แล่นไปในสายน้ำ
GREENLINE 45 FLY HYBRID
ที่ MBY เรามีโอกาสขึ้นเรืออยู่บ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่แล้ว การเดินทางมักจะเป็นทริพสั้นๆ ที่ออกทะเลกันแบบจริงจัง แล้วก็ตรงกลับสนามบินทันทีด้วย UBER แต่ครั้งนี้ต่างออกไป เพราะเราจะได้ใช้เวลาค้างคืนบนเรือจริงๆ
ต้องขอบคุณทีมงานจาก ARGO YACHTING ที่มายอร์กา ซึ่งจัดให้เราขึ้นเรือ GREENLINE 45 FLY HYBRID ลำใหม่ล่าสุด ไปล่องเรือเล่นก่อนจะหาจุดทอดสมอที่เงียบสงบ ห่างจากแหล่งจ่ายไฟบนฝั่ง เพื่อพักผ่อนในค่ำคืนนี้
เราจะได้เปิดใช้งานระบบต่างๆ บนเรือตามปกติ เพื่อความบันเทิงยามเย็น และการนอนหลับที่สบายตลอดคืน ก่อนจะออกเดินทางต่อในวันรุ่งขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ เราจะได้ทดลองใช้เรือลำนี้ในแบบที่นักเดินเรือตัวจริงใช้งานกัน และดูว่าระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 6 ของ GREENLINE จะตอบโจทย์ได้แค่ไหน
แนวคิดระบบไฮบริด
สำหรับรุ่นมาตรฐานของ GREENLINE 45 FLY จะใช้เครื่องยนต์ดีเซล YANMAR จำนวน 2 เครื่อง ทำงานร่วมกับระบบ V DRIVE แต่ในรุ่นไฮบริดนี้ จะมีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ eMOTOR ขนาด 25 กิโลวัตต์ เพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว/เพลา โดยจะอยู่ระหว่างเครื่องยนต์ดีเซล และระบบเกียร์
มอเตอร์ไฟฟ้านี้ใช้พลังงานจากแบทเตอรีลิเธียม โพลีเมอร์ที่ออกแบบมาอย่างกะทัดรัดมาก โดยแต่ละชุดมีความจุ 11.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง รุ่นมาตรฐานจะติดตั้งไว้ 3 ชุด แต่เรือทดสอบลำนี้มีถึง 4 ชุด และยังสามารถอัพเกรดได้สูงสุดถึง 6 ชุด หรือแม้แต่ 8 ชุดก็ยังมีพื้นที่พอ รองรับความจุแบทเตอรีสูงสุดถึง 66 หรือ 88 กิโลวัตต์ชั่วโมง ได้อย่างสบาย ๆ
การเพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้าบนเพลา ทำให้เพลามีความยาวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องขยับเครื่องยนต์ดีเซลถอยหลังลงมาเล็กน้อยไปอยู่ใต้ส่วนเก็บของท้ายเรือ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะมีถาดยกขึ้นได้แบบลิฟท์ในช่องเก็บของ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าถึงเครื่องยนต์ได้สะดวกเมื่อต้องการ
ตามที่หลายคนคาดหวัง แบทเตอรีเหล่านี้สามารถจ่ายไฟให้แก่อุปกรณ์ต่างๆ บนเรือ รวมถึงใช้ขับเคลื่อนใบพัดเมื่ออยู่ในโหมดไฟฟ้า แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ วิธีการชาร์จแบทเตอรีกลับนั้น ไม่ได้มาจากเครื่องปั่นไฟเฉพาะ และถึงแม้ GREENLINE จะมีชื่อเสียงเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ แต่รุ่นนี้ก็ไม่ได้ใช้แผงโซลาร์เซลล์เป็นหลักเช่นกัน
เพราะตัวเรือเป็นรุ่น FLYBRIDGE ไม่ใช่แบบ COUPE ทำให้พื้นที่สำหรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์มีจำกัด มีเพียงไม่กี่แผงที่ติดตั้งอยู่ด้านหน้าบนหลังคาใต้ตัวบังลมของ FLYBRIDGE เท่านั้น แม้ว่าในทางทฤษฎีจะสามารถติดตั้ง HARDTOP เพื่อเพิ่มพื้นที่รับแสง และผลิตพลังงานได้มากขึ้น แต่หากทำเช่นนั้นก็จะต้องลงทุนเพิ่มในระบบกันโคลง (GYRO) เพื่อชดเชยน้ำหนัก และแรงต้านลมที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน สรุป คือ เมื่อแบทเตอรีใกล้หมด ระบบจะใช้พลังงานจากเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อชาร์จกลับ ซึ่งสำหรับนักเดินเรือส่วนใหญ่แล้ว วิธีนี้ถือว่าสะดวก และไม่เป็นภาระเลย
บ้านพักของเราสำหรับคืนนี้ GREENLINE 45 FLY รุ่นไฮบริด ที่ขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานผสม
มอเตอร์ไฟฟ้าถูกติดตั้งไว้บนเพลา ระหว่างเครื่องยนต์ดีเซล และระบบเกียร์ ก่อนที่ระบบ V-DRIVE จะส่งกำลังต่อไปยังด้านท้ายของเรือ
เครื่องยนต์ดีเซลถูกขยับไปทางด้านท้าย ใต้ห้องเก็บของ เพื่อเปิดพื้นที่สำหรับติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรี
อัตราการใช้พลังงาน (กิโลวัตต์) จะเปลี่ยนไปแสดงเป็น “อัตราการชาร์จ” และ “เวลาใช้งานที่เหลือ” ก็จะกลายเป็น “เวลาในการชาร์จเต็ม” แทน
ล่องเรือก่อนมื้อค่ำ
การเริ่มต้นออกเดินทางถือเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่น และน่ารื่นรมย์มาก เรือรุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่าย ด้วยทางเดินรอบลำ ประตูด้านข้างสำหรับกัปตัน ช่องเปิดด้านข้างตัวเรือ และกระจกหน้าต่างทรงสูงที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย ทุกอย่างถูกจัดวางมาอย่างดีเพื่อให้ควบคุมได้สะดวก
อีกหนึ่งจุดเด่น คือ เมื่อเริ่มต้นเดินเรือ ระบบจะสลับเข้าสู่โหมดไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก ขณะเราค่อยๆ แล่นออกจากมารีนาด้วยความเร็วประมาณ 2-3 นอท เสียงรบกวนที่วัดได้ มีเพียง 46 เดซิเบล (A) เท่านั้น เรียกได้ว่าแทบจะเงียบสนิท
หน้าจอแสดงผลข้อมูลก็มีประโยชน์สุดๆ มันจะแจ้งให้ทราบว่าขณะนั้นเราใช้พลังงานไปเท่าไร และเหลือเวลาใช้งานอีกนานแค่ไหน ซึ่งช่วยให้เราประเมินระยะทางคร่าวๆ ที่จะเดินทางได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะทางในโหมดไฟฟ้าอาจไม่ได้ไกลมากนัก (อยู่ระหว่าง 5 ถึง 25 ไมล์) เพราะเป้าหมายของระบบไฮบริดนี้ไม่ใช่การเพิ่มระยะทาง และด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 6.5 นอท มันก็ไม่ได้เน้นเรื่องความเร็วเช่นกัน
จุดเด่นที่แท้จริงของระบบนี้ คือ ความสามารถในการแล่นเรือโดยปราศจากเสียงรบกวน การสั่นสะเทือน หรือควันไอเสีย ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งในน่านน้ำที่ต้องการการเคลื่อนไหวแบบเงียบสงบ เบาสบาย ทั้งเพื่อความผ่อนคลายของตัวคุณเอง และความสงบของผู้คนรอบข้าง และจากสิ่งที่เรือรุ่นนี้แสดงให้เห็นอยู่ตอนนี้ เราพูดได้เต็มปากว่า มันสามารถทำได้อย่างง่ายดายจริงๆ
ถึงอย่างนั้น อัตราการอัพเดทข้อมูลบนหน้าจอก็ถือว่าช้ามาก ช้าจนเรารอเกิน 2 นาทีกว่าค่าประเมิน “เวลาใช้งานที่เหลือ” จะอัพเดทให้ตรงกับรอบเครื่อง และความเร็วใหม่ สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้แล้วไปสนใจกับสิ่งอื่นแทน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ครับ เพราะตอนนี้เราออกจากมารีนา และเข้าสู่น่านน้ำเปิดเรียบร้อยแล้ว พร้อมที่จะเปิดเครื่องยนต์ดีเซลเพื่อเพิ่มความเร็วกันสักหน่อย
เมื่อแบทเตอรีเหลืออยู่ประมาณ 70 % เราก็กดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ YANMAR 370 ซึ่งทันทีที่เครื่องยนต์ทำงาน หน้าจอก็เปลี่ยนแสดงผลจาก “อัตราการใช้พลังงาน (กิโลวัตต์)” ไปเป็น “อัตราการชาร์จ” และจาก “เวลาใช้งานที่เหลือ” กลายเป็น “เวลาในการชาร์จเต็ม”
ในตอนนี้ มอเตอร์ไฟฟ้าจะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นตัวผลิตพลังงานแทน โดยสามารถจ่ายไฟกลับเข้าสู่แบทเตอรีได้สูงสุดที่ 29 กิโลวัตต์ ตั้งแต่รอบเครื่อง 1,200 ถึง 3,000 รตน. ซึ่งสามารถชาร์จแบทเตอรีที่หมดเกลี้ยงให้กลับมาเต็มได้ภายในประมาณ 90 นาที
ระบบนี้ยังฉลาดมากอีกด้วย เพราะเพื่อปกป้องสุขภาพของแบทเตอรี ระบบจะไม่ยอมให้ปล่อยพลังงานจนเหลือ 0 % หรือชาร์จจนถึง 100 % เต็ม และหากคุณเร่งเครื่องยนต์ดีเซลเกิน 3,000 รตน. ไปจนถึงความเร็วสูงสุดราว 23 นอท ที่ 3,650 รตน. ระบบก็จะหยุดการชาร์จโดยอัตโนมัติ เพื่อให้คุณได้กำลังขับเคลื่อนเต็มที่จากใบพัดโดยไม่ถูกแบ่งพลังงานไปชาร์จแบทเตอรี
ระหว่างที่เรากำลังคุยกันถึงข้อดีของระบบขับเคลื่อนนี้ ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ลมเริ่มพัดแรงขึ้น จนดูแล้วการจอดพักค้างคืนในอ่าวแบบที่ตั้งใจไว้คงไม่ปลอดภัยนัก
กัปตันจึงเปลี่ยนแผน พาเรากลับไปยังมารีนาแทน แล้วใช้ชีวิตบนเรือโดยพึ่งพาเพียงพลังงานจากแบทเตอรี แบบเดียวกับที่เราจะทำหากกำลังพักอยู่ในอ่าวห่างไกลที่ไม่มีไฟจากฝั่งให้ใช้
แล่นช้าๆ ด้วยความเร็ว 3 นอทในโหมดไฟฟ้า ให้ระดับเสียงเพียง 46 เดซิเบล (A) เท่านั้น เงียบสุดๆ
เครื่องยนต์ YANMAR 370 สามารถชาร์จแบทเตอรีของคุณให้เต็มได้ภายในประมาณ 90 นาที
การเปลี่ยนจากโหมดขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นดีเซล (จากการใช้พลังงานไปเป็นการสร้างพลังงาน) ทำได้ง่ายเพียงกดปุ่มเดียว
เบียร์เย็นๆ กับความจริงใจ
ขณะนั่งอยู่ที่มุมรับประทานอาหารในห้องซาลูน พร้อมเบียร์ 1 ลัง และเนื้อโคลด์คัทแบบสเปน ผมก็มีเวลามากพอจะครุ่นคิดถึงคุณค่าของการสร้างเรือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และในกรณีของ GREENLINE ผมต้องบอกเลยว่าความมุ่งมั่นของพวกเขาดูจริงจังมาก
บแรนด์นี้ก่อตั้งขึ้นในประเทศสโลวีเนียเมื่อปี 2008 ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำด้านการเดินเรืออย่างรับผิดชอบ และในวันนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือกเรือรุ่นเริ่มต้นแบบคูเป หรือรุ่นทอพอย่างฟลายบริดจ์ ทุกลำสามารถเลือกได้ว่าจะติดตั้งระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด ไฟฟ้าล้วน หรือดีเซลล้วน
ความมุ่งมั่นนี้ยังไปไกลกว่านั้นอีก ในขั้นตอนการผลิต เศษไม้ที่เหลือจะถูกนำไปอัดเป็นเม็ดเชื้อเพลิงเพื่อให้ความร้อน โฟมแซนด์วิชที่ใช้เสริมความแข็งแรงให้ตัวเรือก็ผลิตจากขวดพลาสติค PET รีไซเคิล และโฟมที่เหลือจากการขึ้นรูปเรือก็ถูกส่งต่อให้บริษัทใกล้เคียง นำไปใช้ผลิตฉนวนกันความร้อนสำหรับบ้านพักอาศัย แม้จะฟังดูยอดเยี่ยม แต่ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากว่า การติดแบทเตอรีเพิ่มอีกชุด จะเปลี่ยนเรือดีเซลให้กลายเป็นเรือรักษ์โลกได้จริงๆ
ใช่…คุณอาจพูดได้ว่าระบบขับเคลื่อนไฮบริดนั้นดีกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณโดยตรง เพราะไม่มีเสียงดัง แรงสั่นสะเทือน หรือควันพิษให้รบกวน แต่ในความเป็นจริง แบทเตอรีที่ใช้ก็เต็มไปด้วยลิเธียม โคบอลท์ แมงกานีส และนิคเคิล ซึ่งล้วนต้องผ่านกระบวนการขุดเจาะ สกัด และขนส่งทั้งสิ้น และจนถึงตอนนี้ เรายังไม่มีแนวทางที่คุ้มค่า และชัดเจนสำหรับการรีไซเคิลแบทเตอรีเหล่านี้เมื่อหมดอายุการใช้งาน
พูดให้เป็นธรรม เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่ในวงการเรือเท่านั้น แต่วงการรถยนต์ไฟฟ้าเองก็เผชิญกับคำถามเดียวกัน ผู้คนนับล้านที่หันมาใช้พลังงานไฟฟ้า อาจกำลังทำตามกระแสนิยม หรือรู้สึกดีที่ได้ “ช่วยโลก” โดยที่บางที หากลองพิจารณาอย่างตรงไปตรงมา อาจจะพบว่า นี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง แต่ออกจะเป็นเหมือนยาหลอกให้ความรู้สึกดีมากกว่า
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเลือกใช้ระบบขับเคลื่อนไฮบริดแบบนี้ ก็อย่าเพิ่งหลอกตัวเองว่าคุณกำลัง “ช่วยโลก” อยู่
แต่จงมองมันในแง่ที่ว่า มันช่วยเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สนุก และน่ารื่นรมย์ให้แก่การล่องเรือของคุณ ซึ่งจนถึงตอนนี้ ก็ต้องยอมรับว่า มันทำหน้าที่นั้นได้ดีจริงๆ
ไม่มีอะไรช่วยให้มุมมองชัดเจนขึ้นได้เท่ากับเบียร์เย็นๆ สักกระป๋องอีกแล้ว
สภาพอากาศที่เริ่มแปรปรวน ทำให้เราต้องล้มเลิกแผนที่จะไปจอดพักค้างคืนในอ่าวห่างไกล
“มันช่วยเพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ ที่สนุก และน่ารื่นรมย์ให้แก่การล่องเรือของคุณ”
ก่อนที่เบียร์จะทำให้เส้นแบ่งระหว่าง “มุมมอง” กับ “ความดื้อดึง” เริ่มเบลอ ไม่ว่าจะอย่างไร ผมก็อยากทดสอบระบบของ GREENLINE ให้ถึงที่สุดหน่อย ผมจึงเสียบอุปกรณ์ทุกชิ้นที่พอหาได้ แบทเตอรีกล้อง โทรศัพท์ 2 เครื่อง แลพทอพ ไมโครโฟน 2 ตัว และแบทเตอรีสำรองแบบพกพา รวมถึงของจุกจิกอื่นๆ อีกมากมาย นั่งดูทีวีภาษาท้องถิ่นที่ฟังไม่ออก เปิดตู้เย็นทุกบาน ชงชารัวๆ แบบคนติดคาเฟอีน และทดลองเล่นกับทั้งระบบทำความร้อน และแอร์ เหมือนกับเวลาที่ผมอยู่บนเรือกับภรรยา และลูกๆ และไม่มีใครเลยที่ตกลงกันได้ว่า “อุณหภูมิที่สบาย” ควรอยู่ที่เท่าไร
พอรุ่งเช้ามาถึง ผมก็ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ลองอาบน้ำยาวๆ เพื่อให้ระบบปั๊มน้ำได้ออกแรงหน่อย ก่อนจะกลับไปต้มชา TWININGS อีกรอบ และเมื่อผมกลับไปดูที่หน้าจอควบคุมตอน 08.30 น. หรือ 14 ชั่วโมงหลังจากที่จอดเรือเรียบร้อย พบว่าเราใช้พลังงานไปประมาณ 1 ใน 3 จากเดิม 96 % เหลือ 64 %
แน่นอนว่า ถ้าเป็นช่วงหน้าร้อน เครื่องปรับอากาศอาจทำงานหนักกว่านี้ และถ้ามีอุปกรณ์อย่างดไรเป่าผม หรือที่หนีบผมมาเสริมอีก ก็อาจกินไฟเพิ่มขึ้นพอสมควร แต่ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ กับแบทเตอรีความจุ 44 กิโลวัตต์ชั่วโมง และพฤติกรรมการใช้พลังงานที่มากพอตัว (แต่ยังไม่ถึงกับเกินจำเป็น) ผมมั่นใจว่าเราน่าจะอยู่บนเรือต่อได้อีก 1 วันเต็ม และนอนค้างได้อีกคืนก่อนจะต้องออกเรือเพื่อชาร์จไฟ
ซึ่งสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปก็ถือว่าเพียงพอมากแล้ว แต่ถ้าอยากเพิ่มความยืดหยุ่นอีกนิด และไม่ต้องมานั่งคำนวณการใช้พลังงานในคืนถัดไป ผมก็ยังคิดว่าคุ้มค่าที่จะลงทุนเพิ่มอีกเล็กน้อย ราว 15,400 ยูโร (ยังไม่รวมภาษี)/แบทเตอรี 11 กิโลวัตต์ชั่วโมง 1 ชุด เพื่อขอเพิ่มจากมาตรฐานที่ให้ 3 กล่อง เป็น 6 หรือแม้กระทั่ง 8 กล่องไปเลย
ด้วยพื้นที่กว้าง โปร่งสบาย แสงธรรมชาติเข้าถึง และวิวที่สวยงาม ห้อง VIP ด้านหน้าจึงอาจจะเป็นห้องที่ดีที่สุดบนเรือลำนี้เลยก็ว่าได้
โซฟาของเจ้าของเรือที่ด้านซ้าย (PORT SIDE) ออกแบบได้อย่างชาญฉลาด ใช้ประโยชน์จากพื้นที่เหนือศีรษะที่สูงขึ้นได้อย่างเต็มที่
ห้องน้ำของเจ้าของเรือจัดวางอย่างลงตัว และใช้งานได้ดีเยี่ยม แต่ถ้ามีกระจกแบบไล่ฝ้าด้วยก็คงจะสมบูรณ์แบบไปเลย
ว่าด้วยตัวเรือสักเล็กน้อย
การได้ค้างคืนบนเรือก็มักจะเผยให้เห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากปรับปรุง ซึ่งก่อนจะออกเดินทางกันต่อ ขอเล่าคร่าวๆ ให้ฟังดังนี้
อย่างแรกเลย ถ้าแผ่นเพดานแบบยุบในห้องเจ้าของเรือ (OWNER’S CABIN) มีการบุผ้านุ่มตามขอบ ก็น่าจะช่วยให้ดูหรูขึ้น และป้องกันศีรษะของคนที่เดินผ่านไม่ให้ไปชนแบบไม่ตั้งใจได้ด้วย ส่วนเตียงเองก็ออกจะแข็งไปสักนิด และถ้าจะเพิ่มกระจกไล่ฝ้าในห้องน้ำในตัวก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่
ถึงจะมีรายละเอียดที่น่าปรับ แต่โดยรวมแล้ว ห้องนี้ถือว่าดีมาก เป็นห้องแบบเต็มลำ มีหน้าต่างบานใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ มีตู้เก็บของด้านหนึ่ง และเก้าอี้ยาวสไตล์เชสลอง (CHAISE LONGUE) อีกด้าน
หากใครอยากเพิ่มความหรูหรา ยังสามารถเลือกเปลี่ยนห้องที่ 3 ด้านขวา (STARBOARD SIDE) ให้กลายเป็นห้องแต่งตัวแบบวอล์คอินขนาดใหญ่สำหรับทั้งเจ้าของเรือ และแขกห้อง VIP ได้อีกด้วย และการนำเครื่องซักผ้าไปติดตั้งไว้ใต้ขั้นบันไดก็เป็นการใช้พื้นที่ที่ฉลาด และมีประโยชน์
แต่ถ้าเรือลำนี้เป็นของผู้เขียนเอง ผมคงยกห้องเจ้าของเรือให้คนอื่นไป แล้วเลือกนอนห้องหัวเรือแทน เพราะห้องนี้มีหน้าต่างรอบด้านบริเวณเตียงแบบยกพื้น แถมยังออกแบบให้มีช่องเปิดในแนวกันคลื่น อย่างลงตัว รวมกับความโค้งมนของตัวเรือ ทำให้ห้องดูโปร่ง กว้างขวาง แสงธรรมชาติเข้าได้เต็มที่ และมีพื้นที่ยืนสบายไม่อึดอัด แถมพื้นที่เก็บของก็มีให้เหลือเฟือ ทั้งลิ้นชักรอบห้อง และตู้เสื้อผ้าแบบแขวน และที่ชอบมาก คือ สามารถนั่งพิงหัวเตียงได้สบายๆ เพราะรูปทรงตัวเรือช่วยให้สามารถวางเตียงให้ต่ำลงได้ โดยไม่ต้องไปเบียดกับมุมแคบปลายหัวเรือแบบเรือทั่วไป
ข้อเสียเพียงเล็กน้อยก็คือ ห้องน้ำในตัวของห้อง VIP นี้ถูกใช้ร่วมกันเป็นห้องน้ำหลักของเรือด้วย แต่ถ้าไม่นับจุดนี้ ถือว่าเป็นห้องที่สวย และน่าอยู่มากจริงๆ และแม้เช้านี้เราจะไม่ได้จำเป็นต้องออกเรือเพื่อทดสอบอะไรเพิ่มเติมแล้ว แถมยังสามารถเดินเครื่องด้วยเกียร์ว่างเพื่อชาร์จแบทเตอรีได้โดยไม่ต้องเคลื่อนที่ไปจุดอื่น แต่ไหนๆ ก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก่อนต้องกลับแล้ว จะให้นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ออกไปเล่นสนุกอีกสักทีก็คงน่าเสียดาย
เรือไฮบริด GREENLINE 45 รุ่นนี้ คุ้มค่าหรือไม่
ต้องขอบคุณทีม ARGO YACHTING ที่เปิดโอกาสให้ผู้เขียนได้สัมผัสเรือลำนี้อย่างใกล้ชิด เพราะช่วงเวลา 2 วันเต็มๆ บนเรือ GREENLINE 45 FLY HYBRID นั้น สร้างความประทับใจ และให้ความรู้สึกที่ชัดเจนมากๆ บอกเลยว่า ถ้าคุณกำลังมองหาระบบไฮบริดที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อเพิ่มระยะการเดินทาง นี่ไม่ใช่คำตอบ หรือถ้าคุณกำลังมองหาเรือที่ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” อย่างแท้จริง เรือลำนี้ก็อาจยังไม่ใช่เช่นกัน แต่ถ้าคุณกำลังมองหาเรือครอบครัวขนาดกลางแบบฟลายบริดจ์ ที่ออกแบบพื้นที่ได้ลงตัว ใช้งานง่าย มีแสงธรรมชาติเข้าถึง พร้อมวิวสวยรอบตัว GREENLINE 45 FLY HYBRID ลำนี้ตอบโจทย์แน่นอน หรือถ้าคุณเห็นคุณค่าของการเดินเรือในโหมดเงียบ ไม่มีเสียง ไม่มีควัน โดยเฉพาะเวลาจอดในอ่าว หรือมารีนา ระบบไฮบริดของเรือลำนี้ ก็ยังเป็นคำตอบที่ใช่ และสุดท้าย หากคุณต้องการนอนค้างคืนบนเรือโดยไม่ต้องพึ่งเจเนอเรเตอร์ให้เสียงรบกวน ในพื้นที่ที่ท่าเรือมักเต็มอยู่เสมอ เรือ GREENLINE 45 FLY HYBRID ลำนี้ก็พร้อมตอบสนองได้อย่างน่าประทับใจ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : www.greenlineyachts.co.uk
ถ้าคุณกำลังมองหาเรือครูเซอร์ที่ออกแบบพื้นที่ได้อย่างชาญฉลาด และใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ เชิญทางนี้
แนวคิดในการใช้เครื่องยนต์ดีเซลสำหรับการเดินทางระยะไกลในทะเล และใช้พลังงานจากแบทเตอรีเมื่อจอดในมารีนา หรืออ่าวนั้น ถือว่าเป็นแนวทางที่ชาญฉลาด และลงตัว
เครื่องยนต์ YANMAR ขนาด 370 แรงม้า เป็นตัวเลือกเดียวสำหรับรุ่นไฮบริดลำนี้
ข้อมูล
การใช้พลังงาน (กิโลวัตต์) และอัตราการชาร์จแบทเตอรี จะแสดงไว้อย่างชัดเจนบนหน้าจอ MFD
พลังงาน
ระบบจะหยุดการชาร์จเมื่อรอบเครื่องยนต์แตะ 3,000 รตน. เพื่อให้พลังขับเคลื่อนสูงสุด
การสลับระบบ
การเปลี่ยนจากโหมดแบทเตอรีไปเป็นดีเซล ต้องทำด้วยตนเอง ไม่ได้เป็นระบบอัตโนมัติ