รุ่นนี้พอมีเหลือ
ชายหญิงพบกัน
ข้าพเจ้าเชื่อในคำโบราณที่พูดว่า "พอไปวัดได้" กับสตรีสวยงาม ต้องเกี่ยวกับวัดเป็นสำคัญน่าจะเป็นหลักฐานพอมั่นใจได้ว่าสถานที่ซึ่งผู้ชายจะได้พบสตรีสาวก็คงเป็นวัด ไม่ใช่โรงหนังเมเจอร์
บรรพชนของข้าพเจ้าสมัยนั้น ถือว่าวัดในท้องถิ่นมีความหมายต่อครอบครัวถึงงานวัดครั้งใดก็จะเต็มไปด้วยชายหญิงพร้อมด้วยผู้เฒ่าผู้แก่ เพราะฉะนั้นถ้าสุภาพสตรีคนใดหน้าตางดงามก็มักถูกเรียกว่า
"ก็พอไปวัดไปวาได้อยู่หรอก"
ข้าพเจ้ามีอายุเลย 6 รอบมาแล้ว จำไม่ได้ว่าเคยนัดผู้หญิงไปพบที่วัดบ้างหรือเปล่าและก็จำไม่ได้ด้วยว่างานวัดทุกงานที่มีโอกาสไปทำบุญนั้นได้พบสาวสวยหน้าตาพอไปวัดหรือไม่
แม้ประสบการณ์ไม่มี แต่ข้าพเจ้าก็ยังเห็นว่าคนไทยถือวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์การนัดหมายระหว่างชายกับหญิงในวัดเป็นวาระสำคัญของชีวิต หากได้กระทำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ก็อาจมีมนต์ขลัง
ผู้หญิงที่ข้าพเจ้าพบคนแรกไม่มีโอกาสนัดหมายกันเลย เพราะเธอเป็นครูประจำชั้นประถมของข้าพเจ้าเองข้าพเจ้าชอบครูผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้บอกให้เธอทราบ เมื่อเรียนถึงชั้นมัธยมต้นก็หลงชอบครูอีกครูคนนี้ชอบสวมกระโปรงสั้นแค่เข่า เป็นกระโปรงบาน ข้าพเจ้าเรียนหนังสือกับเธอมักมีเจตนาไม่ดีชอบแกล้งทำปากกาคอแร้งตกจากโต๊ะเรียนบ่อยครั้ง
ตกทีไรก็ต้องก้มตัวลงไปเก็บ แล้วก็มองดูครูที่นั่งอยู่ที่โต๊ะครูข้างหน้า ดูแล้วก็มีความสุข
สมัยนั้น เป็นสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา กองทัพญี่ปุ่นยกมาอยู่เมืองไทยเพื่อมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ข้าพเจ้าเรียนมัธยมต้นอยู่ที่นครปฐม ต้องมีหลุมหลบภัยทุกโรงเรียนและทุกบ้านระหว่างเรียนหนังสือถ้าได้ยินเสียงหวอ ก็ต้องลงหลุมหลบภัยกันทั้งชั้น
ครูสาวซึ่งมีลำขาแข็งแรงอวบโต ก็จะยืนอยู่ที่ปากหลุมหลบภัยเพื่อคอยดูว่า เมื่อไรเครื่องบินทิ้งระเบิด บี 25 จะบินผ่านมา ข้าพเจ้าอยู่ในหลุมก็ไม่ขยับไปทางไหน ยืนอยู่ตรงทิศทางเดียวกับครูแล้วก็แหงนหน้าเหมือนจะดูเครื่องบิน
ก็มีความสุขดี
ระหว่างข้าพเจ้าเรียนหนังสือชั้นมัธยมต้น ยังไม่มีคู่รัก สุภาษิตที่นักเรียนรู้จักกันมากคือ
"ชีวิตคือการต่อสู้ สตรีเป็นยาชูกำลัง"
ข้าพเจ้ามารู้จัก เมื่อย้ายเข้ามาเรียนกรุงเทพ ฯ มีโรงเรียนสตรีเป็นล่ำเป็นสัน โรงเรียนที่ข้าพเจ้าเรียน คือโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เชิงสะพานพุทธ ใกล้กับโรงเรียนสตรี 2 แห่งคือ สตรีเสาวภา และโรงเรียนราชินีล่าง ปากคลองตลาด
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มีคู่รักเป็นนักเรียนสตรีทั้ง 2 โรงเรียนแต่ดันไปชอบเด็กสาวผู้ช่วยคนขายน้ำแข็งใสในโรงเรียนเธอก็ไม่ได้เป็นยาชูกำลังให้ข้าพเจ้าสักเท่าไร ขณะนั้นข้าพเจ้าเรียนมัธยม 7 ในปีพุทธศักราช 2491
วันหนึ่งโรงเรียนจัดท่องเที่ยวพาไปบางแสน โดยเหมารถเมล์ 2 คัน ข้าพเจ้าประสบอุบัติเหตุขาหักระหว่างนั่งกับเพื่อนๆ บนหลังคารถส่วนหน้า รถบุกทางเกวียนโขยกเขยกเข้าไปในบ่อน้ำร้อนปะทะกิ่งมะม่วง กิ่งมะม่วงหัก ขาข้าพเจ้าก็หักด้วย
ข้าพเจ้ามาทราบจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันภายหลังว่า ก่อนออกเดินทางจากโรงเรียนเด็กสาวผู้ช่วยคนขายน้ำแข็งใสในโรงเรียนแอบเอาผ้าเช็ดหน้าพับอย่างดีมาวางบนไหล่เสื้อข้าพเจ้า
ถือเป็นลางไม่ดีตั้งแต่ก่อนจะออกเดินทาง
วันนี้ อยากคุยเรื่องการนัดหมายผู้หญิงของผู้ชาย ชักเลยเถิดไปมาก
เป็นธรรมดาชายหญิงย่อมต้องอยากพบกัน อยากเห็นหน้ากัน แต่คำว่า "นัดหมาย" มีความหมายเกินเลยกว่านั้น เพราะหมายถึง การแลกเปลี่ยนถ้อยคำสำคัญระหว่างกันอีกต่างหาก
บทสนทนาระหว่างชั่วโมงแห่งการนัดหมาย ยิ่งเป็นการนัดหมายครั้งแรกยิ่งเป็นลักษณะสำคัญเป็นแกนนำของ SUMMIT MEETING เลยทีเดียว
และข้าพเจ้าเชื่อว่า ผู้ชายย่อมเป็นฝ่ายนัดหมายผู้หญิงเสมอ สถานที่นัดหมายที่น่าจะฮิทมากที่สุดก็คือร้านอาหาร
"ไปทานข้าวกันนะ" เป็นบัตรเชิญทุกครั้งที่นัดหมายผู้หญิง
ถ้าโชคดีสตรีสาวสวยยอมไปกินข้าวด้วย ก็ถือว่า สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งระหว่างกินข้าวก็จะต้องคุยกันเป็นธรรมดา
และข้าพเจ้าก็เชื่อร้อยเปอร์เซนต์ ผู้ชายส่วนมากมักคุยคำโต และโกหกคำโต พร้อมๆ กัน
อะไรในตัวที่มันดีก็ขุดเอาออกมาใช้ รายได้แต่ละเดือนมีเท่าไรก็บอกเกลี้ยงหารู้ไม่ว่ามันเป็นพันธสัญญาผูกพันไปถึงอนาคต เมื่อถึงเวลาจะถามฝ่ายผู้หญิงบ้างก็ตั้งต้นไม่ถูก ครั้นจะถามตรงๆ ว่า "ทำอะไรครับ ?" ก็แลดูไม่คมคายเลย
อาจต้องพูดอ้อมค้อมถึงว่า "ชอบงานประเภทไหนหรือครับคุณ ?"
ซึ่งก็อาจได้รับคำตอบ "ชอบอาบน้ำให้สุนัขที่บ้านค่ะ"
ร้านอาหารที่นัดหมายไปพบกัน สมัยนี้ต้องขอบใจร้านอาหารประเภทฟาสต์ฟูด แมคโดนัลด์ หรือไม่ก็เคเอฟซี สมัยก่อนข้าพเจ้าต้องยึดร้านอาหารใหญ่โตมีชื่อเสียง เช่น ร้านอาหารเรือนแพ ฝั่งธน ฯ เป็นต้น
ก็ต้องเข้าใจ ขืนนัดพบร้านส้มตำไก่ย่าง ฝ่ายผู้หญิงจะแต่งกายเพื่อให้ถูกใจผู้ชาย ก็ลำบากแล้วผู้ชายเองก็จะขืนใจตัวเองมากๆ ถ้าจะทักทายผู้หญิงเวลาพบกันว่า
"YOU LOOK FANTASTIC."
การกินอาหารในร้านอาหารน่าจะอยู่ในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ถือเป็นห้วงเวลามาตรฐานผู้ชายก็ต้องเตรียมวาระหัวข้อสนทนาไว้ให้พอดีกับ 120 นาที
"ร้อนนี้จะไปพักที่ไหนหรือครับ ?" น่าจะเป็นอีกหนึ่งประโยคที่ใช้ได้ หรือลูกทุ่งลงมาหน่อยก็อาจโพล่ง "เคยคิดไหมครับว่ามีที่ไหนในโลกเย็นๆ"
"นิวซีแลนด์ ค่ะ" อาจเป็นคำตอบเพื่อตัดบทการสนทนา ถ้าเธอคิดว่าผู้ชายร่วมโต๊ะไม่มีปัญญาพาเธอนั่งเรือบินไปได้
ต่อมาร้านอาหารชักเป็นภาพไม่ดีของสังคมคนดี เพราะความก้าวหน้าของโลกถึงเวลาผู้ชายนัดผู้หญิงกินข้าวทีไร มักไปจบลงที่โรงแรมม่านรูดด้วยความสมัครใจของทั้ง 2 ฝ่าย การนัดหมายของชายกับหญิงจึงแตกต่างสถานที่
ข้าพเจ้าเคยนัดหมายผู้หญิงไปดูภาพยนตร์ตามโรงภาพยนตร์ เคยนัดหมายผู้หญิงไปทานอาหารกลางวันที่ห้องอาหารตามโรงแรมระดับ 5 ดาว และบางทีก็เคยถูกผู้หญิงตราหน้าว่า "ผู้ชายอะไร (วะ) นัดมากินข้าวในโรงแรม แล้วก็กลับบ้านไปเฉย"
สมัยข้าพเจ้าเรียนหนังสือระดับเตรียมอุดม เคยพนันกับเพื่อนขณะเดินเล่นด้วยกัน มีสตรี 2 คนเดินสวนมาแต่ไกล คนหนึ่งคงเป็นคุณแม่ อีกคนเป็นเด็กสาว ข้าพเจ้าพนันเพื่อนว่าจะเข้าไปทักทายเด็กสาวคนนั้นให้ได้
และข้าพเจ้าก็ตรงเข้าไปพนมมือไหว้คุณแม่อย่างนอบน้อม บอกไปว่า "คุณแม่ที่บ้านบ่นคิดถึงหมู่นี้ไม่ค่อยไปหาเลย" แล้วหันมาคุยกับเด็กสาวว่า "หาเวลาพาคุณแม่ไปที่บ้านบ้างนะ"เสร็จแล้วข้าพเจ้าก็เดินออกมาโดยไม่หวังคำตอบ
คุณแม่ก็ยกมือไหว้รับอย่างดี แต่คงนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครและครั้นจะออกปากถาม ข้าพเจ้าก็เดินหนีออกมาอยู่กับเพื่อนๆ เสียแล้ว
ผู้หญิงในชีวิตข้าพเจ้าไปไม่ถึงวัด อย่างเก่งที่สุดก็แค่ต่อหน้าพระพุทธรูปในบ้านให้พระพุทธรูปเป็นพยาน จะกล่าววาจาอะไรออกมาก็ว่ากันไปหลังจุดธูปบูชาแล้ว ฉะนั้นวัดกับข้าพเจ้าจึงไม่ค่อยได้พบกันสักเท่าไร โลกในสมัยดิจิทอล วันนี้ถ้าผู้ชายสักคนนัดหมายผู้หญิงไปพบที่วัด จะออกผลเป็นอย่างไรข้าพเจ้าก็นึกภาพไม่ออก
ข้าพเจ้าเชื่อว่า สาเหตุที่ผู้ชายมักเป็นฝ่ายได้เปรียบผู้หญิงมีอยู่ข้อเดียว คือ ความรัก
เป็นเพราะเธอยึดมั่นว่า ผู้ชายคนนี้แหละเป็นคนที่เธอรัก และผ่านการอบรมจาก "สุนทรภู่" ใน "สุภาษิตสอนหญิง" ที่บอกว่า "แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี" รักก็บอกไม่ได้ ให้มันจุกอกเสียยังงั้น
ABOUT THE AUTHOR
ไ
ไก่อ่อน
ภาพโดย : -นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รุ่นนี้พอมีเหลือ