รุ่นนี้พอมีเหลือ
เกิดเป็นผู้ชาย
เกิดเป็นผู้ชาย ในกางเกงต้องมีกระดุม ตั้งแต่ 2 เม็ดจนถึง 4 เม็ด อย่าเดาล่วงหน้าถ้าเป็นผู้ชายที่เกิดไม่ได้รวดเร็วอย่างผม คือเกิดมาแล้วถึง 72 ปี
สมัยนี้ กางเกงผู้ชายมีกระดุมก็เป็นกางเกงประเภท ลีวายส์ 500 หรือยีนส์ยี่ห้ออื่น ทั้งอาร์มานีและเนกซ์ ส่วนใหญ่เป็นชนิดรูดซิพ ซึ่งสมัยผมเรียนหนังสือระดับประถมและมัธยม จนถึงระดับเตรียมไปจนถึงระดับมหาลัย ไม่รู้จักซิพ มากับกางเกง
กางเกงในผู้ชายอย่างผมสมัยนั้นเรียก "กางเกงลิง" คำนี้มาจาก ลิงที่เป็นดารา เป็นศิลปิน เพราะเป็นลิงในละคร เรียกว่า ละครลิง กางเกงลิงสมัยนั้นผ่าด้านข้างติดด้วยกระดุม 3 เม็ด หรือบางชนิดสั้นมากก็มีกระดุมเพียง 2 เม็ดเท่าทุน แบ่งเป็นด้านข้างซ้ายและด้านข้างขวา ตามแต่คุณผู้ชายจะถนัดงัดซ้ายหรืองัดขวา
ถัดจากกางเกงลิง ก็มาถึงกางเกงนักเรียน บางสถาบันก็สีน้ำเงิน บางสถาบันก็สีดำ ผ่าข้างหน้าติดด้วยกระดุม ไม่นับเม็ดบนก็มี 4 เม็ด ราคาถูกหน่อยก็เหลือแค่ 3 เม็ดซึ่งก่อให้เกิดปัญหาส่วนตัวตามมาอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะกับผู้ชายที่อายุเริ่มรู้จักสภาวการณ์ตื่นเต้นถึงระดับขนลุกขนชัน
เทียบกับทุกวันนี้ กางเกงในผู้ชายไม่มีกระดุมแต่มีประตู กางเกงนักเรียนก็ไม่มีกระดุมมีแต่ซิพกับตะขอบน
สมัยผมกางเกงลิงซื้อไม่ได้เพราะไม่มีขาย จำเป็นต้องสั่งตัดเหมือนสั่งตัดชุด ผ้าที่นำมาเป็นวัสดุในการตัดเย็บเป็นผ้าลายสอง เรียกว่าผ้าเวสต์พอยท์ ส่วนผ้าตัดกางเกงนักเรียนหรือเครื่องแบบมีทั้ง ชาร์คสกินส์ และผ้ามอยกะเช ซึ่งเป็นผ้าเสิร์ทจากลอนดอน ถ้าแพงขึ้นมาอีกหน่อยก็เป็นผ้าจากอังกฤษอยู่ดีนั่นแหละ เรียกว่า ผ้าเพียวร์ ลินิน
เหตุผลที่นักเรียนใช้ผ้าลายสองเป็นกางเกงมีเพียงประการเดียว
"เนื้อผ้ามันหนาดี เวลาถูกครูหวดก้นจะได้เจ็บน้อยหน่อย"
กางเกงเครื่องแบบของทหารเรือนั้นมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ เพราะกางเกงทหารเรือไม่มีการผ่าด้านหน้า เป็นการผ่าด้านข้างติดด้วยกระดุมไม่ต่ำกว่า 4 เม็ด อดีตแม่ทัพเรือประจำภาคใต้ท่านผู้หนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า
เหตุที่กางเกงทหารเรือเป็นแบบนั้น เพราะทหารเรือต้องตีกรรเชียงเรือ การตีกรรเชียงเรือก็คือท่านั่งเหยียดขาทั้งสองไปข้างหน้า หันหน้ามาหาผู้โดยสารเรือซึ่งอาจเป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมือสองข้างจับพายที่คล้ายแจวทำหน้าที่พุ้ยน้ำ การตีกรรเชียงแบบนี้หากนุ่งกางเกงแบบผ่าด้านหน้า ถ้าไปเจอผู้โดยสารเป็นผู้หญิงสวย ก็จะเกิดปัญหาส่วนตัวตามมาทำให้แลดูไม่น่าดู
ก็แปลกนะ แลดูแต่ไม่น่าดู...!
เพราะด้วยเหตุนี้กางเกงทหารเรือจึงต้องผ่าด้านข้าง ติดด้วยกระดุม เท็จจริงอย่างไรต้องถามคนที่เป็นลูกนาวีดูเอาเอง และเป็นที่มาที่ว่า เกิดเป็นผู้ชายในกางเกงต้องมีกระดุม
ผมน่ะเริ่มมองผู้หญิงมาแต่สมัยยังนุ่งกางเกงไปเรียนหนังสือระดับประถม ประมาณประถมปลาย ยังทะลึ่งไม่ถึงระดับยังเรียนเนิร์สเซอรี อนุบาล
ผู้หญิงที่ผมมองด้วยความรู้สึก ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ครูผู้หญิงในชั้นเรียนของผมนั่นแหละ
ยิ่งเรียนสูงขึ้นจนถึงระดับมัธยมต้น ผมก็ยิ่งมองครูผู้หญิงประจำชั้นบ่อยขึ้น เมื่อไรที่ครูนั่งโต๊ะอย่างไม่ระมัดระวังเท่าไรนัก ผมก็ชอบทำดินสอตกพื้นห้องเรียนเพื่อก้มลงไปเก็บ แต่ดวงตากับดวงใจของผม วิ่งไปชนกันที่ใต้โต๊ะครู ซึ่งสมัยนั้นโล่งแจ้งไม่ทึบหนาเหมือนวันนี้
ใช่ครับ ผมเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ความชอบนี้จะไปเหมือนใครบ้างผมก็ไม่ได้สนใจติดตามหรือจดจำ เพราะผมเชื่อมั่นว่า ผู้ชายในโลกนี้ทุกคนน่าจะชอบผู้หญิงเหมือนผม เว้นแต่อยู่ในเพศบรรพชิต (นักบวชในพระพุทธศาสนา)
ผู้ชายคืออะไรกันแน่ ?
เท่าที่ผมค้นคว้าและวิจัยพบว่า "ผู้ชายคือสัตว์ประเภทหนึ่งที่มีความสามารถทำให้ผู้หญิง รู้สึกได้ว่าเป็น ผู้หญิง"
ไม่ถูกนักหรอกครับ ผมพูดแล้วยังเอียนตัวเองเลย แต่ใคร่ขอบันทึกให้มันเป็นระดับทอพคลาสสิคขึ้นมาเท่านั้น ตามประเพณีของการสร้างภาพอันเป็นสันดานของผู้ชายส่วนใหญ่
เข้าทำนองสำนวนไทยที่ว่า "ถ้าผู้ชายพูดให้หารสาม แต่ถ้าผู้หญิงเกิดพูดขึ้นมาต้องคูณสาม"เป็นต้นว่า ท่านบังเอิญไปได้ยินผู้ชายคนหนึ่งเล่าพฤติกรรมของเขาเมื่อคืนนี้
"สามว่ะ"
ให้เข้าใจได้เลยว่า ครั้งเดียวจริงๆ ไม่มีหรอกครับ ก็อย่างที่เล่าขานกันสนั่นเมืองนั่นแหละวัยวุฒิท่านเกษียณอายุราชการ เกินหกสิบไปแล้วยังมีฤทธิ์ข่มขืนผู้หญิงได้ในโรงแรม
หรือที่ผู้หญิงตอบคู่รักเธอหลังคำถามนั่นแหละ "คนเดียวค่ะคุณ" ก็ขอให้ทำใจไว้ก่อนว่าอย่างน้อยๆ ก็สามละว่ะ...!
ผู้หญิงบางปากเล่าให้ฟังว่าผู้ชายเหมือนรถยนต์ที่ผ่านการประกอบมาจาก ASSEMBLY LINEบางคันก็ประกอบได้ดี มีชิ้นส่วนที่ดี และบางคันก็ประกอบไม่ได้ดี
ถ้าชิ้นส่วนไม่ดี ประกอบไม่ดี ก็คร้านจะขี่...ว่างั้นเถอะ
เคยมีผู้ถามไถ่ผมว่า ทำไมผู้ชายจึงชอบผู้หญิง ? ผมตอบได้ง่ายและสบายมากคือตอบว่า
"มันเป็นธรรมชาติ"
เป็นคำตอบที่ผมเห็นว่าตรงที่สุด ไปตอบอย่างอื่นก็ไม่ได้ ไปต่อตรงส่วนไหนหรือจะขยายความไปอย่างหนึ่งอย่างใดก็ไม่ได้อีก อย่างฉลาดที่สุดอาจจะเปลี่ยนไปใช้คำว่า
"มันเป็นตัณหา"
ซึ่งก็ถูกอีก อยู่ที่ว่าเราจะเอาคำไหนไปใช้ที่ตรงไหนเท่านั้น ถ้าอยู่ในวัดอยู่กับนักบวช เราก็ต้องใช้คำว่า "ตัณหา" เพราะเอ่ยไปแล้วก็สามารถเข้าใจทันที แต่ถ้าเราอยู่กับบทเรียนหมวดวิทยาศาสตร์คำว่า "ธรรมชาติ" บอกเราว่า ธรรมชาติบังคับให้สัตว์กระทำอย่างโน้นอย่างนี้ บังคับให้สัตว์สืบพันธุ์เพื่อรักษาพันธุ์ไว้ไม่ให้สูญ
มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเรื่อง "ห้วงมหรรณพ" ตอนหนึ่งดังนี้
"ถ้าเรายอมรับว่าธรรมชาติ คือ ตัณหาแล้ว เราก็ไล่ปัญหาได้ต่อไปอีกหลายชั้นจนถึง อวิชชา ซึ่งแปลว่า ความไม่รู้ หรือความรู้ผิดก็ได้ หรือจะแปลว่า อะไรก็ไม่รู้ ก็ได้ละกระมัง"
ธรรมชาติ และ ธรรมดา เป็นคำเดียวกัน แต่ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นนักการเมืองเทิร์นโพรแล้ว เขาจะใช้คำอื่นคือ
"มันเป็นเรื่องปกติ"
ทั้งๆ ที่คำว่า ธรรมชาติ ธรรมดา หรือ ปกติ ก็ล้วนเป็นคำเดียวที่ผมอยากเรียกว่า มาจากภาษาอังกฤษกับคำที่ว่า "NORMAL" ไม่ใช่ NATURAL เพราะเมื่อไรก็ตามคุณบังเอิญไปพบผู้ชายประเภท ผิดธรรมชาติ ผิดธรรมดา หรือผิดปกติ ขึ้นมาละก็คุณจะร้องออกมาทันทีว่า
"ABNORMAL ว่ะ ผู้ชายอะไรวะเนี่ย ?"
ถึงอย่างไรผมก็ขอบคุณ อาดัม และ อีฟ คุณทวดทั้งสองของผมที่สืบพันธุ์กันมา รักษาพันธุ์มิให้สูญตามธรรมชาติบังคับ ยอมรับความจริงที่ว่า
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดโสภาเท่าผู้ชายและผู้หญิง...!
เมื่อมีผู้ชายและผู้หญิง ปัญหาต่างๆ ก็ตามมา เช่น ผู้ชายกับผู้หญิงใครแข็งแรงกว่ากัน หรือชายกับหญิงใครทำงานหนักกว่ากัน
เป็นปัญหาโลกแตก บ้างก็ว่า ผู้ชายเป็นเพศที่แข็งแรง บังคับกดขี่ผู้หญิง ท่าอ่อนโยนที่สุดที่ผู้ชายพึงให้กับผู้หญิงได้คือ ท่าตบหัวเบาๆ ซึ่งยึดถือนิยมกระทำกันมาช้านาน
แต่ถ้าถามต่อไปว่า แล้วเช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใด ผู้ชายที่เข้าพิธีแต่งกับผู้หญิงเขาจึงเรียกว่า "เจ้าบ่าว"กลายเป็นไพร่ไปได้ยังไง ให้กับผู้หญิงเพศที่อ่อนแอ ใครจะตอบผมได้ ?
เจ้าบ่าว หรือเจ้าสาว ใครกันแน่เป็นทาสใคร ?
ก่อนแต่ง เขาอาจอยู่แทบฝ่าเท้าเธอ ยอมเป็นทาสเธอได้ แต่มันก็แค่วันสองวัน หลังจากนั้นเขาต้องการให้เธอเป็นทาสของเขาไปจนกว่าชีวิตจะเป็นเถ้า
ยี่เกเป็นบ้าไปเลย...!
มีท่านผู้หนึ่งที่ผมนับถือเล่าให้ผมฟัง โบราณชนสั่งสอนไว้ว่า งานที่หนักและเหน็ดเหนื่อยที่สุดสำหรับผู้ชายมีด้วยกัน 3 ประการคือ
เลี้ยงควายเล็ก มีเมียเด็ก ทำนาดอน
อาจมีผู้ไม่เข้าใจความหมาย พออธิบายได้ดังนี้
ควายตัวเล็กไถนาก็กินแรงชาวนา นาที่เป็นดอนก็เหนื่อยเพราะต้องหวิดน้ำเข้านาไม่เลิก ส่วนเมียเด็กนั้นเห็นทีเข้าใจกันดีอยู่แล้วครับ...!
ล้อมกรอบ/โพร์ไฟล์ นักเขียนนอก
ไก่อ่อน
"ชีวิตอิสระ" เริ่มมาแต่ปี 04 ความคิดอิสระ เริ่มเอาตอนอาวุโสแล้วเขียนหนังสือมาสี่สิบกว่าปี ถูกต้อนเข้าไร่ส้มไม่ใช่ในฐานะเป็นนกกระจอกแต่ในฐานะเป็นนักเขียนรุ่นหน้ากบ (พอเทียบได้-รุ่นฟรอนท์เอนด์)พลังในตัว 4x4 ลูก-เมีย-เมีย-และเมีย ข้อเขียนของเขา อ่านแล้วต้องคิดเพราะยากเหมือนกันนะ ที่ท่านผู้อ่านจะทายใจเขาถูกทั้งหมด
ABOUT THE AUTHOR
ไ
ไก่อ่อน
ภาพโดย : -นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ