ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
ซิบู...เมืองท่าแห่งความหวัง
บนยอดตึกวิสมาซันยัน ของบริษัททำไม้ที่มั่งคั่งของซาราวัก นับเป็นจุดที่เห็นเมืองซิบูได้ดีที่สุดแม้ว่าเป็นเวลากลางคืน ด้านล่างชาวซาราวัก ทั้งคนจีน คนพื้นเมือง คนเชื้อสายอินเดีย และมาเลย์กำลังชื่นชมกับการแสดงของชนเผ่าต่างๆ อย่างจดจ่อ เช่นเดียวกับแขกคนสำคัญของงานนี้คือกษัตริย์องค์รองที่เสด็จมาเป็นประธานในงาน พลุที่จุดขึ้นมาเป็นเสมือนการสิ้นสุดงานเทศกาลกาไว งานฉลองการเก็บเกี่ยวของชนเผ่าดายัคที่กลายมาเป็นงานที่สำคัญที่สุดของรัฐในเกาะบอร์เนียว ในขณะเดียวกันพลุนี้ก็เป็นเหมือนการต้อนรับทศวรรษใหม่ของเมืองซิบู เมืองท่าสำคัญที่ใหญ่เป็นอันดับสองของซาราวัก ที่ทางการซาราวักต้องการพัฒนาให้เป็นเมืองจุดหมายของการท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง
ในอดีต ซิบูมีประวัติศาสตร์ที่แนบแน่นกับการพัฒนาของรัฐซาราวัก ในศตวรรษที่19ซิบูยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรบรูไน ในขณะนั้นผู้คนรู้จักในชื่อเดิมว่า "มาลิง" และเป็นที่อยู่ของชนพื้นเมือง เผ่าเมลาเนา อิบันรวมทั้งมาเลย์ พื้นที่นี้เป็นเหมือนสุดขอบแดนป่าของสุลต่านแห่งบรูไน
การมาของ เซอร์เจมส์ บรูก ในเวลาต่อมาที่เริ่มครอบครองดินแดนตะวันตกของซาราวัก โดยการสนับสนุนของอังกฤษ ในปี 1853 ซิบูก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเซอร์เจมส์ บรูก ที่สถาปนาตนเองเป็น "WHITE RAJAH" หรือราชาขาวองค์แรกแห่งซาราวัก ซึ่งต่อมามีราชาอีกสองคน และแบ่งการปกครองซาราวัก เป็นส่วนๆ ซิบู คือส่วนที่สาม จากเดิมชื่อมาลิง เปลี่ยนใหม่ตามชื่อเงาะป่าที่คนพื้นเมืองเรียกว่า "ซิบัว"
วันก่อนไกด์ได้นำเราไปชมบ้านยาวแห่งหนึ่งของชาวอิบัน ที่มีครัวเรือนอยู่ 28 ห้อง บ้านยาวของชาวอิบันและชนเผ่าอื่นในซาราวัก มีลักษณะเป็นเรือนไม้ยกสูงเพื่อให้พ้นน้ำท่วม และแบ่งเป็นห้องๆสำหรับแต่ละครอบครัว มีลานตรงกลางยาวตลอดความยาวของบ้านเป็นที่สันทนาการ และลานด้านนอกเปิดโล่งเพื่อตากผ้า เหตุผลที่พวกเขาต้องรวมตัวกันอยู่เช่นนี้ก็เพื่อป้องกันศัตรูที่กลางเรือนเราพบหัวกะโหลกรมดำห้อยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ คาดว่าจะเป็นหัวกะโหลกของศัตรูที่ล่ามาได้ในอดีต บอร์เนียวเป็นที่เลื่องลือในเรื่องเผ่าล่าหัวมนุษย์ แต่ปัจจุบันเราพบเพียงคนแก่หน้าตาแจ่มใสสามสี่คนนั่งคุยกันโดยไม่สนใจพวกเราเลยส่วนหนุ่มสาวคาดว่าไปทำงานในเมืองกันหมด เผ่าล่าหัวมนุษย์จึงเป็นเพียงเงาแห่งอดีต
ถัดจากบ้านยาว แม่น้ำราจัง ซึ่งยาวที่สุดในซาราวัก ไหลผ่านอย่างเงียบสงบ มีความยาว 640 กม. และขุ่นคลัก ในอดีตถูกใช้เป็นเส้นทางหลักของสงครามระหว่างเผ่ารวมทั้งการล่องไม้ที่ตัดมาจากป่าตอนในของซาราวักอุตสาหกรรมทำไม้นับเป็นหนึ่งในรายได้หลักของรัฐบาลแห่งรัฐซึ่งมีอำนาจในการปกครองและดำเนินนโยบายเป็นของตนเองในระดับหนึ่ง ยกเว้นการต่างประเทศและความมั่นคงที่ต้องผ่านรัฐบาลกลาง คล้ายกับรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา หากให้เทียบกันจริงๆก็คงเปรียบได้กับอลาสกา ที่แม้แต่ผู้คนในสหรัฐอเมริกาเองก็รู้จักไม่มากนัก ที่โค้งแม่น้ำมีโรงไม้แห่งหนึ่งตั้งอยู่ มาคัส ไกด์ของเราบอกว่าตอนในของแม่น้ำแห่งนี้ยังเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ และมีบ้านยาวของชนเผ่าที่ยังคงเอกลักษณ์ไว้อย่างมากมาย เขายังบอกอีกว่า
การทำไม้ที่นี่เคร่งครัดเป็นพิเศษ ไม้ที่ไม่ได้ขนาดจริงๆ จะไม่ได้รับอนุญาตโดยเด็ดขาดบางครั้งมีการใช้แมลงปอเหล็ก
เพื่อขนไม้ในที่เข้าถึงได้ยาก ไม่ต้องตัดถนนทำลายป่าเพื่อเป็นทางชักลากนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขายังคงมีป่าอยู่กว่า 2 ใน 3 ของพื้นที่ทั้งหมดผมเห็นมีเรือด่วนวิ่งเข้าไปตอนในของแม่น้ำ เลยตั้งเป้าว่าต้องเข้าไปให้ได้สักครั้งหนึ่ง
เย็นวันนั้นผมและเพื่อนๆ ได้เดินชมเมืองซิบู ตามถนนเลียบแม่น้ำชุมชนส่วนใหญ่ในเมืองเป็นชาวจีนที่อพยพมาในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 จนถึงศตวรรษที่ 19 เพื่อมาเป็นแรงงานสร้างบ้านเมืองให้เจมส์ บรูก พวกแรกๆที่อพยพมาคือ พวกฮกเกี๊ยน และกวางตุ้ง ต่อมาตามด้วยคนฟูโจว ซึ่งกลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในซิบูเมื่อชาวฟูโจว ชื่อวองไนเสียง ได้ยินว่าเจมส์ บรูก จะให้ที่ดินเพื่อการปลูกข้าว สร้างบ้านชั่วคราวและข้าวกับเกลือฟรีเป็นเวลาหนึ่งปี แก่ผู้ที่นำชาวจีนไม่ต่ำกว่า 300 คน มาตั้งถิ่นฐานในซาราวัก หลังจากได้พบเจมส์บรูกแล้ว ในเดือนมกราคม ของปี 1901 วองไนเสียงก็นำคนจากบ้านเกิด 72 คน มาเป็นชุดแรก และ 535 คน ตามมาในเดือนมีนาคม ทำให้ซิบู รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า ฟูโจวใหม่แต่ชีวิตก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เมื่อสภาพดินที่นี่เป็นดินเค็ม ไม่สามารถปลูกข้าวได้ตามที่ต้องการซ้ำยังต้องเผชิญกับพวกแมลง หมูป่า และนกที่มากินผลผลิต ทำให้คนฟูโจวบางส่วนราว 200 คนจาก 1,118 คน ตายไปหรืออพยพไปที่อื่น ภายหลังตัววองไนเสียงเองก็กลับสู่เมืองจีนเพื่อรับตำแหน่งในคณะของ ดร. ซุนยัดเซน
ภายหลังชาวจีนที่เหลืออยู่ โดยเฉพาะฟูโจว เริ่มหันมาปลูกพริกไทยตามอย่างคนกวางตุ้งเมื่อเห็นว่าให้ผลผลิตดี และตามด้วยการปลูกยางพารา ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมทำไม้เริ่มเฟื่องฟูในทศวรรษที่ 70 คนฟูโจวจึงเข้ามาจับจองการทำไม้ และอุตสาหกรรมไม้นี่เองที่สร้างเมืองซิบู ขึ้นมา
จากท่าเรือด่วนที่นำคนเข้า/ออกแม่น้ำราจัง จากส่วนในของซาราวัก ผมเดินไปเรื่อยๆ ดูชีวิตของผู้คนบนเรือและฝั่ง แม่น้ำที่นี่ยังปลอดจากมลพิษ มีขยะให้เห็นน้อยมากแม้ว่าน้ำจะขุ่นคลักตามลักษณะแม่น้ำใหญ่ที่มาจากป่าดิบชื้น จากท่าเรือเราเห็นเจดีย์จีนทรงแปดเหลี่ยมอย่างชัดเจน เจดีย์เจ็ดชั้นนี้มีชื่อว่าตัวเปกกง มีสีสันที่งดงาม เป็นที่อยู่ของนกนางแอ่นนับพันๆ ตัวซึ่งทำรังอยู่ที่นี่ทั้งที่เจดีย์ปิดแล้วแต่เราก็ยังสปีคอิงลิชผสมจีนงูๆ ปลาๆ ขอให้คนดูแลเปิดให้เราจนได้ชั้นบนสุดเราสามารถมองเห็นวิวของแม่น้ำราจังและเมืองซิบูท่ามกลางอาทิตย์ที่จะลับขอบฟ้าได้อย่างชัดเจน นกนางแอ่นบินเข้าๆ ออกๆ รังที่อยู่ใต้หลังคากลายเป็นฉากประกอบที่งดงามยามอาทิตย์อัสดงของเย็นวันนั้น
เสียงพลุดังขึ้นมาอีกระลอกใหญ่ก่อนที่จะสงบลง พร้อมกับถึงเวลาที่เราจะต้องลงจากตึกซันยันแม่น้ำราจังในเวลากลางคืนช่างดูเงียบสงบและลึกลับทำให้ผมอยากจะค้นหาด้วยการล่องแม่น้ำขึ้นไปเช่นเดียวกับนักเดินทางรุ่นก่อนไม่ว่าจะเป็นชาวพื้นเมือง นักแสวงโชคชาวจีน หรือผู้ปกครองชาวอังกฤษก่อนลงจากตึกผมเดินผ่านห้องโถงใหญ่ และเห็นชุดซามูไรเก่าแก่ชุดหนึ่ง จึงอดถามไกด์กิตติมศักดิ์ผู้ดูภูมิฐานไม่ได้ว่าเป็นของใคร เขาบอกว่าบริษัทญี่ปุ่นที่เราทำธุรกิจด้วยมอบให้เป็นของขวัญแก่พ่อเขาอ้า ! ผมอุทานในใจ ความหวังที่จะได้ไปในที่ที่คนอื่นๆ ไม่เคยไปในซาราวัก พอมีเค้าแล้ว
ขอขอบคุณ
TOURISM MALAYSIA
เรื่องโดย : สุเทพ กฤษณาวารินทร์
ภาพโดย : สุเทพ กฤษณาวารินทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : ฟ้ากว้าง ทางไกล (4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/56158