จะเพิ่มยอดขายในตลาดยุโรป จึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับงานนี้ โดยนำผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้แบบเต็มพิกัด ทั้งรถแนวคิดและรถตลาดรถแนวคิด มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ คอนเซพท์ (MITSUBISHI OUTLANDER CONCEPT) ที่เห็นในภาพ 59-60 เป็นต้นแบบของรถตลาด มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ รุ่นที่ 2 ที่ในปีหน้าค่ายนี้จะส่งไปขายในตลาดยุโรป ความพิเศษของรถรุ่นที่ว่านี้ ก็คือ จะมีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกใช้ด้วย โดยในระยะแรกจะเป็นเครื่องเทอร์โบ 2.0 ลิตร 140 แรงม้า ที่ได้จากค่าย โฟล์คสวาเกน และในปี 2008 จะเพิ่มเครื่องเทอร์โบ 2.2 ลิตร ที่ได้จากค่าย เปอโฌต์-ซีตรอง
มิตซูบิชิ ปาเจโร
ในส่วนของรถตลาด จุดโฟคัสสายตาในบูธของค่าย "สามเพชร" คือรถกิจกรรมกลางแจ้งยอดดัง มิตซูบิชิ ปาเจโร (MITSUBISHI PAJERO) ในภาพ 61 เป็นรถรุ่นที่ 4 ปรากฏตัวที่งานนี้ในลักษณะWORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เริ่มจำหน่ายในญี่ปุ่นไปแล้วพร้อมๆ กับการเปิดตัวในงานนี้ แต่ในประเทศอื่นๆ ต้องรอปีหน้าชิ้นส่วนตัวถังทั้งภายนอกและภายในออกแบบใหม่เกือบทั้งหมด แต่รูปทรงองค์เอวและหน้าตาของตัวถังภายนอก เป็นอย่างที่คนของค่ายนี้ ออกตัวว่า "A CONSERVATIVE REVAMP OF THE CURRENT CAR"
ซูซูกิ สปแลช
ยักษ์เล็กของเมืองยุ่นนำรถออกแสดงในงานนี้นับ 10 คัน แต่มีอยู่เพียงคันเดียวที่สมควรกล่าวถึง คือ ซูซูกิ สปแลช (SUZUKI SPLASH) ในภาพ 62-63 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ MINI MPV หรือรถอเนกประสงค์ขนาดมีนี ที่ขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มจากรถตลาด ซูซูกิ สวิฟท์ (SUZUKI SWIFT) ซึ่งกำลังขายดีอยู่ในยุโรป ตัวถังยาว 3.780 ม. กว้าง 1.780 ม. และสูง 1.650 ม. มีจุดเด่นสะดุดตาตรงแผงกระจังหน้ารูปสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดโตมหึมา ดวงโคมไฟหน้ารูปเส้นโค้ง 2 เส้นตัดกัน และเส้นสายของด้านข้างตัวถัง ที่คนของ ซูซูกิ อธิบายว่า ให้ความรู้สึกในพละกำลังและความสดใส เหมือนสายน้ำที่กระเซ็นซัดซ่าน อันเป็นที่มาของชื่อรถ
เอาดี อาร์ 8
เอาดี อาร์ 8 (AUDI R8) ในภาพ 64-65 เป็น "ดาวดวงเด่น" อีกดวงหนึ่งของงานนี้ และเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้คนหลายคนกล้าลงความเห็นอย่างเด็ดเดี่ยวว่า จากที่เคยเดินตามหลังต้อยๆ ขณะนี้ค่าย "สี่ห่วง" สามารถเดินนำหน้าคู่แข่งอย่าง เมร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอมดับเบิลยู ไปแล้วหนึ่งก้าว เป็นรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" ที่จำกัดจำนวนผลิตไว้แค่ 5,000 คัน และไม่ใช่ว่าจะหาซื้อได้ในทุกๆ ที่แม้ว่าท่านจะอาศัยอยู่ในยุโรป เพราะค่าย "สี่ห่วง" จะคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถให้บริการที่ดีและพอเพียง อย่างในสเปนซึ่งมีตัวแทนจำหน่ายอยู่ 60 ราย เอาดี ประกาศยืนยันแล้วว่า แต่ละรายจะได้รับรถเพียงคันเดียว เท่านั้นเอง
เอาดี เอส 3
เห็นรหัส เอส อยู่ในชื่อรุ่นของรถ เอาดี คันใด ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นรถโมเดลพิเศษ ที่เน้นบุคลิกและความเร็วในลักษณะของรถสปอร์ท เอาดี เอส 3 (AUDI S3) ในภาพ 66 ก็เช่นกัน เป็นรถโมเดลใหม่ซึ่งเพิ่งปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรกที่งานนี้ มีตัวถังเพียงแบบเดียวเป็นตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบคที่พัฒนาจากตัวถังของรถ เอาดี เอ 3 (AUDI A3) ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี 265 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ สามารถทำความเร็วสูงสุดระดับ 250 กม./ชม.
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด เนรา
ค่าย "กระทิงดุ" นำรถออกแสดงในงานนี้ไม่กี่คัน และคันที่น่าสนใจกว่าเพื่อน คือ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด เนรา (LAMBORGHINI GALLARDO NERA) ในภาพ 67 เป็นรถรุ่นพิเศษที่จำกัดจำนวนผลิตไว้แค่ 185 คัน และทำขึ้นตามโครงการตกแต่งรถตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาอิตาลีว่า AD PERSONAM ตัวถังคูเป 2 ที่นั่ง ซึ่งพัฒนาจากรถ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด รุ่นปี 2007 เมื่อจำหน่ายในยุโรปจะพ่นสีดำ NERO SERAPIS แต่เมื่อส่งไปจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จะเป็นสีดำ NERO NOCTIS ไม่ทราบเหมือนกันว่าดำต่างกันยังไง ?
สโกดา จอยสเตอร์
สโกดา ผู้ผลิตรถยนต์ของสาธารณรัฐเชค ซึ่งอยู่ในเครือข่ายของกลุ่มโฟล์คสวาเกน กรุพ แห่งเยอรมนี ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัว สโกดา จอยสเตอร์ (SKODA JOYSTER) ในภาพ 68-69 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 3 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มจากรถตลาดสโกดา ฟาบีอา (SKODA FABIA) เป็นรถที่ออกแบบสำหรับผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาว ตัวถังทรง 2 กล่องหลังคาลาดเอียง มีเสาหลังคาคู่หน้าและคู่กลางที่ดูกลมกลืนไปกับหน้าต่างกระจก เมื่อมองจากด้านข้างตรงๆ จึงดูเหมือนกับแผงหลังคายื่นลอยไปในอากาศ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CANTILIVER
โฟล์คสวาเกน ครอสส์ กอล์ฟ
ยักษ์ใหญ่ของเยอรมนี นำรถตลาดรุ่นใหม่ๆ ออกอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้หลายรุ่น และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ โฟล์คสวาเกน ครอสส์ กอล์ฟ (VOLKSWAGEN CROSS GOLF) ในภาพ 70 เป็น CROSSOVER VEHICLE หรือ "รถผสานพันธุ์" ที่นำคุณสมบัติของรถอเนกประสงค์ (MPV)และรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) มารวมไว้ด้วยกันในรถคันเดียว ตัวถังทรง 2 กล่องขนาดเล็กกะทัดรัดดัดแปลงจากตัวถังของรถ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ พลัส (VOLKSWAGEN
GOLF PLUS) โดยยกพื้นรถให้สูงขึ้นถึง 15 ซม.
โฟล์คสวาเกน อีโรค
โฟล์คสวาเกน อีโรค (VOLKSWAGEN IROC) ในภาพ 71 เป็นรถแนวคิดเพียงคันเดียวที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำออกแสดงในงานนี้เป็นต้นแบบของรถ 2 ประตูคูเปขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในปี 2008 โดยใช้ชื่อ โฟล์คสวาเกน ชีโรคโค (VOLKSWAGEN SCIROCCO) ซึ่งเป็นชื่อเดิมที่เคยใช้มาแล้วกับรถคูเปยอดฮิทที่ผลิตจำหน่ายในช่วงปี 1974-1982 ตัวถังยาว 4.240 ม. กว้าง 1.800 ม.และสูง 1.400 ม. มีจุดเด่นตรงช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.680 ม.เพราะตั้งใจออกแบบให้มีช่วงยื่นหน้ายื่นหลังสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้กับแผงกระจังหน้ารูปสี่เหลี่ยมคางหมูตัดมุม ซึ่งมีขนาดโตมหึมา (สูงเกือบครึ่งเมตร) และมีรูปลักษณ์เหมือนปากปลาฉลาม
โตโยตา เอารีส
ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นนำรถใหม่ออกแสดงในงานนี้หลายคัน และคันที่เรียกความสนใจได้มากที่สุดคือ โตโยตา เอารีส (TOYOTA AURIS) ในภาพ 72-73 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 5 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด และเป็นต้นแบบของรถตลาดอนุกรมใหม่ ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในยุโรปต้นปีหน้า แทนที่รถขนาดเดียวกันที่จำหน่ายอยู่ขณะนี้ในชื่อ โตโยตา โคโรลลา แฮทช์แบค (TOYOTA COROLLA HATCHBACK) โดยใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเบอร์นาสตัน (BURNA STON) ในอังกฤษเป็นที่ผลิต เป็นรถที่ออกแบบในยุโรป โดยศูนย์ออกแบบของ โตโยตา ในฝรั่งเศส หน้าตาและรูปทรงองค์เอวเห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากรถ โตโยตา ยารีส (TOYOTA YARIS)
ไดฮัทสุ มาเตรีอา
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองยุ่นซึ่งมียักษ์ใหญ่ โตโยตา เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 51 นำรถตลาด ไดฮัทสุ มาเตรีอา (DAIHATSU MATERIA ในภาพ 74 ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้ เป็นรถอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ที่พัฒนาจากรถแบบเดียวกันที่ออกจำหน่ายแล้วในญี่ปุ่นในชื่อ ไดฮัทสุ คู(DAIHATSU COO) และ โตโยตา บีบี (TOYOTA BB) โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียด และชิ้นส่วนบางชิ้น รวมทั้งแผงกระจังหน้าและกันชนหน้า/หลัง ห้องโดยสารซึ่งนั่งได้ 5 คน มีจุดเด่นตรงเบาะหลังที่ติดตั้งอยู่บนราง สามารถปรับเลื่อนหน้าเลื่อนหลังได้โดยสะดวก
ไดฮัทสุ ดี-คอมแพคท์ เอกซ์-โอเวอร์
งานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย ไดฮัทสุ ที่เรียกร้องความสนใจได้อย่างดี คือ ไดฮัทสุ ดี-คอมแพคท์ เอกซ์-โอเวอร์ (DAIHATSU D-COM PACT X-OVER) ในภาพ 76 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ CROSS OVER VEHICLE หรือ "รถผสานพันธุ์" ที่นำคุณลักษณะของรถยนต์นั่งขนาดมีนี และรถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) ขนาดเล็กมารวมไว้ด้วยกันในรถคันเดียว ตัวถังทรง 2 กล่อง ยาว 3.750 ม. กว้าง 1.695 ม. และสูง 1.575 ม. เป็นผลงานรังสรรค์ของสำนัก อีตัลดีไซจ์นจูจาโร (ITALDESIGN GIUGIARO) ที่มีพระอาจารย์ โจร์เกตโต จูจาโร (GIORGETTO GIUGIARO) เป็นหัวเรือใหญ่ ผู้ผลิตยืนยันว่าปีหน้าจะกลายสภาพเป็นรถตลาด และออกจำหน่ายในยุโรป
โอเพล อันตารา/โอเพล โคร์ซา
ค่าย "สายฟ้า" นำรถตลาดแบบใหม่เอี่ยมแกะกล่องออกอวดตัวในงานนี้สองแบบ โอเพล อันตารา (OPEL ANTARA) ในภาพ 77 เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาด 5 ที่นั่งอนุกรมใหม่ ที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกสู่ตลาดในยุโรป แทนที่รถประเภทเดียวกันรุ่นเดิมที่รู้จักกันในชื่อ โอเพล ฟรนเตรา (OPEL FRONTERA) โดยมีสนนราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ27,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 1.03 ล้านบาท ส่วน โอเพล โคร์ซา (OPEL CORSA) ในภาพ 78 เป็นรถรุ่นใหม่ที่ออกจำหน่ายแล้วในยุโรป โดยมีตัวถังให้เลือก 2 แบบ คือ 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.000 ม. กว้าง 1.735 ม. และสูง 1.490 ม. และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 6 ขนาด
เชฟโรเลต์ ดับเบิลยูทีซีซี อัลทรา
ค่าย เชฟโรเลต์/แดวู ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของยักษ์ใหญ่ จีเอมมีผลงานชิ้นใหม่ออกแสดงเป็นครั้งแรกที่งานนี้เพียงชิ้นเดียว คือ เชฟโรเลต์ ดับเบิลยูทีซีซี อัลทรา (CHEVROLET WTCC ULTRA) ที่เห็นในภาพ 79 เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถแข่งที่ค่ายนี้เตรียมไว้สำหรับการแข่ง WORLD TOURING CAR CHAMPIONSHIP (WTCC) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อรถ ออกแบบและพัฒนาโดยทีมงานของ จีเอม ในอังกฤษ เยอรมนี และสวิทเซอร์แลนด์ และติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 190 แรงม้า
เกีย ปโร-ซี'ด
นอกจากเปิดตัวรถตลาด เกีย ซี'ด (KIA CEE'D) ที่ไม่มีภาพให้เห็นในหน้านี้ ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลข 2 ของเมืองโสม ยังใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัว เกีย ปโร-ซี'ด (KIA PRO-CEE'D) ในภาพ 80 อีกต่างหาก เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 3 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด ซึ่งรับประกันได้ว่า อีกไม่นานหลังจากปรับโน่นนิดเปลี่ยนนี่หน่อย ก็จะกลายสภาพเป็นรถตลาดอย่างสมบูรณ์บอกไว้เป็นข้อมูลตรงนี้ด้วยว่า ในตลาดยุโรปตะวันตก ยอดขายของเกีย มีอัตราการเติบโตสูงมาก ในปี 2005 เกีย ขายรถในภูมิภาคนี้ได้ถึง 242,643 คัน และคาดหมายกันว่า เมื่อโรงงานที่สร้างขึ้นใหม่ในสโลวาเกียเปิดใช้งานได้ ยอดขายจะเพิ่มเป็น 2 เท่าตัว
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา
ภาพโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/ชลัทชัย ปภัสร์พงษ์ และบริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2549
คอลัมน์ Online : ระเบียงรถใหม่