สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
โชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมงานกับ มาซดา ตั้งแต่ปี 2529 เริ่มต้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ขายฝึกหัด ที่ มาซดา คอร์พอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งในเมืองไทย ได้เข้ามาเรียนรู้การทำงานโดยดูแลรับผิดชอบส่วนการวางแผนและธุรกิจไฟแนนศ์ ส่วนการบริหารงานในฐานะกรรมการผู้จัดการ เขาพร้อมจะผลักดันให้ มาซดา เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ดังเช่น สโลแกน SUSTAINABLE ZOOM-ZOOM
ฟอร์มูลา : คุณวางแผนขับเคลื่อน มาซดา ให้เจริญเติบโตอย่างไร ?
ยูกิ : ปีนี้ มาซดา ตั้งเป้ายอดขายรวม 38,500 คัน ซึ่งจะใช้ มาซดา 2 เป็นหัวหอกสำคัญในการทำตลาด คงมุ่งเน้น 2 ส่วน คือ แผนการตลาดที่ดี ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และการจัดกิจกรรมพโรโมชันที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการออกรถรุ่นพิเศษ ตั้งเป้ามียอดขายถึง 24,000 คันจะเห็นได้ชัดเจนจากที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมครบรอบ 1 ปี มาซดา 2 ทำให้มีลูกค้าให้ความสนใจรถยนต์มาซดา 2 เพิ่มมากยิ่งขึ้น และการนำดาราหนุ่มสุดฮอท ณเดชน์ คูกิมิยะ มาเป็นพรีเซนเตอร์ มาซดา 2 ซีดาน ชูคอนเซพท์ หรู มีสไตล์ ที่ชูภาพลักษณ์ของชายหนุ่มคนเมือง ภายใต้ภาพลักษณ์ที่หรูหรา ผ่านการแต่งกายและรถที่เลือกใช้
นอกจากนี้ยังเปิดตัว มาซดา 3 โฉมใหม่ ภายใต้คอนเซพท์ DARE TO BE BOLD ที่ออกแบบภายใต้แนวคิด CENTER FOCUS DESIGN ที่เน้นความสมดุลของการออกแบบในทุกองค์ประกอบ ไปที่จุดเซนเตอร์ของรถ อันเป็นแนวคิดการออกแบบของรถต้นแบบ กิโยรา (KIYORA) นอกจากนี้ การดีไซจ์นกระจังหน้า 5 เหลี่ยม รวมทั้งการออกแบบภายใน ยังถอดแบบมาจากรถต้นแบบ รียูกะ (RYUGA) ที่ได้รับรางวัลการออกแบบยานยนต์ต้นแบบยอดเยี่ยม ด้านความคิดสร้างสรรค์ จากบแรนด์แฟชันระดับโลก หลุยส์ วิตตอง
นอกจากนี้การใช้เทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนารถสปอร์ท เทคโนโลยีไลท์เวท ที่ช่วยลดน้ำหนักส่วนเกินที่ไม่จำเป็นของรถ ช่วยให้สมรรถนะของรถดีขึ้น การหยุดรถขณะใช้ความเร็วทำได้แม่นยำขึ้น ที่สำคัญช่วยให้รถประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่ารุ่นเดิม 3 % ลดน้ำหนักส่วนเกินลงถึง 15 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยตั้งเป้ายอดขาย มาซดา 3 รวมทั้งสิ้น 7,000 คัน แบ่งเป็น มาซดา 3 ใหม่ 3,500 คัน และมาซดา 3 เดิมอีก 3,500 คัน ด้านรถพิคอัพ ตลาดโดยรวมมีแนวโน้มค่อนข้างดี ซึ่งจะช่วยให้มียอดขายที่ดีขึ้น บริษัท ฯ จึงมั่นใจว่า จะบรรลุเป้าหมายอย่างแน่นอน
ฟอร์มูลา : เป้าหมายที่ตั้งไว้ 38,500 คัน แบ่งสัดส่วนเป็นอย่างไร ?
ยูกิ : มาซดา 2 ประมาณ 24,000 คัน มาซดา 3 ประมาณ 7,000 คัน บีที-50 อีก 7,000 คัน และรถพรีเมียมอีกประมาณ 100 คัน ส่วนที่เหลือเฉลี่ยสัดส่วนในแต่ละรุ่น
ฟอร์มูลา : ปีนี้ต้องมีการปรับแผนการบริหารงานหรือกลยุทธ์อย่างไร เพื่อรองรับสถานการณ์อุตสาหกรรมรถยนต์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ?
ยูกิ : การสร้างยอดขายให้เติบโต ตัวแทนจำหน่ายเป็นกำลังสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องมีความพร้อมควบคู่ไปกับการบริการหลังการขาย รวมถึงการขยายเครือข่ายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าภายในปีนี้จะมีครบ 130 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้การปรับภาพลักษณ์โชว์รูมและศูนย์บริการภายใต้คอนเซพท์ใหม่ MCI MAZDA CORPORATE IDENTITY ภาพลักษณ์ใหม่ที่ออกแบบใหม่หมด เน้นการสื่อสารบแรนด์ และความทันสมัยในการออกแบบเป็นหลัก เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ ซูม-ซูม แบบยั่งยืนของ มาซดา ทั่วโลก
ด้านตัวแทนจำหน่ายมีความแข็งแกร่งขึ้น ทั้งในด้านการเงิน การบริหารจัดการ พร้อมมีความมั่นใจในบริษัท ฯ ที่วางแผนนำรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง การวางแผนการตลาด และการสนับสนุนด้านต่างๆ ในระยะยาว
ฟอร์มูลา : สินค้าในปัจจุบันเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ?
ยูกิ : ปัจจุบัน มาซดา มีรถจำหน่ายในประเทศไทย 5 รุ่น ได้แก่ มาซดา 3 มาซดา 2 บีที-50 เอนเอกซ์-5 และ ซีเอกซ์ 9 ซึ่งความจริงแล้วบริษัท ฯ ต้องการที่จะนำสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก แต่ต้องดูว่าจะสามารถสร้างยอดขายในปัจจุบันและอนาคตให้บรรลุเป้าหมายตามที่ได้ตั้งเป้าไว้หรือไม่ ซึ่งจะมีผลต่อการเสนอขอรถโมเดลใหม่ จากบริษัทแม่เข้ามาจำหน่ายเพิ่มขึ้น
ฟอร์มูลา : รถประเภทใดที่เหมาะสมกับประเทศไทย ?
ยูกิ : ผมมองว่ารถที่เหมาะสมน่าจะเป็นรถที่อยู่ระหว่าง มาซดา 3 กับ ซีเอกซ์ 9 เพราะว่าลูกค้าที่ซื้อรถ มาซดา 3 ในปัจจุบัน เมื่อใช้ไประยะหนึ่งมีความต้องการที่จะเปลี่ยนรถที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาอีก แต่จะไม่กระโดดไปที่ ซีเอกซ์ 9 ทำให้มองว่าน่าจะเพิ่มรถในกลุ่มนี้เข้ามาเสริม
ฟอร์มูลา : คุณจะวางบทบาทของ มาซดา ให้เป็นตัวตนของ มาซดา จริงๆ โดยไม่มีภาพลักษณ์ของ ฟอร์ด มาเกี่ยวข้องได้อย่างไร ?
ยูกิ : ปัจจุบัน มาซดา กับ ฟอร์ด มีอยู่ 2 ส่วน ที่ทำร่วมกัน ส่วนที่หนึ่ง คือ การผลิตที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ เนื่องจากมีการลงทุนร่วมกัน ส่วนที่ 2 คือ อะไหล่ที่ซัพพลายให้ลูกค้า แต่ในส่วนอื่นๆ เราแยกออกจากกันโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็น การตลาด การขาย บริการ รวมถึงการฝึกอบรม โดยแนวทางการสื่อสารของรถแต่ละรุ่นที่สื่อออกมา จะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในระยะยาว มาซดา จะต้องใช้ คอนเซพท์ ซูม-ซูม สร้างบแรนด์สื่อสารให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างของความเป็น มาซดา ได้อย่างลึกซึ้งถึงความรู้สึกและความเร้าใจของยานยนต์พันธุ์สปอร์ทที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะนี้การร่วมกันใน 2 ส่วนนับว่าส่งผลในด้านดีต่อการดำเนินธุรกิจ ยังไม่พบปัญหาหรือข้อจำกัดใดๆ คงจะดำเนินการร่วมกันต่อไป แต่ถ้าอนาคตเกิดปัญหาก็คงต้องดูว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้เกิดผลดีต่อเนื่องทางธุรกิจ
ฟอร์มูลา : ในปีนี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นหรือไม่ ?
ยูกิ : ที่ผ่านมาบริษัท ฯ มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ลงทุนไป 2 ส่วน คือ ศูนย์ฝึกอบรม อีกส่วนหนึ่ง คือ การขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ และการปรับปรุงโชว์รูม
ฟอร์มูลา : คุณมีความคิดเห็นอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องพลังงานทางเลือก ?
ยูกิ : ในอนาคตหรือประมาณ ปี 2556 อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงของรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหรือพลังงานทางเลือกอื่นๆ มากขึ้น แต่วันนี้ กลุ่มใหญ่ยังคงเน้นการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นหลัก ดังนั้น มาซดา ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะมองว่าเป็นพลังงานที่ยังมีความนิยมใช้เป็นจำนวนมาก ในขณะที่บริษัทรถยนต์อื่น เน้นการใช้พลังงานทางเลือกอื่น และเทคโนโลยีไฮบริด เนื่องจากในปัจจุบัน มาซดา มุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ (SKYACTIV) ที่สามารถพัฒนาให้ประสิทธิภาพทั้งด้านพละกำลังของเครื่องยนต์สูงขึ้น รวมถึงการประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้นถึง 30 % และให้ค่าไอเสียที่ต่ำมากอันส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งติดตั้งครั้งแรกที่ มาซดา เดมีโอ หรือ มาซดา 2 ในประเทศญี่ปุ่น โดยสร้างสถิติประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้สูงที่สุดถึง 30 กม./ลิตร
สำหรับประเทศไทยต้องสื่อสารให้ลูกค้ารู้ว่ามีเทคโนโลยีนี้ และให้ทราบถึงประโยชน์ และข้อดีที่ลูกค้าจะได้รับ ซึ่งต้องวางแผนในระยะยาว ส่วนความพร้อมต้องมีการเจรจากันหลายฝ่าย ทั้งบริษัทแม่ รัฐบาล เพราะต้องมีเงื่อนไขและข้อจำกัดต่างๆ
ฟอร์มูลา : คุณมีความคิดเห็นอย่างไร กับการที่ มาซดา เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ?
ยูกิ : ความสำเร็จของ มาซดา เกิดขึ้นจากสินค้าที่โดดเด่นทั้งในเรื่องการออกแบบที่มีสไตล์ของความเป็นสปอร์ท สมรรถนะการขับขี่ ซูม-ซูม ที่ให้ความสนุก รวมถึงการตลาด ทำให้เติบโต การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า
ฟอร์มูลา : คุณวางเป้าหมายของ มาซดา ไว้อย่างไร ?
ยูกิ : ภายในปี 2558 มาซดา จะมียอดขาย 50,000 คันขึ้นไป แต่จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะที่ผ่านมาจุดเปลี่ยนของ มาซดา คือ การเปิดตัว มาซดา 3 ที่เติบโตเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่ได้เติบโตสูงมาก และก็ยังเป็นที่ยอมรับในตลาดจนถึงปัจจุบัน ทำให้ยอดขายของ มาซดา เติบโตแบบยั่งยืน พร้อมกับการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่
ฟอร์มูลา : จนถึงปี 2558 มาซดา จะมีรถรุ่นใหม่เพิ่มอีกกี่รุ่น ?
ยูกิ : ถ้าเป็นไปตามเป้าหมาย ก็จะมีรถเอสยูวีอีก 1 รุ่น
ฟอร์มูลา : ปัจจุบัน มาซดา ยังมีจุดอ่อนอยู่หรือไม่ และคุณวางแนวทางแก้ไขอย่างไร ?
ยูกิ : สิ่งที่ผมมองว่ายังขาดอยู่ในปัจจุบัน แต่ไม่ถือว่าเป็นจุดอ่อน เป็นเรื่องของบุคลากร เนื่องจากบริษัท ฯ มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทำให้บางครั้งปริมาณของคนที่จะทำงานไม่เพียงพอและทันกับการเติบโต ซึ่งจะนำไปสู่การทำงานแบบข้ามแผนก ข้ามฝ่าย เพราะแต่ละคนจะทำงานเน้นไปที่งานของตนเองเป็นหลัก ทำให้การทำงานร่วมกันของแต่ละฝ่ายไม่เป็นทีมเวิร์ค ซึ่งจุดนี้คือแผนงานที่จะต้องมีการเพิ่มบุคลากร รวมถึงในระดับผู้บริหาร อาจจะต้องมีการเชื่อมเรื่องการทำงานร่วมกันมากขึ้น
ฟอร์มูลา : รูปแบบการแข่งขันในตลาดรถยนต์จะเป็นอย่างไร ?
ยูกิ : ตลาดรถยนต์โดยรวมปีนี้ รถยนต์นั่งจะมีสัดส่วนมากกว่ารถพิคอัพ ในส่วนของ มาซดา มองว่าจะเข้าไปทำการตลาดในส่วนรถยนต์นั่งมากขึ้น เนื่องจากบริษัท ฯ มีทั้ง มาซดา 2 และ 3 โดยแผนงานจะแนะนำรถรุ่นพิเศษในทุกไตรมาส เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้า
ฟอร์มูลา : การบริหารงานในประเทศไทย สิ่งที่คุณภูมิใจมากที่สุดคืออะไร ?
ยูกิ : มาซดา 2 ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะตอนที่ทำงานอยู่ญี่ปุ่น ผมมีส่วนร่วมทำงานตั้งแต่การวางแผน การเปิดโรงงงาน การวางแผนการผลิต การจำหน่ายในประเทศไทย สุดท้ายหลังจากวางแผนเสร็จ ก็ได้รับมอบหมายให้มาดูแลประเทศไทย เท่ากับว่าได้ทำทั้งกระบวนการ ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเปิดตัว แต่เป็นความสำเร็จตั้งแต่การสร้างการรับรู้ในตลาด ช่วยให้บแรนด์ มาซดา ดีขึ้น ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย คือ วัยรุ่น มีความสปอร์ท ถือว่ามีความท้าทายตั้งแต่เริ่มคิดพโรเจคท์
ฟอร์มูลา : มาซดา จากอดีตถึงปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ?
ยูกิ : มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก แต่เดิม มาซดา มองเรื่องการผลิตสินค้าเป็นหลัก โดยเชื่อว่าผลิตของดีมาแล้วต้องขายได้ แต่เมื่อผ่านมาหลากหลายวิกฤตของ มาซดา และของโลก ทำให้รู้ว่ามีของดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำการตลาดให้ดีและมีการสื่อสารออกไป เช่น เครื่องยนต์โรตารีที่อยู่ใน อาร์เอกซ์-7 และ เอมเอกซ์-5 ต้องขายได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว ต้องมีการสื่อสารให้เกิดการรับรู้ด้วยถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โรตารี ว่าดีอย่างไร ทำให้เมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายความคิดถึงจุดนั้นต้องใช้เวลา แต่ปัจจุบันการผลิต การตลาด การสื่อสาร การบริการ จะเดินทางไปพร้อมๆ กัน
เรื่องโดย : นุสรา เงินเจริญ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83163