ชีวิตอิสระ
ทักทายหมอก ท้าลมหนาว ณ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จ. เลย
เข้าสู่ฤดูกาลแห่งความหนาวเย็น การเดินทางต่อจากนี้ไป ผมจะพาผู้อ่านสัมผัสไอหนาว ณ แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่เลื่องชื่อ เพื่อแนะนำและเพิ่มข้อมูลในการเดินทางสำหรับวันหยุดยาวๆ ที่จะสร้างความประทับใจ ส่งท้ายปีเก่า
อุทยานแห่งชาติภูเรือ ได้จัดตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ในลำดับที่ 16 ของประเทศไทย มีลักษณะเสมือนเรือสำเภาลำใหญ่ ทั่วทั้งพื้นที่จะมีหินที่เรียงรายซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และมีอายุประมาณ 130-150 ล้านปี ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทำให้มีสายน้ำทั้งน้อย-ใหญ่ไหลผ่าน ก่อนที่จะไหลลงสู่แม่น้ำเหือง ซึ่งเป็นแม่น้ำที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว และจากการที่มียอดเขาสูง จึงทำให้ดินแดนแห่งนี้มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 22 องศาเซลเซียส และในฤดูหนาว อากาศจะเย็นจนทำให้น้ำค้างบนยอดหญ้าแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง เป็นที่มาของ แม่คะนิ้ง ซึ่งนักท่องเที่ยวเดินทางจากทั่วสารทิศหลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมชมอย่างไม่ขาดสาย
การเดินทางในครั้งนี้มีจุดหมายปลายทางที่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จ. เลย ซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้พาทุกท่านไปที่ อ. เชียงคาน และนำเสนอในฉบับเดือนกันยายน ที่ผ่านมา แต่ทว่า จ. เลย นั้น ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายที่อยากแนะนำ ทั้งด้วยสภาพอากาศและความหลากหลายทางภูมิประเทศ ระยะทางประมาณ 500 กม. ใช้เวลาในการเดินทางจากกรุงเทพ ฯ ไปถึงที่นั่น ประมาณ 7-8 ชม. โดยมี เชฟโรเลต์ แคพทีวา เอสยูวีอเมริกัน เป็นพาหนะในการเดินทาง
ทางหลวง 203 สวย อันตราย !
การเดินทางไป จ. เลย นั้นมีให้เลือกหลากหลายเส้นทาง แต่ผมยังเลือกที่จะใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางคราวที่ไปเยี่ยมเมืองเชียงคาน คือ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 พหลโยธิน จากกรุงเทพ ฯ แยกเข้าทางหลวงหมายเลข 21 บริเวณช่วง อ. แก่งคอย จ. สระบุรี ก่อนที่จะไปตัดกับทางหลวงหมายเลข 203 บริเวณ อ. หล่มสัก ของ จ. เพชรบูรณ์ จากสภาพทางที่ตรงยาวกว่า 300 กม. มาในช่วงนี้จะเป็นช่วงทางคดโค้งขึ้น/ลงภูเขา บางครั้งต้องเค้นสมรรถนะของทั้งเครื่องยนต์ และระบบช่วงล่างออกมาใช้งานอย่างเต็มที่ สำหรับ เชฟโรเลต์ แคพทีวา ต้องบอกว่าสบายๆ เครื่องยนต์เป็นแบบดีเซลคอมมอนเรล เทอร์โบ แม้จะมีขนาดความจุเพียง 2.0 ลิตร แต่ก็สร้างแรงม้าได้ถึง 150 ตัว เส้นทางนี้ผู้ขับขี่จะได้เพลิดเพลินกับไร่นาเขียวขจีริมทาง แต่บางช่วงบางตอนนั้นก็โหดร้ายพอสมควร แต่รถคันนี้ มีระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ 5 จังหวะ ที่มาพร้อมกับระบบทิพทรอนิคส์ ซึ่งทำงานร่วมกับช่วงล่างแบบอิสระ การขับขี่ของผมก็สะดวกยิ่งขึ้น เพราะสนุกกับการเปลี่ยนเกียร์ให้สัมพันธ์กับรอบความเร็ว และสภาพเส้นทาง จากนั้นให้ขับต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 203 อีกประมาณ 100 กม. ก็จะเข้าสู่ อ. ภูเรือให้สังเกตป้ายทางเข้าอุทยานให้ดีจะอยู่ทางซ้ายมือ
จากถนนหลวงหมายเลข 203 มาถึงด่านเก็บค่าผ่านทาง บริเวณด้านหน้าอุทยานแห่งชาติภูเรือ เสียค่าผ่านทาง 80 บาท สำหรับรถ 1 คัน ส่วนนักท่องเที่ยวจะเสียค่าผ่านทางคนละ 20 บาท ประตูทางเข้าจะเปิด/ปิดเป็นเวลา ตั้งแต่ 5.00-18.00 น. เท่านั้น ถนนในอุทยานแห่งชาตินั้นต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะเป็นทางแคบ บางช่วงสามารถขับสวนทางกันได้ แต่บางช่วงต้องให้ทางกัน และเคารพตามกฎระเบียบของอุทยานแห่งชาติภูเรือ อย่างเคร่งครัด สำหรับนักเดินทางที่ไม่มีข้อมูล สามารถหาข้อมูลได้
ที่ทำการอุทยาน ฯ ซึ่งอยู่ห่างจากประตูทางเข้าประมาณ 4 กม. เมื่อได้รับข้อมูลแล้วก็เดินทางตามหมายได้เลย
ยอดภูเรือ หนาวจับใจ
จากที่ทำการอุทยาน ฯ ให้ขับรถไปตามทางเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางจะพบกับจุดชมวิว อาทิ จุดชมวิวเดโชและยังสามารถรอชมพระอาทิตย์ตกดินได้ที่ ผาซำน้อย แต่น่าเสียดายเพราะช่วงเวลาที่ผมไปนั้นไม่ได้เก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินมาฝาก เนื่องจากมีหมอกปกคลุมต็มหน้าผา รอจนอากาศเปิด พระอาทิตย์ก็ตกดินไปเรียบร้อย ผ่านจากจุดนี้ไปไม่นานก็จะพบกับ หินเต่า เป็นหินที่มีรูปร่างคล้ายเต่า ตั้งเด่นสง่าริมทาง ก่อนจะพบกับลานกางเทนท์ และร้านค้าสวัสดิการ ให้จอดรถไว้ ณ ที่แห่งนี้ เกือบลืมบอกไปกับเรื่องของเวลา เพราะหากต้องการมาชมพระอาทิตย์ให้เดินทางมาถึงจุดนี้ก่อน 6.00 น. ซึ่งช่วงเวลานี้
ผมบอกได้เลยว่าเพียงก้าวเท้าลงจากรถ อุณหภูมิในเวลานี้จะอยู่ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส แนะนำให้ หาเสื้อผ้าห่อหุ้มร่างกายให้ดี บนยอดภูเรือนั้นไม่สามารถนำรถขึ้นไปถึงด้านบนสุดได้ ให้นั่งรถประจำทางที่ทางอุทยาน ฯ จัดเตรียมไว้ด้วยราคาค่าโดยสารเพียง 10 บาท หากต้องการสัมผัสกับธรรมชาติที่แท้จริงนั้น แนะนำให้เดินไปตามเส้นทาง กับระยะทางเพียง 900 ม. ตลอดริมทางเดินจะพบกับพืชพรรณที่ถูกปกคลุมด้วยไอน้ำ สวยงามตามแบบที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้น และยังสามารถเดินทางไปจุดชมวิว ผาโหล่นน้อย ที่สวยงามไม่แพ้กัน
บนยอดของภูเรือเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น และชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง ความสูงบนยอดภูนั้นสูงถึง 1,365 ม. จากระดับน้ำทะเล เมื่อมาอยู่ ณ จุดนี้ นอกจากความสวยงามของธรรมชาติแล้วยังจะปะทะกับสายลมเย็นยะเยือกที่ทำให้ขนลุกไปตามๆ กัน หลังจากดื่มด่ำเก็บภาพแห่งความประทับใจ ให้ลงมาปรับสภาพร่างกายด้วยกาแฟร้อนๆ ของร้านค้าสวัสดิการ ก่อนจะเดินทางไปเที่ยวชมแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่ต่อไป
เดินป่า ชมน้ำตก
จากร้านค้าสวัสดิการ ให้ขับรถต่อไปยังสุดทางบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวที่ 2 (ภูสน) จะเป็นร้านอาหารที่มีบ้านพักของอุทยาน ฯ และลานกางเทนท์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการเดินป่าเพื่อชมธรรมชาติ ระยะทางเดินนั้นมีหลากหลาย หากจะเยี่ยมชมทุกที่คงต้องใช้เวลาเดินเป็นวันๆ เอาเป็นว่าแค่ น้ำตกหิน 3 ชั้น และ น้ำตกเลิศพบ ก็เพียงพอ เพราะเรื่องของเวลาและสภาพทางเดินที่ลื่นและลาดชัน กับระยะทางไป/กลับประมาณ 3 กม. แต่หากสภาพร่างกายพร้อมและมีเวลาเพียงพอ ยังมีความสวยงามจากธรรมชาติที่รอให้นักเดินทางไปเยี่ยมชมอีกมากมาย
การเดินทางสัมผัสไอหนาวในครั้งนี้เป็นไปแบบชิลล์ๆ ซึ่งได้สัมผัสกับความหนาวเย็นสมใจอยาก แต่ผมว่ามันยังเป็นอุณหภูมิที่พอรับได้ ถ้ารอให้เวลาล่วงเลยไปสักปลายเดือนธันวาคม ความกดอากาศต่ำที่เคลื่อนตัวเข้ามาปกคลุมในประเทศไทย จะทำให้อุณหภูมิลดลงกว่านี้อีกมาก รวมถึงตัวแปรในเรื่องของความสูงของยอดภูเรือนั้นเป็นความสูงในระดับปานกลาง จึงไม่ค่อยส่งผลต่อความหนาวเย็นสักเท่าไหร่ หากนักเดินทางต้องการมา ยล ทะเลหมอก บอกได้คำเดียวว่าไม่พลาดแน่นอน เพราะสภาพภูมิประเทศที่เป็นแบบเกาะแก่งของภูเขา ทำให้เห็นความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มๆ ตา
ชีวิตอิสระ ในฉบับต่อไป ผมยังดั้นด้นที่จะไปสัมผัสกับความหนาวเย็นต่อ แต่ว่าจะเป็น ณ ที่ใด โปรดติดตาม
ที่กิน
ภูเรือ เป็นอำเภอเล็กที่ไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่านนัก อาหารประจำท้องถิ่นของที่นี่ก็จะมีประเภทพืชผักที่สดอร่อย ซึ่งนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
ที่พัก
เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นักเดินทางให้ความสนใจไม่ใช่น้อย จึงมีที่พักมากมาย หากเป็นที่พักของอุทยานเริ่มต้นที่ 200-800 บาทสำหรับผู้ที่ต้องการนอนเทนท์ แต่ถ้าเป็นบ้านพักจะอยู่ที่ 2,000-3,000 บาทตามขนาดของที่พัก ในส่วนของเอกชน สนนราคานั้นมีตั้งแต่ 500-5,000 บาท ตามรูปแบบของการตกแต่งและภูมิทัศน์ของพื้นที่
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณัฐเทพ เผ่าจินดา
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)