ข่าวรอบโลก(4wh)
เกีย เผยโฉมรถต้นแบบ เคเอนดี-4
เกีย
เผยโฉมรถต้นแบบ เคเอนดี-4
เกีย เผยโฉมรถต้นแบบสปอร์ท อเนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุด เคเอนดี-4 (KND-4)ในงานมหกรรมยานยนต์เกาหลี ด้วยรูปลักษณ์ที่ผสานการขับขี่ในและนอกเมือง พร้อมห้องโดยสารขนาด 4 ที่นั่ง ภายใต้แนวคิด "อนาคตแห่งโลกตะวันออก" และเทคโนโลยีการสื่อสารด้วย AMOLED กับ BLUE-RAY
รายงานข่าวจาก เกีย มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประเทศเกาหลีใต้ แจ้งว่า ในงานมหกรรมยานยนต์เกาหลีที่ผ่านมา ทาง เกีย ได้เปิดตัวรถต้นแบบใหม่ล่าสุด ภายใต้รหัสรุ่น เคเอนดี-4 อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกของโลก
การออกแบบรถยนต์ เกีย รุ่น เคเอนดี-4 ได้นำแนวคิดด้านการออกแบบรถยนต์ที่ได้รับการรับรองสิทธิ์ด้านการออกแบบเฉพาะบแรนด์รถยนต์ เกีย ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มยานยนต์ 4x4 และยานยนต์ที่สร้างสรรค์ในสไตล์ใหม่ โดยเครื่องยนต์ที่บรรจุในรถยนต์รุ่นดังกล่าว ได้รับการพัฒนาและออกแบบขึ้นใหม่ล่าสุด ที่ให้พละกำลังและให้ความรู้สึกมั่นใจในการขับขี่ที่โดดเด่น และบ่งบอกถึงความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
นอกจากนี้ รถต้นแบบรุ่นล่าสุด เกีย เคเอนดี-4 คันนี้ ยังโดดเด่นด้วยการเน้นสีสันสดใสของสีเขียวอ่อนทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและภายใน รูปทรงในสไตล์ 3 ประตู มิติตัวรถยาว 4,466 มม. สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง บึกบึน ผสานความโฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว
เคเอนดี-4 เป็นรถต้นแบบรุ่นแรกของ เกีย ที่พัฒนาขึ้นเพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึงทิศทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้านการออกแบบและเทคโนโลยีในรูปแบบใหม่ของ เกีย ได้แก่ "DESIGNOLOGY" (DESIGN &TECHNOLOGY) ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาพัฒนาใช้ร่วมกับการออกแบบโดยได้รับความไว้วางใจในการสร้างสรรค์รถยนต์ ทั้งในส่วนของรูปแบบ และเทคโนโลยีนวัตกรรมยานยนต์ระดับสูง
ยอง ฮวาน คิม ประธานบริหาร และซีโอโอ ของ เกีย มอเตอร์ คอร์พอเรชัน เปิดเผยว่า "เกีย เคเอนดี-4 เป็นรถที่โดดเด่น และเร้าใจ ในสไตล์ล้ำสมัยที่ผสานเทคโนโลยีระดับสูงของ เกียโดยรถรุ่นดังกล่าวจะเป็นรถต้นแบบสำหรับรถในอนาคตของ เกีย ที่สร้างความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเช่นเดียวกัน ซึ่งจะปรากฏบนท้องถนนทั่วโลก
เคเอนดี-4 ได้รับการออกแบบด้วยรูปลักษณ์ที่ล้ำอนาคตเหนือกาลเวลา ซึ่งนำไปพัฒนาสู่สายการผลิตสำหรับรถสายพันธุ์ใหม่ในอนาคต ทำให้มั่นใจได้ว่า รถรุ่นดังกล่าว จะได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องในตลาดโลกสำหรับกลุ่มรถ 4x4"
เกีย เคเอนดี-4 ได้รับการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกอย่างสร้างสรรค์เร้าใจสำหรับผู้บริโภคที่ปรารถนาความอิสระและวิถีชีวิตสมัยใหม่ ขณะเดียวกันได้รับการออกแบบผสมผสานยานยนต์สำหรับการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง สร้างสรรค์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะ รูปทรงออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัด ให้ความคล่องตัวสูง ไฟหน้าโค้งมนมีเอกลักษณ์ ขณะเดียวกันซุ้มล้อขนาดใหญ่ โดดเด่น ครอบคลุมกระทะล้อขนาด 20 นิ้ว และติดตั้งยางขนาด 245/40 R20 ยื่นออกมานอกตัวรถ สะท้อนความแข็งแกร่ง บึกบึน เปี่ยมสมรรถนะการขับขี่บนเส้นทางวิบาก
รูปทรงโดดเด่นจากการออกแบบเส้นสายต่อเนื่องรอบคัน ทั้งในส่วนของกรอบกระจก และเสาซี (C-PILLAR) ที่กว้างขวาง สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบอย่างสร้างสรรค์ ในส่วนของเนื้อที่บรรจุสัมภาระด้านท้ายขนาดใหญ่ พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง ออกแบบเอื้อประโยชน์ต่อการใช้สอยสูงสุดสื่อสารได้ชัดเจนไม่สลับซับซ้อน กรอบไฟท้ายแบบแอลอีดี มีมิติซับซ้อน สวยงาม ด้านหน้าตัวรถขนาดสั้นและยกพื้นรถสูง ทำให้มีทัศนวิสัยที่ดีกว่า ให้ความมั่นใจเป็นพิเศษในประสิทธิภาพการขับขี่บนเส้นทางวิบาก
เบาะที่นั่งออกแบบแยกส่วนอิสระจำนวน 4 ที่นั่ง ภายในห้องโดยสารของ เคเอนดี-4 ไฮเทคโดยออกแบบ "สไตล์อนาคตแห่งตะวันออก" ทั้งในส่วนของพื้นรถ, แผงหน้าปัดและขอบประตูที่เสริมด้วยขอบลายโลหะปัดเงา โดดเด่นจากการสะท้อนโดยอ้อมของแสงไฟที่กระทบโลหะ เสริมบรรยากาศภายในห้องโดยสารเป็นไปอย่างสร้างสรรค์
อุปกรณ์ควบคุมภายในห้องโดยสาร ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลระดับสูงสุดผู้ขับขี่สามารถสื่อสารจากภายในห้องโดยสารและจากภายนอก ออกแบบชุดควบคุมอุปกรณ์ครอบคลุมอยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และการขับขี่ที่พัฒนาสำหรับยานยนต์สายพันธุ์ใหม่ในอนาคต ด้วยระบบ AMOLED (ACTIVE-MATRIX, ORGANIC LIGHT EMIT DIODE) จอมอนิเตอร์แบบบางพิเศษ สามารถปรับมุมองศาได้หลากหลาย และให้ความคมชัดสูง
พวงมาลัยได้รับการติดตั้งชุดควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ แบบมัลทิฟังค์ชัน ติดตั้งเทคโนโลยีสื่อสารทั้งระบบ BLUETOOTH และ BLU-RAY (แผ่นดิสค์นำแสง ความหนาแน่นสูง) เสริมด้วยฮาร์ดดิสค์แบบ BUILT-IN สำหรับระบบเครื่องเสียง โดย BLU-RAY สามารถรองรับการบันทึกข้อมูลได้มากกว่าเครื่องเล่นดีวีดีธรรมดา ถึง 10 เท่า
เครื่องยนต์ที่ติดตั้งในรถต้นแบบรุ่น เคเอนดี-4 เป็นเครื่องดีเซล VGT ขนาด 2.0 ลิตร มีระบบ ATT (ACTIVE TORQUE TRANSFER) ที่ เกีย พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด ให้แรงบิดสูงสนองตอบต่อระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ มีเสถียรภาพสูงในการขับขี่บนเส้นทางลื่นไถล กระจายแรงบิดอัตโนมัติไปยังล้อต่างๆ หรือล้อที่ให้การยึดเกาะที่ดีที่สุด
มาซดา
"ปลื้ม" ยอดขายทั่วโลกทะลุ 1.3 ล้านคัน
มาซดา มอเตอร์ คอร์พอเรชัน ประกาศว่ายอดขายรถ มาซดา ทั่วโลกมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1.3 ล้านคันสำหรับปี 2549 และยังสามารถรักษาตำแหน่งยอดขายดีที่สุดในตลาดสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2537 เป็นต้นมา และมียอดขายดีที่สุดในตลาดยุโรปตั้งแต่ปี 2534 นอกจากนี้ มาซดา ยังสามารถสร้างสถิติมียอดขายสูงสุดเท่าที่เคยมีมาใน 10 ประเทศทั่วโลกอีกด้วย
ยอดขายรถ มาซดา จากทั่วโลกประจำปี 2549 มียอดการจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 1,301,581 คันมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 2 % จากปี 2548 ที่ผ่านมา โดยยอดขายจำนวนมากเป็นของรถ มาซดา 3 และ มาซดา 5 ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตลาดทั่วโลก
สำหรับในทวีปอเมริกาเหนือ ปี 2549 มาซดา มียอดขายในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งสิ้น 280,589 คันเติบโตเพิ่มขึ้น 7.3 % เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 ซึ่งเป็นสถิติสูงที่สุดในรอบ 12 ปี ส่วนตลาดในแคนาดาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมาเช่นกัน ด้วยยอดขายจำนวน 83,624 คัน เพิ่มขึ้น 4.2 % เปรียบเทียบกับปี 2548 และด้วยยอดขายสูงถึง 9,819 คันนี้ ทำให้ มาซดา ประสบความสำเร็จอย่างมากในประเทศเมกซิโก ซึ่งมียอดขายขยายถึง 4 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปี 2548
ทั้งนี้ มาซดา ได้สร้างสถิติยอดขายใหม่ใน 4 ประเทศในทวีปยุโรป ได้แก่ อังกฤษ รัสเซีย สเปนและโปรตุเกส ส่วนตลาดอื่นๆ ที่ มาซดา ประสบความสำเร็จมียอดขายยอดเยี่ยมเช่นกัน ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และออสเตรีย ซึ่ง มาซดา สามารถสร้างยอดขายที่ดีที่สุดในตลาดยุโรปในรอบ 15 ปี โดยในปี 2549 มียอดขายสูงถึง 301,167 คัน หรือเพิ่มขึ้น 6.7 % จากปี 2548
นอกจากนี้ในปี 2549 มาซดา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตลาดรถใหม่ในแถบภูมิภาคโอเชียเนีย โดยออสเตรเลีย มีจำนวนยอดขาย 67,225 คัน และนิวซีแลนด์ มียอดขาย 6,351 คันคิดเป็นอัตราเติบโตสูงขึ้น 2.7 % สำหรับออสเตรเลีย และ 4.5 % สำหรับตลาดนิวซีแลนด์ ในปี 2548
แดนเนียล ที มอริส ผู้บริหารอาวุโสของ มาซดา ที่ดูแลด้านการตลาด การขาย และการบริการลูกค้าเปิดเผยว่า "มาซดา ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปี 2549 เรามียอดขายกว่า 1.3 ล้านคันทั่วโลกทำสถิติยอดขายสูงสุดใน 10 ประเทศ และมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอเมริกาเหนือและยุโรป ความสำเร็จของ มาซดา ครั้งนี้ เกิดขึ้นได้เพราะทีมงานของ มาซดา และพันธมิตรคู่ค้าของเราทั่วโลกผมภูมิใจที่ผลิตภัณฑ์ของเราได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า เราต้องประสบกับสภาพการแข่งขันที่สูงในตลาดทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา แต่ มาซดา พร้อมที่จะทุ่มเทและก้าวไปตามแผนดำเนินการและปรับปรุงบแรนด์ของเรา พร้อมกับพัฒนาทุกๆ ด้านในธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น และในอนาคตเรามั่นใจว่า มาซดา จะนำเสนอรถที่มีคุณภาพสูง และการบริการหลังการขายได้ตามที่ลูกค้าคาดหวัง และสมควรจะได้รับ"
กูดเยียร์
ได้รับเลือกเป็นบริษัทผู้ผลิตยางอันดับ 1
ผลสำรวจล่าสุดของ ทีเอนเอส บริษัทวิจัยและวิเคราะห์ด้านการตลาดชั้นนำของโลก เปิดเผยว่าจากความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการขับขี่อย่างปลอดภัย และการผลิตยางคุณภาพของ กูดเยียร์ทำให้ได้รับการโหวทสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มบริษัทผู้ผลิตยาง ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR (CORPORATE SOCIAL RESPONSIBILITY) ในภูมิภาคเอเชีย และสหรัฐอเมริกา
ปิแอร์ อี โคเฮด ประธานบริหารภาคพื้นเอเชียแปซิฟิค กูดเยียร์ กล่าวว่า "กูดเยียร์คว้าตำแหน่งบริษัทผู้ผลิตยางอันดับ 1 ที่ได้รับการยอมรับในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ CSR (CORPORATE SOCIAL RESPONSIBILITY) ในภูมิภาคเอเชียและสหรัฐอเมริกา จากการสำรวจความคิดเห็นประจำปี 2549 ของ ทีเอนเอส โดยทำการสำรวจจากกลุ่มผู้บริโภค 18 ประเทศ ใน 4 ทวีป โดย กูดเยียร์ ได้รับคะแนนสูงสุดในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ปลอดภัย และส่งเสริมความปลอดภัยบนท้องถนน"
"เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริโภคให้การยอมรับในการดำเนินธุรกิจของ กูดเยียร์โดยผลการสำรวจของ ทีเอนเอส เป็นสิ่งยืนยันว่า กูดเยียร์ ได้บรรลุเป้าหมายในการส่งเสริมความปลอดภัยสำหรับผู้ขับขี่รถยนต์ สิ่งแวดล้อม และแม้แต่ในที่ทำงานของเรา" ปิแอร์ อี โคเฮด กล่าวเสริม
การสำรวจครั้งนี้จัดทำขึ้นโดยให้ผู้ตอบแบบสำรวจจำนวน 1,000 คน ในแต่ละประเทศทำการประเมินบริษัทต่างๆ มุ่งประเด็นในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม การกำกับดูแลองค์กร สิ่งแวดล้อมและกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์เป็นหลัก โดยผลสำรวจครั้งนี้พบว่า บริษัทที่ได้รับคะแนนในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมสูงนั้น นับเป็นบริษัทที่ได้รับการยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือสูงเช่นเดียวกัน
เชฟโรเลต์
ส่งรถต้นแบบไซซ์มีนี สร้างสีสันในงานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์ค
เชฟโรเลต์ ออกแบบรถแนวคิด ขนาดมีนี 3 คัน เชฟโรเลต์ บีท, กรูฟ และทแรกซ์สร้างสีสันในงานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์ค ใช้แนวคิดรถขนาดเล็กคล่องตัวของคนรุ่นใหม่ สำหรับใช้งานในเมือง สวย สดใส ขับสนุก ประหยัดเชื้อเพลิง คุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมทางเวบไซท์ร่วมลงคะแนนให้ เชฟโรเลต์ มีนี คอนเซพท์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนารถเซกเมนท์นี้ลงตลาดต่อไป
โดยรถต้นแบบทั้ง 3 คัน ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิดของการสร้างสรรค์เพื่อคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่สำหรับชีวิตที่ตื่นตาตื่นใจของสังคมเมือง ที่มาพร้อมกับพลังในการขับเคลื่อน ความหลากหลายการออกแบบที่สวยงาม สีสันสดใส ขับสนุก ประหยัดเชื้อเพลิง และทรงคุณค่าคุ้มราคา
ขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้กับผู้ที่เข้าเยี่ยมชมและลงคะแนนให้กับ บีท, กรูฟ และทแรกซ์ทางเวบไซท์ www.vote4chevrolet.com เพื่อเฟ้นหารถที่ถูกใจผู้ชมมากที่สุด และเป็นแนวทางให้ เชฟโรเลต์ สำหรับตลาดรถในเซกเมนท์นี้
รถแนวคิดทั้ง 3 คัน ออกแบบโดยศูนย์การออกแบบ GM'S DESIGN STUDIO ในเมืองอึนชอนประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเป็น 1 ใน 11 ศูนย์การออกแบบของ เจเนอรัล มอเตอร์ส ทั่วโลกขณะที่นักออกแบบที่ศูนย์การออกแบบในเกาหลีใต้นั้นได้รับการยอมรับว่ามีความชำนาญในการออกแบบ และพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก
การออกแบบโครงสร้างรถ แสดงให้เห็นทั้งความยืดหยุ่น ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมการออกแบบที่ทันสมัยของศูนย์การออกแบบ เจนเนอรัล มอเตอร์ส ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ซึ่ง เชฟโรเลต์ บีท ได้รับการประกอบต้นแบบในอินเดีย ขณะที่รถต้นแบบของ เชฟโรเลต์ กรูฟ และทแรกซ์ ประกอบขึ้นที่ จีเอม เทค เซนเตอร์ ในเมืองวอร์เรน มลรัฐมิชิแกน
"เชฟโรเลต์ บีท, กรูฟ และทแรกซ์ เป็นรถต้นแบบที่ได้รับการสร้างสรรค์ให้แสดงถึงความแข็งแกร่งเปี่ยมไปด้วยความโดดเด่น และความหลากหลายในความสามารถของทีมนักออกแบบ จีเอม ทั่วโลกรวมทั้งความสามารถของทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่สามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาดและพร้อมจะตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของตลาดทั่วโลกได้อย่างรวดเร็ว" เอด เวลเบิล รองประธาน GM GLOBAL DESIGN CENTER ของ เจเนอรัล มอเตอร์ส สหรัฐอเมริกา กล่าว
เชฟโรเลต์ เป็นบแรนด์ระดับโลกในเครือ จีเอม บริษัทผลิตรถยนต์ที่ตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของลูกค้าจาก 120 ประเทศทั่วโลก ด้วยรถยนต์ประเภทต่างๆ ตั้งแต่ รถซีดานขนาดเล็กซีดานสำหรับครอบครัว กระบะขนาดใหญ่ รถเอสยูวี ไปจนถึงรถที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างรถสปอร์ท เชฟโรเลต์ คอร์เวทท์ (CHEVROLET CORVETTE) และมาถึงรถต้นแบบทั้ง 3 คันนี้ ที่เผยโฉมในนิวยอร์คพร้อมกับความหลากหลายของเครื่องยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน 3 แบบ รวมทั้งเครื่องยนต์ดีเซลด้วย
"รถต้นแบบ เชฟโรเลต์ บีท, กรูฟ และทแรกซ์ มีศักยภาพเพียงพอที่จะขยายตลาดให้กับ เชฟโรเลต์ซึ่งเป็นยี่ห้อที่มีผู้คนนิยมและได้รับการยอมรับอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ รถต้นแบบทั้ง 3 คันนี้คาดว่าจะสร้างความประทับใจ ให้แก่ผู้บริโภครุ่นใหม่ๆ ในทวีปต่างๆ ซึ่งเป็นผู้ที่ใฝ่หาความสนุกสนานจากยานพาหนะที่มีประสิทธิภาพ และนี่ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้ เชฟโรเลต์ กลายเป็นบแรนด์ที่เป็นที่รู้จัก ได้รับการยอมรับในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก" เอด เพพเพอร์ ผู้จัดการทั่วไปของ เชฟโรเลต์ กล่าว
เชฟโรเลต์ บีท เป็นรถแฮทช์แบค 3 ประตู ขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ออกแบบโดยแสดงถึงอารมณ์ในด้านความเร็ว ถูกพัฒนามาเป็นรถปราดเปรียว เหมาะสำหรับคนรักอิสระ การใช้งานแบบส่วนตัว ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขนาดกะทัดรัด 1.2 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์เจอร์ ใช้ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย รวมทั้งระบบนำทาง NAVIGATION SYSTEM และเครื่องเสียงระดับพรีเมียม
เชฟโรเลต์ กรูฟ เท่ในสไตล์ย้อนยุค ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่ง บึกบึน เกินกว่าที่จะเป็นเพียงแค่ "รถที่มีดีไซจ์นน่ารัก" ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากทศวรรษที่ 80 ซุ้มล้อ (FENDER) ถูกออกแบบขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกับตัวถัง กระจกบังลมตั้งชัน ตัวถังดูมีความยาวมากกว่าที่มันควรจะเป็นเพราะมีฝากระโปรงสั้นแต่มีห้องโดยสารที่ยาวมาก เชฟโรเลต์ กรูฟ เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ขนาดเล็กเพียง 1.0 ลิตร
เชฟโรเลต์ ทแรกซ์ รถต้นแบบครอสส์โอเวอร์ สำหรับใช้งานในเมือง มากับเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.0ลิตร ใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบออลล์วีลดไรฟ เป็นรถเอสยูวีแบบย่อส่วน แผงกันชนและซุ้มล้อด้านหน้า/หลัง ออกแบบขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน พร้อมด้วยล้อและยางอะไหล่ด้านหลังแรคหลังคาสำหรับเพิ่มเนื้อที่ในการบรรทุกสัมภาระ
จีเอม
ส่ง 4 รถแรง สวมบทพระเอกใน "TRANSFORMERS"
เจเนอรัล มอเตอร์ คอร์พอเรชัน สหรัฐอเมริกา ร่วมมือกับ ดรีมเวิร์คส์ พิคเจอร์ส และพาราเมาท์พิคเจอร์ส สร้างภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ "TRANSFORMERS" โดยส่งรถแรง 4 รุ่น จาก จีเอมร่วมแสดงเป็นหุ่นยนต์แปลงร่าง 4 ตัว ในภาพยนตร์แนวแอคชัน แอดเวนเจอร์ ที่พร้อมจะลงจอทั่วโลกปลายปีนี้
รถยนต์ทั้ง 4 รุ่นของ จีเอม ที่สวมบทนำในภาพยนตร์ TRANSFORMERS นำขบวนโดย เชฟโรเลต์คามาโร (CHEVROLET CAMARO) รถสปอร์ททรงคลาสสิค สวมบทเป็นหุ่นยนต์ดัดแปลง "BUMBLEBEE" ตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กลายเป็นตำนานการผจญภัยและความกล้าหาญของบรรดาหุ่นยนต์จากต่างดาวที่จะแปลงร่างเป็นรถยนต์เมื่อมาอยู่บนโลก นอกจากนี้ยังมี พอนทิแอค โซลส์ทีศ (PONTIAC SOLSTICE) เปลี่ยนร่างเป็นหุ่นยนต์ AUTOBOT JAZZ ขณะที่รถเอสยูวีทรงพลังอย่าง ฮัมเมอร์ เอช 2 (HUMMER H2) ถูกดัดแปลงเป็นรถกู้ภัย จะรับบทเป็นหุ่นยนต์ AUTOBOT RATCHET และตัวสุดท้ายเป็นหุ่นยนต์ IRONHIDE ที่แปลงร่างมาจากรถกระบะพันธุ์แรง จีเอมซี ทอพคิค (GMC TOPKICK)
ดาว 4 ดวงใหม่ของฮอลลีวูด ทั้ง BUMBLEBEE (เชฟโรเลต์ คามาโร), AUTOBOT JAZZ (พอนทิแอคโซลส์ทีศ), AUTOBOT RATCHET (ฮัมเมอร์ เอช 2) และ IRONHIDE (จีเอมซี ทอพคิค)ผลงานการสร้างสรรค์ของ ดรีมเวิร์คส พิคเจอร์ส และพาราเมาท์ พิคเจอร์ส ร่วมกับ บริษัท แฮสโบรจำกัด จะถูกนำมาเปิดตัวในภาพยนตร์เรื่อง TRANSFORMERS เป็นครั้งแรก วันที่ 4 กรกฎาคม 2550ในงาน "TEN" PRE-OSCAR FASHION EVENT ที่ พาราเมาท์ พิคเจอร์ส ฮอลลีวูด ซึ่ง เจเนอรัล มอเตอร์ส คอร์พอเรชัน สหรัฐอเมริกา จัดขึ้นเป็นปีที่ 6
เรื่องราวของการเข้ามารับบทเด่นของบรรดารถแรงจากค่าย จีเอม ในภาพยนตร์ครั้งนี้จุดกระแสความสนใจอย่างกว้างขวางให้แก่บรรดาคอภาพยนตร์ และคนรักรถในเวลาอันรวดเร็ว โดยเฉพาะกับ เชฟโรเลต์ คามาโร รุ่นใหม่ ในภาพยนตร์ตัวอย่างที่เริ่มฉายจริงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ขณะเดียวกันภาพยนตร์ตัวอย่าง TRANSFORMERS กลายเป็นคลิพที่ได้รับความสนใจมากที่สุดทางเวบไซท์ของ YAHOO ! ซึ่งในคลิพจะมีทั้งภาพของ พอนทิแอค โซลส์ทีศ, ฮัมเมอร์ เอช 2 และ จีเอมซี ทอพคิค สำหรับแฟนๆ ที่สนใจอีกด้วย
"ภาพยนตร์ TRANSFORMERS เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น พร้อมนำเสนอรถยนต์รุ่นต่างๆของ จีเอม ออกสู่ตลาดโลก รวมทั้งสร้างชื่อเสียงให้กับบแรนด์ต่างๆ ของเรา นอกจากนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของ ความสนุกสนาน การตลาด และการออกแบบอีกด้วย" ไมค์ แจคสัน รองประธานฝ่ายสื่อสารและการตลาด เจเนอรัล มอเตอร์ส สหรัฐอเมริกา ให้ความคิดเห็น
ขณะเดียวกัน ไมเคิล เบย์ ผู้อำนวยการสร้าง TRANSFORMERS กล่าวว่า "ครั้งแรกที่ผมเห็น เชฟโรเลต์คามาโร ตอนเข้าศูนย์ออกแบบรถ จีเอม ผมรู้ได้ทันทีเลยว่า รถคันนี้จะเป็นหุ่นยนต์ดัดแปลง BUMBLEBEEได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะทั้งการออกแบบลายเส้นที่สวยงาม ดูคลาสสิคและทันสมัยตลอดกาลทำให้ไม่มีรถรุ่นใดที่จะเหมาะกับบทนี้ ถึงแม้ผมเคยมีประสบการณ์ทำงานร่วมกับ จีเอม มาหลายปีแต่ผมก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้ที่จะได้ร่วมงานกับ จีเอม ในการสร้างภาพยนตร์ TRANSFORMERS ครั้งนี้"
แลนด์ โรเวอร์
เตรียมเผยโฉมรถใหม่
แลนด์ โรเวอร์ วางแผนจะสร้างทายาทรถลุยรุ่นล่าสุดออกมา ด้วยแนวคิดรถเอสยูวี คูเปที่เน้นความสนุกสนานในการขับขี่ เพื่อรองรับกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่
คาดว่า แลนด์ โรเวอร์ ทีที (LAND ROVER TT) จะเปิดตัวในปี 2013 ด้วยรูปทรงของรถหลังคาต่ำระยะห่างใต้ท้องสูง รูปทรงรถแบบ 3 ประตู ที่ถูกวางให้มีขนาด และราคาต่ำกว่า ฟรีแลนเดอร์ ด้วยรูปแบบของรถขับเคลื่อน 4 ล้อ ระดับซอฟท์โรเดอร์ โดยยังคงรักษารูปลักษณ์ของ แลนด์ โรเวอร์ ได้อย่างครบถ้วน
ภาพลักษณ์ของ แลนด์ โรเวอร์ ทีที จะเป็นการมุ่งเข้าสู่กลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อยลงกว่าลูกค้ากลุ่มเดิมด้วยการออกแบบที่ชัดเจน จะทำให้มีการแบ่งแยกกลุ่มลูกค้าของ แลนด์ โรเวอร์ และเรนจ์ โรเวอร์ได้อย่างชัดเจนขึ้น
วิธีการนี้จะสามารถดึงลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีอายุน้อยกว่าเดิมให้มีโอกาสหันมาใช้ แลนด์ โรเวอร์ ได้เร็วขึ้น
ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการดึงลูกค้าเข้ามายังบแรนด์ของตน ด้วยการเพิ่มรุ่นรถขึ้นมาเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ต้องการใช้รถที่เห็นกันอยู่ดาษดื่นบนท้องถนน
นอกจากรูปทรงแล้ว ยังเน้นด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยประสิทธิภาพเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นมีอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำลง และมีปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงเพื่อเป็นการเปลี่ยนแนวคิดของนโยบายทางการเมืองที่กำลังต่อต้านรถเอสยูวี ว่าเป็นรถที่สร้างมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม
อาวุธลับของ แลนด์ โรเวอร์ ทีที นอกจากการออกแบบที่เร้าใจแล้ว ยังต้องมีการตอบสนองการขับขี่ที่ดีด้วย เหมือนกับที่ มีนี (MINI) ประสบความสำเร็จมาแล้ว ด้วยประสิทธิภาพการขับขี่ที่เร้าใจ ทั้งที่มีราคาค่อนข้างสูง สำหรับ แลนด์ โรเวอร์ ทีที ยังไม่ได้ตัดสินใจว่า จะพัฒนาโครงสร้างตัวถังขึ้นมาใหม่หรือไม่ ? ผู้บริหารของค่าย แลนด์ โรเวอร์ อาจจะหาทางออกด้วยการแชร์โครงสร้างตัวถังร่วมกับ ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) ที่จะมีการออกแบบอีกครั้ง ประมาณปี 2008
ABOUT THE AUTHOR
อ
อกนิษฐ์ ทัพภะสุต
ภาพโดย : -นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก(4wh)