ชีวิตอิสระ(4wheels)
คาราวานสัญจร อีซูซุ บุกแดนเสือเหลือง ประเทศมาเลเซีย
ผมได้รับเชิญจาก บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ให้เข้าร่วมเดินทางในรายการ คาราวานสัญจร อีซูซุ ครั้งที่ 2 ไทย-มาเลเซีย บนเส้นทางกว่า 1,500 กม. โดยมีผู้สื่อข่าวสายรถยนต์ และสมาชิกประชาคม อีซูซุอีกจำนวนหนึ่ง เข้าร่วมเติมแต่งให้การเดินทางเปี่ยมไปด้วยความสุข และมิตรภาพใหม่ๆ แถมยังอิ่มท้อง และอิ่มบุญทั่วทั้งคณะ
เริ่มจากสนามหน้าเมืองจังหวัดนครศรีธรรมราช ขบวนคาราวาน อีซูซุ ทั้งรถ นักขับ ผู้สื่อข่าว และทีมงานพร้อมหน้ากันที่บริเวณปะรำพิธี โดยมี สุทธิพงศ์ เทิดรัตนพงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานปล่อยขบวน โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 41 เพื่อไปข้ามแดนเข้าประเทศมาเลเซีย ที่ด่านสะเดา จ. สงขลา คณะของเราใช้เวลาประมาณ 1 ชม. เพื่อตรวจเอกสารข้ามแดนและพาสสปอร์ท ก่อนไปรับประทานอาหารกลางวันมื้อแรกที่เมืองจังโหลน ซึ่งอยู่ห่างจากด่านตรวจคนเข้าเมืองเพียง 10 กม. ก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองอลอร์สตาร์ เมืองหลวงของรัฐเคดาห์ ดินแดนทางภาคเหนือของมาเลเซีย ซึ่งมีหลากหลายเรื่องราว ทั้งประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่แตกต่างจากเมืองไทยสักเท่าไร
พิพิธภัณฑ์หลวงเคดาห์-วัดนิโครธาราม
ตามรอยเสด็จประพาสต้น อิ่มบุญทั้งคณะ
สถานที่แรกในเมืองอลอร์สตาร์ ที่ชาวคณะได้เข้าชม คือ พิพิธภัณฑ์หลวงเคดาห์ (KEDAH ROYAL MUSEUM) อดีตเคยเป็นที่ประทับของรัชกาลที่ 5 ในครั้งที่ดินแดนเสือเหลืองเคยเป็นของสยามประเทศ ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่จัดแสดงภาพถ่าย และเครื่องใช้ในราชสำนักของสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์
จากนั้นจึงเดินทางต่อไปยัง "วัดนิโครธาราม" วัดนี้เป็นวัดที่หลวงพ่อทวด แห่งวัดช้างไห้ เป็นผู้สร้าง และเป็นที่สุดท้ายก่อนที่จะมรณภาพ แล้วจึงย้ายสรีระสังขารกลับไปบำเพ็ญกุศลที่วัดช้างไห้ จ. ปัตตานี วัดแห่งนี้ไม่แตกต่างกับวัดในประเทศไทยสักเท่าไร แต่ที่ต่างกัน คือ ทุกวันเสาร์และอาทิตย์ จะมีชาวไทย และคนเชื้อชาติต่างๆ เข้ามาเรียนภาษาไทยอย่างคึกคัก
หลังจากนมัสการกราบไหว้พระ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลแล้ว คาราวานได้เดินทางต่อไปยังเมืองปีนัง ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางและที่พักในการเดินทางวันแรก คณะของเราใช้สะพานข้ามฟากจากฝั่งเมืองบัทเทอร์เวิร์ธ เพื่อไปยังเกาะปีนัง สะพานแห่งนี้สวยงามอลังการ ด้วยความยาวถึง 13.5 กม. เป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก ก่อนที่จะเข้าที่พักเพื่อพักผ่อนเก็บพลังงานเพื่อเดินทางในวันถัดไป
ไหว้พระวัดเขาเต่า
เดินทางลุยฝน ชมวัฒนธรรมมาเลเซีย
ที่แรกของการเดินทางในวันนี้อยู่ที่ วัดเขาเต่า (THE KEK LOK SI TEMPLE) มีเต่าหลายพันตัว อาศัยอยู่ในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บริเวณทางเข้าวัด ทางเดินขึ้นวัดที่แคบๆ มีร้านขายของที่ระลึกจำหน่ายไปทั่ว แต่ราคายังไม่ค่อยน่าหยิบจับสักเท่าไร และไม่ต้องกลัวที่จะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เพราะพ่อค้า-แม่ค้านั้นพูดภาษาไทยได้ชัดเจน ภายในวัดชาวคณะแยกตัวเป็นกลุ่มๆ เพื่อฟังข้อมูลประวัติความเป็นมา พร้อมนมัสการพระโพธิสัตว์กวนอิม และเจดีย์หมื่นพระ มีรูปแบบเป็นเจดีย์สีทอง ตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา รายล้อมไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักนับหมื่นองค์ เสร็จจากกิจกรรมการทำบุญ ล้อหมุนอีกครั้งเพื่อไปจุดหมายปลายทางที่เมืองมะละกา ฟ้าฝนเริ่มไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไร แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีของนักขับที่ได้โอกาสลองสมรรถนะของรถ กับสภาพเส้นทางโค้งขึ้น/ลงเขาเป็นระยะๆ มีตำรวจท่องเที่ยวของประเทศมาเลเซีย ช่วยอำนวยความสะดวกเพื่อไปยังที่พักกลางเมืองมะละกา หลังจากถึงที่พัก ชาวคณะได้รับการเลี้ยงต้อนรับเป็นอย่างดีจาก บริษัท อีซูซุมาเลเซีย จำกัด ซึ่งเตรียมงานเลี้ยงรับรองในภาคค่ำ พร้อมชมการแสดงที่ผสมผสานวัฒนธรรมมาเลเซียในยุคต่างๆ ไว้อย่างเอิกเกริก หลังจากงานเลี้ยงจบลง บางคนที่เรี่ยวแรงยังดีก็เดินชมแสงสีของเมืองมะละกาในเวลากลางคืน แต่บางคนก็เข้าที่พักเพื่อชาร์จพลังหลังจากตรากตรำขับรถทางไกลมาเต็มๆ วัน
เที่ยวเมืองมะละกา
ชมสถาปัตยกรรมหลายชนชาติ ชิมอาหารถูกปากในไชนาทาวน์
หลังจากรับประทานอาหารเช้า การเดินทางชมเมืองมะละกาได้เริ่มขึ้น แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบจากคาราวานรถ อีซูซุ เป็นคาราวานรถสามล้อ ที่มีสารถีทำหน้าที่พาพวกเราไปชมสถานที่สำคัญต่างๆ ในเมืองมะละกาพร้อมให้ข้อมูลประกอบชัดเจน มุมมองของคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้างนั้นผมไม่รู้ แต่สำหรับผมเอง ผมเห็นแล้วก็สะเทือนใจ มีทั้งสถาปัตยกรรมจากประเทศโปรตุเกส ฮอลแลนด์ และอังกฤษ เพราะทั้ง 3 ประเทศที่กล่าวมา ล้วนแต่เป็นชาติแห่งการล่าอาณานิคม ยุทธภูมิเด็ดๆ อย่างเมืองมะละกา โดนผลัดเปลี่ยนกันปกครองเป็นว่าเล่น
ป้อมปราการ "A FAMOUS" เป็นสถานที่แรกที่คณะของเราเข้าเยี่ยมชม ลักษณะเป็นป้อมปราการสร้างโดยนายพลเรือ จากประเทศโปรตุเกส ในปี 1511 มีกำแพงล้อมรอบหนาถึง 3 ม. และหอตรวจการณ์สูง 40 ม. ด้านบนยอดเขาจะมีโบสถ์ "ST. PAUL" ที่สร้างขึ้นหลังป้อมปราการ 10 ปี ต่อมาได้เกิดสงครามการล่าอาณานิคมระหว่างโปรตุเกส และดัทช์ (ฮอลแลนด์) การสู้รบในครั้งนี้ โปรตุเกสไม่สามารถต้านทานกองทัพของชาวดัทช์ไว้ได้ เมืองมะละกาจึงเข้าสู่การปกครองของฮอลันดา
ห่างจากป้อมปราการประมาณ 10 กม. จะเป็นที่ตั้งของจัตุรัสดัทช์ และอาคารสตัดธิวส์ (THE STADTHUYS) หรือตึกแดง ซึ่งเป็นอาคารในสไตล์ฮอลแลนด์ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ในอดีตสมัยที่ชาวดัทช์ครองเมืองมะละกา อาคารและจัตุรัสแห่งนี้ได้ใช้เป็นศาลาว่าการ และที่พักของข้าราชการชาวดัทช์ ในปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว และมีพิพิธภัณฑ์ที่เก็บเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีไว้มากมาย
เสร็จสิ้นกับการเที่ยวชมร่องรอยอันบอบช้ำของเมืองมะละกา รถสามล้อทำหน้าที่เป็นพาหนะต่อไปยังย่านไชนาทาวน์เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน เป็นเมนูข้าวมันไก่สไตล์มะละกา รสชาติถูกปากคนไทยเป็นที่สุด การต้มไก่ของที่นี่มีสูตร แต่เคล็ดลับเหล่านี้คงไม่สามารถไปล้วงเอามาง่ายๆ รู้เพียงว่า ไก่เนื้อนุ่มๆ จิ้มน้ำจิ้มรสชาติเผ็ดเปรี้ยว แกล้มด้วยน้ำซุปซึ่งมีลูกชิ้นปลาขนาดเท่ากับลูกปิงปอง ลอยเด่นเต็มชาม หากมีโอกาสไม่ควรพลาด ผมรับรองว่าต้องติดใจ
ไต่ความสูง 6,000 ฟุต
เยือนคาสิโนลอยฟ้า ละลายทรัพย์บนเกนติงไฮแลนด์
เสร็จจากการเที่ยวชมเมืองมะละกา คาราวาน อีซูซุ เริ่มขึ้นอีกครั้ง เป้าหมายสุดท้ายของทริพนี้อยู่ที่ "เกนติงไฮแลนด์" เราใช้เส้นทางผ่านเมืองกัวลาลัมเปอร์ ที่มีการจราจรติดขัดไม่หนีกรุงเทพ ฯ สักเท่าไร พอผ่านพ้นเมืองนี้ไปได้ เส้นทางต่อไป คือ ทางขึ้นเขาที่ลาดชัน และมีทางโค้งสลับซับซ้อน ทั้งยังมีฝนตกลงมาเป็นระยะ ทำให้เสียเวลาเดินทางเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่พวกเราก็ถึงปลายทางอย่างปลอดภัย ก่อนที่จะย้ายสัมภาระเข้าห้องพักที่ FIRST WORLD HOTEL ซึ่งเป็นโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการบันทึกของกินเนสส์บุค มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 6,118 ห้อง แต่ห้องพักที่นี่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15-18 องศาเซลเซียส เย็นสบายทั้งวัน
"เกนติงไฮแลนด์" แหล่งรวมความบันเทิงระดับโลกที่มีชื่อเสียงมายาวนาน มีทั้งที่พัก สวนสนุก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และบ่อนคาสิโน เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. คณะของเราพักอยู่ที่นี่เพียง 1 คืน สำหรับผมนั้นเป็น 1 คืนที่เพียงพอ และจะไม่ขอย้อนกลับไปใหม่ เพราะการลองของและเสี่ยงดวง ผลออกมาเละไม่เป็นท่า เพราะอะไรผมคงไม่อธิบายต่อก็แล้วกัน สำหรับคนดวงแข็งและมีโชคลาภก็ลองดูได้ แต่อย่าถลำลึกเพราะอาจจะหมดตัวเอาได้ง่ายๆ
สำหรับคืนสุดท้ายผมเข้านอนเร็วกว่าปกติ เพราะมีเหตุจำเป็นบางประการจากการเข้าไปละลายทรัพย์ในคาสิโน ก่อนที่จะตื่นนอนมาเดินทางกลับด้วยสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์
ทริพนี้เป็นการเยือนต่างแดนที่อิ่มบุญ และอิ่มท้อง ทั้งยังได้เข้าร่วมการเดินทางครั้งประวัติศาสตร์ของ อีซูซุ หากจะลองตามรอยไปเที่ยวในต่างแดนแบบนี้บ้าง สามารถทำได้ แต่ต้องเตรียมเอกสารผ่านแดน ทั้งรถ คน รวมถึงที่พักและพโรแกรมการเดินทาง ซึ่งต้องคำนึงถึงระยะเวลา และความปลอดภัยเป็นหลัก สำหรับผมทริพนี้เป็นการเพิ่มเติมข้อมูลเดินทางที่คุ้มค่า เสียดายก็แต่กิจกรรมบนคาสิโนลอยฟ้า ที่ทำให้ชาวคณะอ่วมไปตามๆ กัน
ฝากไว้ก่อนนะ...เกนติงไฮแลนด์
ขอขอบคุณ
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ที่เนรมิตการเดินทางเยือนต่างแดน ทั้งยังจัดกิจกรรมที่สนุกและสมบูรณ์ตลอดการเดินทาง
เรื่องโดย : ณัฐเทพ เผ่าจินดา
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2554
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/83606