ถ้าจะวัดผลการทำตลาดรถไฟฟ้า ในประเทศไทย นับตั้งแต่เมื่อ 3-4 ปีก่อนจนถึงตอนนี้ ถือว่าสอบผ่านนะครับ เพราะตลาดขยายตัวขึ้นมาก
อย่างไรก็ตาม เริ่มต้น 3 เดือนแรกของปีนี้ แม้ยอดขายรถไฟฟ้ายังคงโตอยู่ แต่โตในสัดส่วนที่น้อยลง คือ เมื่อก่อนกราฟจะพุ่งขึ้นเป็นแนวตั้ง แต่ตอนนี้ค่อยๆ เขยิบเป็นแนวระนาบ
ตรงนี้ผมวิเคราะห์ว่า เป็นเพราะผู้ซื้อเริ่มเปลี่ยนกลุ่ม และในอนาคตอันใกล้จะมีเรื่องตลาดรถมือสองมาเป็นปัจจัยร่วม
ผู้ซื้อกลุ่มแรก หรือกลุ่มที่ซื้อรถไฟฟ้าในช่วงต้นๆ เป็นพวกที่ซื้อไว้เป็นรถคันที่ 2 ของครอบครัว หมายความว่า ในครอบครัวมีรถสันดาปอยู่แล้ว พอมีรถไฟฟ้าออกมา หน้าตาดี ราคาโดน เลยซื้อไว้ใช้งานสนุกๆ ไม่ได้จริงจัง อาจใช้เฉพาะขับไป-กลับระหว่างบ้านกับที่ทำงาน สักวันละ 80 กม. สมมติรถชาร์จเต็มวิ่งได้ 300 กม. ก็สบายเลย ยิ่งถ้าที่ทำงานมีแท่นชาร์จด้วย ยิ่งไม่ต้องกังวล
แต่ช่วงหลัง ผู้ซื้อแบบกลุ่มแรกเริ่มมีน้อยลง เกิดผู้ซื้อเปลี่ยนกลุ่ม กลายเป็นพวกที่ต้องการซื้อเป็นรถคันแรก หรือรถคันเดียวของครอบครัว คือ มีไว้สำหรับใช้งานทุกวัน และไปทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะแค่ที่ทำงานกับบ้าน ฉะนั้น ย่อมต้องคิดมากเรื่องความสะดวกในการใช้งาน ซึ่งยังไงก็สู้รถน้ำมันไม่ได้ พอคิดมากก็ทำให้การซื้อชะลอลง
นี่แหละเป็นสาเหตุทำให้กราฟตั้งแต่ต้นปีเริ่มโตเป็นแนวระนาบ และคงเป็นอย่างนี้ไปอีกระยะหนึ่ง มันจะไม่โตเร็ว เหมือนอย่างที่หลายคนกลัวว่าจะทำให้รถสันดาปสูญพันธุ์
ทีนี้ลองดูตลาดรถใช้แล้ว ซึ่งอาจเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของอนาคตรถไฟฟ้าบ้านเราได้เลย เพราะคงมีน้อยคนที่จะซื้อรถโดยไม่คำนึงถึงราคาขายต่อ แล้วราคาขายต่อของรถไฟฟ้านั้น คิดยังไงก็ไม่คุ้ม และน่าจะหาคนซื้อยากอีกต่างหาก
เหตุผลมีมากมายครับ ทั้งรถใหม่ป้ายแดงราคาถูก แถมมีสงครามราคาให้ลุ้นตลอด/เทคโนโลยีพัฒนาเร็ว/ค่าซื้อแบทเตอรีลูกใหม่หลังหมดประกัน แพงมาก/ไฟแนนศ์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ฯลฯ
ขอปิดท้ายด้วย เรื่องอนาคตของรถจากประเทศจีน ที่คนชอบถามผมเป็นประจำ
ปีที่แล้ว ในงาน “มหกรรมยานยนต์” ของเรา มีรถจีนเข้าร่วมทั้งหมด 19 บแรนด์ แสดงให้เห็นว่าการเติบโตสูงมาก ซึ่งถ้ามันโตอย่างนี้เรื่อยๆ รถสันดาปเจ้าเก่าคงสูญพันธุ์แน่ แต่อย่างที่ผมบอกไงครับว่า กราฟของรถไฟฟ้ามันเริ่มชะลอ ไม่พุ่งเร็วเหมือนเดิมแล้ว
นอกจากนี้ รถจีนยังเข้ามาแบบมีเงื่อนไขของ บีโอไอ ค้ำคออยู่ คือ หากจะขอส่วนลดภาษีต่างๆ จะต้องมาประกอบรถในประเทศด้วย แล้วถ้าภายใน 4-5 ปีเขาทำไม่สำเร็จ หนีกลับบ้านไปเลย รัฐบาลจะทำยังไง
เอาเป็นว่า รถจีนที่ตอนนี้มีถึง 20-30 เจ้า ในอนาคตคงต้องมีบางเจ้าโบกมือบ๊ายบายไปบ้าง ซึ่งไม่ได้หมายความว่า รถไม่ดี แต่อาจเป็นเพราะทุนหมด ไปต่อไม่ไหว หรือไม่สามารถทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกับรัฐไว้ได้
ดังนั้น คนที่จะซื้อรถไฟฟ้าจีนต้องคิดเผื่อไว้ด้วยนะครับว่า ถ้าวันหนึ่งเขายกทัพกลับบ้าน ศูนย์บริการของเขาจะเป็นยังไง อะไหล่ที่เราสั่งมา จะใช้เวลานานขนาดไหน แม้ปัจจุบัน ก็ยังเกิดปัญหากับบางยี่ห้อ ที่อะไหล่บางชิ้น ต้องรอนานถึง 6 เดือน
สรุปแล้ว ในภาพรวม ตลาดรถไฟฟ้าสอบผ่านฉลุย แต่ต่อไปจะเริ่มสโลว์ดาวน์ เพราะคนซื้อจะต้องใช้วิจารณญาณมากขึ้น อย่างน้อยก็ต้องมากกว่า การตัดสินใจซื้อรถสันดาป ไฮบริด หรือพลัก-อิน ไฮบริด แน่นอนครับ
บทความแนะนำ