“ชีวิตอิสระ” เล่มนี้ ขอเปิดศักราชใหม่ปี 2569 ด้วยการเดินทางสายบุญไปยังดินแดนแห่งศรัทธา “ถ้ำนาคา” จ. บึงกาฬ สถานที่ที่ถูกผูกโยงกับตำนานความเชื่อเกี่ยวกับ “พญานาค” ที่ถูกจองจำ การเดินทางครั้งนี้จะลำบากแค่ไหน ไปชมกันครับ
เราออกเดินทางด้วยรถ FORD EVEREST WILDTRAK (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไวลด์ทแรค) จากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) และทางพิเศษ M6 เพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ. นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี สกลนคร และบึงกาฬ ระยะทางประมาณ 700 กม. ใช้เวลาไปกว่า 11 ชม. ซึ่งถือว่าเร็วกว่าที่คิดไว้ อาจเป็นเพราะเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร 190 แรงม้า ที่ทำงานผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER เป็นไปอย่างราบรื่น ผมใช้ความเร็วเดินทางประมาณ 100-120 กม./ชม. วัดอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ประมาณ 12-13 กม./ลิตร ถือว่าประหยัดใช้ได้เลยในยามเดินทางไกล
ถ้ำนาคา ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูลังกา ต. โพธิ์หมากแข้ง อ. บึงโขงหลง จ. บึงกาฬ ถ้าเรากางดูแผนที่ จะเห็นว่าอยู่ออกไปทางทิศตะวันออกสุดของจังหวัด ติดกับ จ. นครพนม นู้นเลย ซึ่งถ้ามาจาก จ. นครพนม จะใกล้กว่าด้วยซ้ำไป
ถ้ำนาคา หากไม่อิงกับความเชื่อ ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรณีวิทยาที่น่าสนใจอีกแห่งในประเทศไทย ด้วยความที่มีสภาพพื้นผิวที่ถูกกัดกร่อนตามธรรมชาติเป็นเวลานาน ตามปรากฏการณ์ SUN CRACK ทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีลวดลายคล้ายกับเกล็ดปลา หรือเกล็ดงู และด้วยความที่เป็นพื้นที่ภูเขาหินทรายที่มีลักษณะโค้งตัว ทำให้รูปร่างโดยรวมคล้ายกับการขดตัวของงูใหญ่ หรือพญานาค (ตามความเชื่อ) โดยในแต่ละฤดูกาลจะให้ภาพ และบรรยากาศแตกต่างกันไป ในฤดูฝนจะเกิดมอสส์ เฟิร์น และพืชพรรณต่างๆ เกาะผิวหิน เมื่อโดนแสงจะสวยงามมากดูมีชีวิตชีวา ในช่วงฤดูร้อน จะเห็นผิวหินชัดเจน จนน่ากลัว
ตำนานปู่อือลือเล่าว่า บริเวณบึงโขงหลงเคยเป็นเมืองโบราณชื่อรัตพานคร ซึ่งล่มสลายจากความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ และพญานาค หลังเจ้าชายฟ้ารุ่งอภิเษกกับนาครินทรานี ธิดาพญานาคราชที่แปลงกายเป็นมนุษย์ แต่เมื่อร่างนาคของนางถูกเปิดเผย ประชาชนขับไล่นางกลับเมืองบาดาล ทำให้พญานาคราชโกรธ และยกไพร่พลมาทำลายเมืองจนจมหายกลายเป็นบึงโขงหลง เหลือเพียงสามวัดเท่านั้น ส่วนพระอือลือราชาถูกสาปให้เป็นนาคเฝ้าบึงแห่งนี้ชั่วนิรันดร์ จนกว่าจะพ้นคำสาป หากเกิดเมืองใหม่ขึ้นอีกครั้ง และเมืองนั้น คือ จังหวัด “บึงกาฬ”
จากนิทานพื้นบ้านของตำนานความเชื่อเรื่อง “เจ้าปู่อือลือ” ที่ถูกสาปให้เป็นพญานาค และถูกจองจำ โดยจะพ้นคำสาป และทำให้พื้นที่นั้นได้เป็นที่รู้จัก เจริญรุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อนก็ต่อเมื่อ ครบ 10 ปี ของเมืองใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับการครบรอบการก่อตั้ง จ. บึงกาฬครบ 10 ปี ในปี 2563 ทำให้ผู้ที่ได้มาพบเห็นภายในถ้ำแห่งนี้ มักพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าคล้ายเกล็ดงูยักษ์ หรือลำตัวของพญานาค จึงเกิดการกระจายข่าวไปตามความเชื่อส่วนบุคคล จนทำให้นักท่องเที่ยวทั่วประเทศอยากมาชื่นชมความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ และขอพรที่ถ้ำนาคาแห่งนี้ จึงโด่งดังจนถึงปัจจุบัน โดยถ้ำนาคาเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมครั้งแรก เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2563
“ชีวิตอิสระ” ได้เดินทางไปด้วยตัวเองพบว่า การเดินทางระยะแรก เป็นช่วงที่ “โหดที่สุด” ใครที่ท้อ หรือถอดใจตั้งแต่ช่วงนี้ จะไม่สามารถขึ้นไปถึงถ้ำนาคาได้ ไกด์บอกว่าช่วงวัดใจจะเริ่มตั้งแต่จุด A ไปถึงจุด E โดยจะเป็นทางขึ้นบันไดชัน ที่มีแต่ชันขึ้นเรื่อยๆ สลับกับการปีนโขดหินบ้าง ผมพยายามเดินเรื่อยๆ แบบไม่ใจร้อน ถ้าเหนื่อยก็หยุดพักถ่ายรูป ชมหินรูปร่างแปลกตาไปเรื่อย ก็อาจบรรเทาความเหนื่อยไปได้บ้าง เราใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง ไกด์สาวก็พูดด้วยเสียงที่ดุดันว่า ตอนนี้เราได้ผ่านจุด E ที่โหดที่สุดมาแล้ว จากนี้ก็เดินต่อได้สบาย ผมนี่ดีใจน้ำตาจะไหล ที่ผ่านมา คือ บันไดสูงชันเกือบ 90 องศา โดยเฉพาะบันไดแดงในตำนาน (เป็นจุดที่ชันที่สุด) เรารอดแล้ว !
จากจุด E ทางเดินต่อไปจะเป็นบันไดสูง แต่เดินไม่ชันมาก ไม่นานนักก็ถึงจุด L เป็นจุดสิ้นสุดเส้นทางพิชิตถ้ำนาคา เราใช้เวลาเดินรวม 2 ชั่วโมงครึ่ง แบบไม่รีบ
เมื่อถึงบริเวณทางเข้าถ้ำนาคา เราต้องรอคิวเข้าไป เพราะภายในถ้ำเป็นที่แคบ จำเป็นต้องกำหนดคนเข้าไปเป็นรอบๆ ระหว่างรอ ไกด์จะให้เราหยุดรับประทานอาหารกันที่นี่ ที่สำคัญ คือ ไกด์มี “โค้กวุ้น” เย็นๆ มาให้รับประทานกันด้วย เซอร์พไรส์สุดๆ
เมื่อถึงคิว เจ้าหน้าที่จะกำชับเรื่อง “ห้ามสัมผัส” ทุกสิ่งทุกอย่างในถ้ำ เพราะเป็นการทำลายธรรมชาติ เอากลับได้แค่รูปถ่าย และความทรงจำเท่านั้น ต้องบอกว่า ถ้ำนาคานั้นสวยมาก เหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เราจะเห็นปรากฏการณ์ SUN CRACK ชั้นผิวด้านนอกที่ดูยังไงก็คล้ายลำตัวของงูมากๆ ซึ่งหลายคนจะบอกว่าเป็นลำตัวของพญานาคที่นอนขดตัวอยู่ ก็ไม่เกินจริงครับ
บริเวณผนังถ้ำเป็นลายเกร็ดพญานาคที่ชัดเจน อากาศภายในถ้ำเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ มีหลายจุดที่มีเรื่องราวทางความเชื่อ เช่น หินหัวใจพญานาคที่สามารถขอพรเรื่องสุขภาพได้ โพรงถ้ำขนาดเล็กที่ใหญ่กว่าหัวเรานิดเดียว เราสามารถมุดหัวเข้าไปขอพรเปร่งเสียงขอพรได้ แล้วเสียงจะดังกังวานจนน่าขนลุก นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกให้สักการะ รวมถึงหินลักษณะอื่นๆ อีกมากมาย
ทางเดินไปชมถ้ำนาคานั้นไม่ยาก แต่เหนื่อยมาก เพราะเส้นทางกว่า 80 % เป็นการไต่ขึ้นบันไดเหล็กที่สูงชันหลายขั้น สลับกับทางเดินราบเป็นช่วงสั้นๆ บางจุดจะต้องดึงเชือกเพื่อช่วยพยุงตัว ระยะทางไปกลับประมาณ 7 กม. ใช้เวลาเดิน 4-7 ชั่วโมง ดีที่มีจุดให้แวะพักตลอดทาง ซึ่งทั้งหมดมี 12 จุด เริ่มจากจุด A ถึง L นอกจากนี้ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในบริเวณเดียวกันให้เที่ยวชมอีก เช่น เจดีย์หลวงปู่เสาร์ เจดีย์หลวงปู่วัง ถ้ำหลวงปู่วัง และหัวนาคาหัวที่ 1 เป็นต้น
การเที่ยวถ้ำนาคาจึงจำเป็นต้องมีไกด์นำทางทุกครั้ง (สามารถติดต่อได้ก่อนขึ้น) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทาง ไม่เดินผิดเส้นทาง ได้ไปครบทุกจุดสำคัญ และเพื่อช่วยเหลือได้ทันทีหากเกิดอุบัติเหตุ โดยไกด์ 1 คน ต่อนักท่องเที่ยวไม่เกิน 7 คน ใครจะมาแนะนำให้มาแต่เช้าตั้งแต่ 7 โมง อากาศจะดี ไม่ร้อน และสามารถเที่ยวได้หลายจุด ซึ่งทางอุทยานฯ กำหนดให้ลงจากเขาถึงพื้นล่าง ก่อนเวลา 17.00 น. ที่นี่จึงเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่มีสภาพร่างกายแข็งแรง ไม่ตั้งครรภ์ และไม่มีโรคประจำตัว หากมีฝนตกหนักจะปิดการขึ้นเขา
มาอีสานทั้งที ก็ต้องกินอาหารอีสานให้หนำใจ ผมเลือกร้าน "จีจี จิ้มจุ่ม" ในตัวอำเภอบึงโขงหลง ที่นี่แม้ชื่อจะเป็นจิ้มจุ่ม แต่คนมากินส่วนใหญ่ จะเป็นเมนูอีสานปกติ ผมสั่งส้มตำปูปลาร้า เนื้อก้อยขม ต้มแซ่บเครื่องในเนื้อ และสเตกเนื้อโคขุน วัตถุดิบดีรสชาติจัดจ้านอย่าบอกใคร เพราะใช้วัตถุดิบที่สดใหม่ เข้าใจแล้วทำไมถึงเป็นร้านยอดนิยมของคนที่นี่ ใครผ่านไปลองกันดูครับ
ใครที่อยากขึ้นถ้ำนาคาแต่เช้ามืด และอยากซึมซับบรรยากาศของบึงโขงหลงอย่างแท้จริง ผมขอแนะนำ “เฮือนเคียงบึง รีสอร์ท” เนื่องจากอยู่ติดกับบึงโขงหลง และห่างจากถ้ำนาคาเพียง 15 นาที บรรยากาศตอนเย็นสวยมากๆ เหมาะกับการพักผ่อนเป็นที่สุด ที่นี่มีบ้านพักหลายแบบ หลายราคา แต่ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ในราคาเป็นมิตร เริ่มต้นเพียง 600 บาทเท่านั้น
บริษัท ฟอร์ด เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง

