เรายังอยู่กันที่อุ้มผาง จ. ตาก หลังจากเที่ยวดอยหัวหมด และน้ำตกทีลอซู กันไปแล้ว ฉบับนี้ “ชีวิตอิสระ” จะพาไปล่องเรือยางชมน้ำตกกันแบบใกล้ชิด จะสวยงาม และเปียกปอนแค่ไหน ไปดูกัน ล่องเรือยาง ชมน้ำตกสายฝน (ทีลอจ่อ) UNSEEN THAILAND ในอำเภออุ้มผาง นอกจากน้ำตกทีลอซูที่ใหญ๋โตสุดอลังการแล้ว ยังมีน้ำตกสายฝน หรือน้ำตกทีลอจ่อ ให้ชื่นชมความงามแบบใกล้ชิดกันอีกด้วย คำว่า ทีลอจ่อ มาจากภาษากะเหรี่ยงปกาเกอะญอ คำว่า “ที” แปลว่า น้ำ “ลอ” แปลว่า ไหล และ “จ่อ” แปลว่า เม็ดๆ ดังนั้น ทีลอจ่อ จึงแปลตรงตัวว่า น้ำตกที่ไหลลงมาเป็นเม็ดๆ หรือน้ำตกสายฝน นั่นเอง น้ำตกทีลอจ่อ เกิดจากสายน้ำที่ไหลตกลงมาจากหน้าผาสูง ในปริมาณที่เท่าๆ กันอยู่ตลอดเวลา และเมื่อตกกระทบลงบนหิน น้ำก็เกิดการกระจายตัวจนกระเด็นกระดอนแตกกระจายออกมา จนดูเหมือน “สายฝน” และหากเรามาถึงจุดนี้ในเวลาที่แสงแดดส่องลงมาถึงพอดี เราจะได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่าง “รุ้งกินน้ำ” ที่สวยงามแปลกตา จนหลายคนตั้งชื่อให้ใหม่อีกว่า “น้ำตกสายรุ้ง” ถือเป็นช่วงเวลาไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของการล่องเรือยางชมน้ำตกแห่งนี้เลยทีเดียว การเดินทางไปชมน้ำตกทีลอจ่อนั้น มีทางเดียว คือ ต้องล่องเรือยางเข้าไปเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วไกด์จะแนะนำให้เริ่มล่องเรือไม่เกิน 8 โมงเช้า เพราะจะได้ทันเห็นรุ้งกินน้ำพอดี แถมยังได้ชมบรรยากาศธรรมชาติของป่าไผ่ และลักษณะของภูเขาหินหลากหลายรูปแบบ ตลอดสองข้างทาง ส่วนใครที่อยากชมความสวยงามของรุ้งกินน้ำ แบบสุดอลังการ แนะนำให้มาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว เพราะจะได้เห็นรุ้งกินน้ำขนาดใหญ่ ที่เกิดจากการเบี่ยงเบนทิศทางของแสงในช่วงนั้น รับรองว่าจะร้องว้าวออกมา อย่างไม่รู้ตัว ผ่อนคลายร่างกาย แช่บ่อน้ำร้อนกลางป่า ถัดจากน้ำตกทีลอจ่อไปไม่ไกล เราก็มาถึงบ่อน้ำร้อน จุดสกัด (ชั่วคราว) อุ้มผาง ไกด์จะจอดเรือยางเอาไว้ และให้เราเดินไปประมาณ 200 เมตร เพื่อไปยังบ่อแช่เท้า ที่ถูกสร้างขึ้นแบบชั่วคราวเอาไว้อย่างสวยงาม บ่อน้ำร้อนบริเวณนี้ เกิดจากธารน้ำร้อนใต้ดิน ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีความร้อนประมาณ 20-30 องศา ตลอดทั้งปี ทางเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้สร้างห้องแช่เท้าสไตล์ญี่ปุ่นเอาไว้ ด้วยการขุดดินทำฝายเป็นหลุมเพื่อพักน้ำ ส่วนพื้นมีการนำกรวดมาวางรองไว้ในพื้นล่าง ให้สามารถเดินข้ามไปมาได้โดยไม่จมโคลน ตัวที่รองนั่งทำจากไม้ไผ่ดูสวยเก๋ เพื่อให้นั่งท่องเที่ยวได้มานั่งแช่เท้า ผ่อนคลาย ให้หายเมื่อยล้า หากใครมาเที่ยวในช่วงเสาร์-อาทิตย์ หรือช่วงเทศกาล ที่บ่อน้ำร้อนแห่งนี้ จะมีชาวบ้านนำอาหารมาวางขาย เช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ย่าง ไก่ทอด และขนมแปลกตาสไตล์กะเหรี่ยงปกาเกอะญอ แต่น่าเสียดายที่ผมมาวันธรรมดา ขับ FORESTER ตะลุยถ้ำตะโคะบิ๊ หลังจากล่องเรือยางจนจบแล้ว เราก็นั่งรถกลับมาเอารถคู่ใจ SUBARU FORESTER (ซูบารุ ฟอเรสเตอร์) ใหม่ เพื่อเดินทางไปยังถ้ำตะโคะบิ๊ ผมเลือกใช้ทางลัดจากจุดที่ขึ้นเรือยางเพื่อเข้าไป เนื่องจากใกล้ และเส้นทางสวย แต่อุปสรรคก็คือ สภาพเส้นทางอาจไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นเส้นทางขนผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน แต่เรามากับ SUBARU FORESTER ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา AWD และระบบ X-MODE ที่เลืองชื่อ และแน่นอนว่า ผมผ่านเส้นทางเหล่านี้ไปได้อย่างสบาย ถ้ำตะโคะบิ๊ ถ้ำที่ยาวที่สุดในภาคตะวันตก ถ้ำตะโคะบิ๊ ตั้งอยู่ที่บ้านแม่กลอง อยู่ตรงกลางระหว่างทางเข้าน้ำตกทีลอซู กับตัวเมืองอุ้มผาง ประมาณ 3 กิโลเมตร อยู่ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ มีทางเดินกว้างลงไปเป็นชั้นๆ ข้างในมีทางแยกหลายทาง การเข้าไปภายในถ้ำ จะต้องมีเจ้าหน้าที่นำทางไปด้วยเสมอ ชื่อ “ถ้ำตะโคะปิ๊” มาจากภาษากะเหรี่ยง แปลเป็นไทยว่า ถ้ำมะม่วงแบน (เป็นมะม่วงป่าชนิดหนึ่ง ผลมีลักษณะแบนๆ มีอยู่ทั่วไปบริเวณถ้ำ) สำหรับการเดินทางไปยังถ้ำนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทะลุถ้ำออกที่บ้านแม่กลองใหม่ได้ โดยความลึกของถ้ำยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ใช้เวลาเข้าทั่วถึงประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาเที่ยวถ้ำตะโคะบื๊ หลังจากไปเที่ยวน้ำตกทีลอซูมาแล้ว เพราะอยู่ระหว่างทางขากลับพอดี ชมศิลปะการแกะสลักไม้ วัดป่าสักวิปัสสนา หากยังพอมีเวลาเหลือ แนะนำให้ไปเที่ยวชมวัดป่าสักวิปัสสนา ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ ตัวเมืองอุ้มผาง เอกลักษณ์ของวัดนี้ คือ การแกะสลักไม้ และสามารถแกะสลักไม้ได้ทุกชนิด ตั้งแต่คานเสา พื้น เพดาน ประตู หน้าต่าง โดยเฉพาะตัวโบสถ์ไม้ ที่มีการแกะสลักไปหมดแล้วทั้งหลัง ช่วงที่เราไปทางวัดกำลังบูรณะโบสถ์ภายนอกใหม่ แต่โชคดีที่เราสามารถเข้าชมภายในตัวโบสถ์ได้ ภายในตัวโบสถ์นั้นมีงานศิลปะการแกะสลักมากมาย โดยไฮไลท์ คือ องค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) และพระแก้วมรกต ที่ถูกแกะสลักจากไม้ด้วยช่างฝืมือของอุ้มผาง แม้ดูไม่สมบูรณ์เหมือนรูปปั้นที่เราเคยเจอมา แต่ถ้านับเป็นการแกะสลักด้วยมือแล้ว ถือว่าเป็นยอดฝีมือ หนึ่งในตองอูเลยทีเดียว เมื่อชมโบสถ์ไม้แกะสลัก และกราบไหว้ขอพรเสร็จแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ คือ การขึ้นไปตีระฆังยักษ์ ที่มีน้ำหนักถึงกว่า 30 ตัน เมื่อตีแล้วจะมีเสียงสั้นทุ้มก้องกังวานให้ขนลุก ถือเป็นการปิดท้ายทริพที่ทั้งสนุก และได้บุญไปในตัว แผนที่ ที่กิน มาเยือนอุ้มผางทั้งที อาหารขึ้นชื่อต้องเป็นวัตถุดิบพื้นถิ่นอย่างแน่นอน รวมถึงแมลงต่างๆ ที่ชาวบ้านหามาได้ ผมเลือกร้าน "ครัวป้าณี" เพราะเป็นร้านที่มีชื่อเสียงเรื่องความอร่อยมายาวนาน และมักได้รับรองให้เป็นร้านรับแขกต่างบ้านต่างเมืองอยู่เสมอ ผมสั่งรถด่วนทอด จิ๊งกุ่งทอด กบทอดกระเทียม และต้มยำปลากด รสชาติอาหารร้านนี้จัดจ้านถึงรสถึงเครื่องเลยทีเดียว มีความอร่อยกลมกล่อมอย่างบอกไม่ถูก ใครมาอุ้มผางแนะนำว่าต้องมาชิมให้ได้ ที่นอน หากพูดถึงที่พักสวยๆ ในอุ้มผาง คงมีให้เลือกพอสมควร แต่หากอยากได้ที่พัก โดยมีกิจกรรมท่องเที่ยวต่างๆ อย่างครบครันแบบจบในที่เดียว “อุ้มผางแค้มป์ปิ้ง” คือ คำตอบ ผมเลือกพักที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าของอัธยาศัยดี แนะนำเราดีมาก แถมรีสอร์ทก็กว้างขวาง มีที่จอดรถเยอะ อุปกรณ์อำนวยความสะดวก แอร์ เครื่องทำน้ำอุ่น ครบครัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 600 บาท ขอขอบคุณ บริษัท ทีซี ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อพาหนะสำหรับการเดินทางครั้งนี้
บทความแนะนำ