ผลทดสอบต่างแดน
ฟอร์ด เอดจ์
วิกฤตการณ์ราคาน้ำมันจากตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันติดอันดับโลก ต้องหันมาพัฒนาพลังงานทางเลือก โดยเฉพาะยานพาหนะที่มีขนาดใหญ่ และมีอัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูง
รถไฮบริดพันธุ์ผสม เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมในอันดับแรกๆ โดยมีบริษัทผู้ผลิตหลายราย ผลิตรถไฮบริดออกมาเป็นรุ่นเสริม ให้เลือกใช้หลายยี่ห้อ และหลากรุ่น ทั้ง ฟอร์ด เอสเคพ, จีเอมซี ยูคอน และแซเทิร์น ออรา อย่างไรก็ตาม การพัฒนารถไฮบริด ไม่ได้หยุดนิ่งอยู่แค่ระบบไฮบริด ETROL/ELECTRONIC อย่างที่มีอยู่
ค่ายต่างๆ ยังมีการพัฒนาเพื่อหาแนวทางที่ดีกว่าตลอดเวลา โดยเฉพาะ ฟอร์ด ได้ผลิตรถรุ่น เอดจ์ ไฮซีรีส์ (EDGE HYSERIES DRIVE PLUG-IN HYBRID) ขึ้นมาภายใต้การบริหารของ มูจีบ อีจาซ (MUJEEB IJAZ) ผู้บริหาร FORD FUEL CELL VEHICLE กล่าวว่า "มันต่างไปจากรถอีวี (EV: ELECTRONIC VEHICLE) แบบดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น จีเอม-อีวี 1 หรือฮอนดา อีวี ที่ใช้แบทเตอรีเพียงอย่างเดียว ทำให้มีพิสัยการเดินทางค่อนข้างต่ำ"
เอดจ์ เป็นผลการพัฒนาร่วมกันของ ฟอร์ด และกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา (DOE: USDEPARTMENT OF ENERGY) ที่มีการใช้งานสะดวกด้วยการใช้แหล่งพลังงานจากไฟบ้าน ไม่ว่าจะเป็น 110 หรือ 220 โวลท์ ต่อเข้ากับพอร์ทด้านหน้าของรถในเวลากลางคืน ทั้งยังติดตั้งระบบ ไฮโดรเจน-เพาเวอร์ ฟิวเอล เซลล์ เจเนอเรเตอร์ (HYDROGEN-POWER FUEL CELL GENERATOR) ทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปเก็บในแบทเตอรี ในระหว่างการใช้งาน แบทเตอรีจะทำหน้าที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังระบบขับเคลื่อนอีกที ส่วนการเติมไฮโดรเจนก็แสนง่าย ด้วยการเติมในตำแหน่งเดียวกับช่องเติมน้ำมันเดิม
ระบบนี้ถูกเรียกว่า อีเลคทริค/อีเลคทริค ไฮบริด (ELECTRIC/ELECTRIC HYBRID) ที่มีระบบการทำงานกลับด้านกับระบบไฮบริด แบบดั้งเดิม ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเสริมการขับเคลื่อนให้กับเครื่องยนต์ ส่วนในระบบใหม่นี้ใช้พลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว ซึ่งจะทำให้มีค่ามลพิษเท่ากับ "ศูนย์" จากการทดสอบในขณะนี้ สามารถเพิ่มพิสัยเดินทางได้ไกลถึง 360 กม. แล้ว
ฟอร์ด และกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา แถลงว่า ระบบขับเคลื่อนของ เอดจ์ เหนือกว่าระบบ EV ถึง 3 ประการ ด้วยการใช้ระบบ ฟิวเอล เซลล์ (FUEL CELL) ต่อตรงกับแบทเตอรี จึงสามารถลดขนาดของชุดฟิวเอล เซลล์ ให้เล็กลงได้ครึ่งหนึ่ง และเป็นการลดต้นทุนการผลิตลง เพื่อสามารถทำกำไรได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการลดความต้องการใช้ไฮโดรเจน สำหรับเป็นเชื้อเพลิงหลักในการขับเคลื่อนด้วย
ขณะนี้ เอดจ์ สามารถเพิ่มพิสัยเดินทางได้ถึง 40 กม. ด้วยพลังงานสะสมจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียวซึ่งเป็นผลมาจากน้ำหนักรถที่น้อยลง และมีการออกแบบรูปทรงที่ลู่ลมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ คือ พิสัยเดินทาง 64 กม. ตอบสนองการใช้งานประจำวัน เพื่อการลดบทบาทของไฮโดรเจน ให้เป็นเชื้อเพลิงเสริมสำหรับใช้ในการเดินทางไกลเท่านั้น
นอกจากนั้นยังเป็นการประหยัดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงให้น้อยลง ซึ่งหากจะใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวสำหรับการเดินทางวันละ 80 กม. จะสามารถลดค่าใช้จ่ายรายปีได้ถึง 70 % และในภาพรวมสามารถลดความต้องการใช้น้ำมันของประเทศได้ถึง 40 %
ยังมีคำถามตามมาว่า หากทุกบ้านในสหรัฐอเมริกา ใช้ระบบเดียวกับ เอดจ์ ทั้งหมด ปัญหาคือ ความต้องการใช้กระแสไฟฟ้าในเวลากลางวัน และกลางคืนขาดความสมดุล และอีกแง่คิดหนึ่งคือ ทำไมไม่หาทางนำแกสไฮโดรเจนที่มีอย่างเหลือเฟือในโลกนี้มาใช้งาน
การนำไฮโดรเจน มาใช้งานยังมีต้นทุนสูงมาก หากติดตั้งอุปกรณ์บริการแกสไฮโดรเจน ในแต่ละสถานีบริการน้ำมัน ปกติมีมูลค่าถึง 110,000 เหรียญสรอ. จากสถานีบริการ 170,000 แห่ง หากต้องการเพิ่มให้มีสถานีบริการอย่างน้อย 1 ใน 7 ของสถานีบริการทั้งหมด จะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 2.6 พันล้านเหรียญสรอ.
เอดจ์ มีการจัดเนื้อที่ใช้สอยได้ดีกว่าที่คาดไว้ ภายในไม่ต่างจากรุ่นมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาให้อุปกรณ์ต่างๆ มีขนาดเล็กลง โดยการติดตั้งชุดฟิวเอล เซลล์ ลงตามยาวของช่องเพลาขับกลาง แผงแบทเตอรี อยู่ใต้ท้องด้านซ้าย และถังบรรจุแกสไฮโดรเจน ขึ้นรูปจากคาร์บอนไฟเบอร์ อยู่ทางด้านขวา มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 65 กิโลวัตต์ 2 ตัว ติดกับชุดดิฟเฟอเรนเชียล อยู่ในช่องเพลาขับทั้งหน้า/หลัง และเมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าขึ้นไม่มีอะไรให้เห็น นอกจากความว่างเปล่า
การตอบสนองการขับขี่สร้างความแปลกใจเป็นอย่างมาก แม้มีน้ำหนักถึง 2.3 ตัน ฟอร์ด เอดจ์ มีแรงบิดเกินพอ เร่งสู่ความเร็วที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไม่มีชุดเกียร์เข้ามาวุ่นวาย อุปกรณ์ควบคุมการขับขี่มีเพียงแป้นคันเร่งที่ต่อตรงไปยังมอเตอร์ขับเคลื่อนเท่านั้น
การขับขี่น่าประทับใจ ไม่ว่าจะเป็นการขับแบบนุ่นนวล หรือรุนแรง ทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่ให้พลังขับเคลื่อนเหนือกว่ารุ่นเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ อย่างชัดเจน และคงสนุกกว่านี้ หากลดแรงเสียดทานลง 7 % จากชุดเฟืองท้าย แม้จะมีน้ำหนักมากกว่ารุ่นมาตรฐานถึงครึ่งตัน แต่การควบคุมการขับขี่สามารถคาดเดาได้ ส่วนระบบห้ามล้อยังต้องปรับปรุง และระบบพวงมาลัยตอบสนองค่อนข้างช้า ต้องปรับปรุงเช่นกัน
ด้วยการพัฒนาหลายแนวทางสำหรับพลังงานทางเลือก คงจะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงลดลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับปริมาณมลพิษที่น้อยลง ปัญหาสิ่งแวดล้อม และโลกร้อน น่าจะสิ้นสุดลงในเร็ววันนี้
เรื่องโดย : อกนิษฐ์ ทัพภะสุต
ภาพโดย : -
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : ผลทดสอบต่างแดน
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/57954