หลังจากที่ บสย. หรือบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม คิคออฟโครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ”
ผลความคืบหน้าของโครงการนี้ มีส่วนช่วยผลักดันให้ยอดจำหน่ายรถกระบะในประเทศไทย กระเตื้องขึ้นมากน้อยแค่ไหน ยังคงเป็นคำตอบที่รอการพิสูจน์
โครงการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา พร้อมเปิดรับคำขอค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อ “บสย. SMEs PICK-UP” มีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 ในระยะแรก บสย. เตรียมวงเงินค้ำประกันสินเชื่อไว้ 5,000 ล้านบาท มุ่งช่วยผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น ผ่านกลไกการค้ำประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะใหม่ของ บสย. วัตถุประสงค์หลักก็เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่สถาบันการเงิน (ไฟแนนศ์) ในการปล่อยสินเชื่อ เพิ่มโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถกระบะเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพ เช่น เกษตรกร, ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง, ขนส่งสินค้า, ค้าขาย และอื่นๆ
ภายใต้มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” จะช่วยธุรกิจ SMEs ลดภาระทางการเงิน ด้วยสิทธิประโยชน์ฟรีค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 3 ปีแรก โดยรัฐบาล และกระทรวงการคลังเป็นผู้ออกค่าธรรมเนียมค้ำประกันให้ ส่วนปีที่ 4-7 คิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันต่ำเพียง 1.5 % ต่อปี ของภาระหนี้ค้ำประกันในแต่ละปี เช่น ภาระหนี้สินเชื่อปีที่ 4 คงเหลือ 3 แสนบาท เจ้าของ SMEs จะจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อเพียง 4,500 บาทเท่านั้น มาตรการนี้รัฐเขาค้ำประกันสูงสุดนาน 7 ปี หรือผ่อน 84 งวด และวงเงินค้ำประกันสูง 1.5 ล้านบาท/ราย
เบื้องต้นมีสถาบันการเงิน และกลุ่มลีสซิงที่มีสถาบันการเงินถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 50 % ตามประกาศของกระทรวงการคลัง ประมาณ 7 แห่ง ที่ร่วมให้บริการสินเชื่อ สำหรับมาตรการนี้ มีใครบ้าง ลองไปค้นหากันเอง เห็นบอกว่าจะมีเพิ่มเติมเข้ามาอีกหลายสถาบันการเงิน
ถามว่ามาตรการนี้ ส่งผลอย่างไรต่อตลาดรถยนต์ในประเทศไทย บอกเลยว่า ฟังผ่านๆ พอเคลิ้มๆ น่าจะเป็นผลดี และมีประโยชน์กับค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่ค้าขายรถกระบะ แต่เราจะปักใจเชื่อไปเลยว่า มาตรการนี้จะช่วยยกระดับตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ให้ดูดีขึ้นจากปีที่แล้ว คงต้องทำใจเผื่อไว้สักหน่อย จริงอยู่ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่สร้างเม็ดเงิน หรือ GDP ให้แก่ประเทศมาโดยตลอด มีการประเมินไว้ว่า อุตสาหกรรมรถยนต์ สร้าง GDP สูงถึง 18 % เพราะเราเป็นฐานการผลิต และประกอบรถยนต์หลากหลายชนิด และประเภทพลังงาน โดยเฉพาะฐานการผลิตรถกระบะ ขนาด 1 ตัน เราเป็นแชมพ์มาโดยตลอด
“กระบะพี่ มีคลังค้ำ” ส่งผลอย่างไรต่อยอดจำหน่ายรถยนต์ โดยเฉพาะรถกระบะ ผมมีตัวเลขยอดจำหน่ายรถกระบะที่รวบรวมโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เป็นตัวเลขเดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 มาเล่าให้ฟัง
ปี 2568 มีการประมาณการยอดจำหน่ายรถยนต์ไว้ที่ 600,000 คัน...6 เดือนที่ผ่านมา รถนั่งโตมากกว่ารถกระบะ
ยอดขายรถกระบะยังไม่ดีเท่าไหร่ มาตรการ “กระบะพี่ มีคลังค้ำ” มีคนสนใจลงทะเบียนน้อย บวกกับสภาวะหนี้ครัวเรือนยังสูงอยู่ การปล่อยกู้จากสถาบันการเงินเข้มงวดมากขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อยอดจำหน่ายรถยนต์โดยรวม
เดือนมกราคม-มิถุนายน 2568 รถยนต์มียอดขายสะสม 302,694 คัน ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 1.73 โฟกัสไปที่ตลาดรถกระบะ พบว่า มียอดจำหน่ายรวม 73,620 คัน ลดลงร้อยละ 17.82 มีการประเมินว่า ยอดขายได้น้อย อาจจะเพราะมีรถ EV ราคาถูกเข้ามาจำหน่ายมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงรถ EV ได้ง่าย และมีส่วนที่ทำให้มาร์เกทแชร์ของรถ ICE ได้รับผลกระทบ
สำหรับประมาณการผลิตรถยนต์ปี 2568 ในช่วงต้นปี ตั้งเป้าไว้ 1,500,000 คัน ผ่านมา 2 ไตรมาส มีการปรับลดเป้าหมายลงที่ 1,450,000 คัน ลดลงร้อยละ 3.33
เสริมอีกนิดครับว่า ประเทศไทยเริ่มผลิตรถกระบะ EV ครั้งแรกในเดือนเมษายน 2568 และเริ่มส่งออกรถ EV ในเดือนพฤษภาคม 2568 เช่นกัน นี่อาจจะเป็นทางเลือกใหม่ที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดรถยนต์
ถ้าตอบแบบฟันธง มาตรการนี้จะสัมฤทธิ์ผลมากน้อยแค่ไหน ! ถ้าจะสรุปตอนนี้ คงจะเร็วไปหน่อย เพราะมาตรการนี้ยังไม่สิ้นสุด ต้องรอดูถึงสิ้นปีนี้ ว่าจะมีส่วนช่วยกระตุ้นตลาดได้จริงหรือไม่ ?