ร่มไม้ชายศาล
ประหยัดน้ำมัน
"กำไรและผลประโยชน์" อันมหาศาลของน้ำมัน ซึ่งสามารถเจือจานเกี่ยวข้องผู้มีฤทธิ์ทุกฝ่าย ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ขณะเดียวกันผู้ค้า หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ ตลอดจนฝ่ายการเมือง ก็ไม่ใช่มูลนิธิการกุศล ที่จะมานั่งเมตตาปรานีชาวบ้านตาดำๆ ราคาน้ำมันขณะนี้ จึงทะยานขึ้นไปราวพยัคฆ์ติดปีก คนชั้นกลางลงมา จึงโดนหนักกันถ้วนหน้า ราคาเบนซินร่ำๆ 2 ลิตรจะ 100 บาท อยู่รอมร่อ มีอะไรเปล่า...ข้องใจอะไรเปล่า ?จำนวนไม่น้อยแก้ไขปัญหาลดความเดือดร้อนด้วยการใช้ "แกสหุงต้ม" หลายคนยิ่งแก้ยิ่งซ้ำร้าย "ตายโหง" ดำเป็นตอตะโก เมื่อรถเกิดอุบัติแล้วไฟคลอกเอาง่ายๆ ดังปรากฏเป็นข่าวตลอดมา เฮ้อ...ตายได้ก็ตายไป...จะได้พ้นทุกข์พ้นร้อนจากบ้านเมือง ที่มีปัญหาไม่หยุดหย่อน นับแต่ปี 2475 ด้วยประชาธิปไตยแบบไทยๆ ผมก็เดือดร้อนเช่นกัน เมื่อต้องใช้รถไปตามประสา เพราะไม่มีเงินถุงเงินถัง อึดอัดขัดข้อง ร่ำๆ จะเสี่ยงตายหารถติดแกสใช้ ปรากฏว่ามีพรรคพวกแนะนำ หาทางออกให้ โดยไม่ต้องโวยวายรัฐบาลให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ จึงขออนุญาตนำมาบอกกล่าว เห็นดีก็นำไปปฏิบัตินะครับ คือ อย่างนี้ ผมขับรถกระบะของลูกๆ ที่เขาซื้อไว้ให้ใช้สอย ไม่บอกยี่ห้อละกัน ที่ผ่านมามันสวาปามน้ำมันดีเซลไม่น่าดู... ชนิดที่ชาวบ้านใช้คำว่า "โคตรแดก..." ทั้งๆ ที่บริษัทโฆษณาแหกตาตลอดว่า ประหยัดสุดๆ คนไทยต่างก็ประจักษ์กันทั้งนั้น แต่เป็นชนชาติที่ได้ชื่อว่า "ลูกค้าเชื่องที่สุดในโลก" ต่างยอมก้มหน้า ซื้อรถเขามาใช้แทบไม่ปริปาก ได้แต่กัดฟันกรอดๆ หาสตางค์เติมน้ำมันอยู่ฮึดๆ ครั้นราคาน้ำมันขยับลงไม่กี่เวลา แล้วทะลึ่งพรวดๆ ขึ้นไปอย่างหน้าตาเฉย จนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เจียนจะไม่กล้าขยับรถไปไหน พวกพ้องรู้เข้า จึงชี้ทางสว่าง เริ่มแรกเขาไต่สวนทันที "ตามปกตินายขับรถยังไงวุ้ย.." "ก็นั่งที่เบาะคนขับ จับพวงมาลัย เดินเครื่องไปนะสิ" ผมตอบตามตรง "ไฮ้...จะบ้า หมายถึงว่า เอ็งชอบขับรถเร็ว หรือช้าขนาดไหนต่างหาก กวนนะเนี่ย..." "อ๋อ...ก็เหมือนชาวบ้านชาวเมืองสินะ เกิน 100 เป็นธรรมดาสามัญ" "นั่นละ เปลืองน้ำมันชัวร์" แล้วชะงักเอาเชิง จิบน้ำจิบท่าซะหน่อย เพื่อนจึงขยายต่อ "ต่อไปเอ็งต้องใจเย็น นึกถึงพ่อแก้วแม่แก้ว...เอ๊ยไม่ใช่ นึกถึงป้ายราคาน้ำมันตามปั๊ม จะได้สยอง หลังจากนั้นจงลดเลิกการขยี้คันเร่ง เหยียบแค่เบาๆ เบาสุดเท่าที่จะทำได้ ให้รอบเครื่องน้อยๆ เข้าไว้ เวลาเข้าหาไฟแดง จะเข้าที่จอด หรือลงทางลาด พยายามปล่อยให้รถไหลไปเอง อาศัยแรงเฉื่อย แต่อย่าดับเครื่องนะเว้ย เดี๋ยวพวงมาลัยลอคอันตราย เฉลี่ยแล้ว ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นรีบเร่ง ขับไม่เกิน 60-70 กม./ชม. รถก็ไม่ซดน้ำมันอย่างที่ผ่านมาให้เอ็งหน้ามืด ไม่เชื่อลองดูสิ" นี่มันสไตล์ขับรถทดสอบของบริษัท ที่เขาเอามาคุยโขมงโฉงเฉงว่าประหยัดน้ำมัน เพื่อหลอกขายรถยี่ห้อต่างๆ ในบ้านเรานี่ แต่เอาเหอะ ค่าน้ำมันโหดขึ้นทุกวัน ประชาชนเรียกร้องอะไรใครไม่ได้ ไม่มีทางเลือก หรือจนตรอก เอาละว่ะ ทดลองดู ไม่งั้นอ่วม ต้องกินข้าวคลุกน้ำปลาเป็นหลัก สรุปแล้วได้ผลจริงๆ อย่างที่ว่า เคยเติมน้ำมันดีเซล เช่น 500 บาท แค่ 2 วัน หรือ 2 วันเศษๆ ต้องเติมอีก พอกัดฟันขับสไตล์ที่พวกพ้องชี้แนะ เติม 500 บาท อยู่ได้เป็นอาทิตย์แน่ะ รู้สึกปลอดภัย ทำให้ใจเย็นอีกต่างหาก รถราก็ไม่ค่อยสึกหรอ แต่รู้สึกงงๆ และจั๊กจี้เหมือนกัน เออ...ขับรถช้าขนาดนั้นได้ยังไงละนี่ เหลือเชื่อจริงๆ คำตอบ คือ "ราคาน้ำมัน" บังคับแบบเต็มๆ แต่ถ้ายังแพงขึ้นไปไม่หยุด ก็ตัวใครตัวมัน มีข้อแม้นิดหนึ่ง คือ ขับทางยาวจริงๆ ถ้าเวลาจำกัดคงทำไม่ได้ รถติดทำได้ยากหน่อย ตามต่างจังหวัดใช้วิธีนี้ได้ผลง่ายกว่า สุดท้ายเมื่อขับช้า อย่าขวางรถอื่นเขา ดังที่คนขับช้าในบ้านเราเกือบทั้งหมดประพฤติ ถือเป็นพฤติกรรมแย่มากๆ ตามมาทันทีด้วยคดีความเพื่อให้ครึกครื้น ลืมเรื่องราคาน้ำมันโหดไปพักหนึ่ง งานนี้ชาวบ้านอ่วมอรทัย ไม่แพ้เรื่องน้ำมันแพง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นายดาบสารวัตร" แสดงว่าตั้งชื่อได้เท่ ฟังแล้วก้าวหน้ากว่ายศทางราชการไม่น้อย แกขับรถตำรวจไปรับตัวผู้ต้องหาที่โรงพักแห่งหนึ่ง ขากลับมืดค่ำแล้ว ความซวยตกเป็นแพะรับบาปอีกเช่นเคย เมื่อรถยนต์ไปกระทุ้งรถจักรยานยนต์เข้าให้ ยังผลให้ "นางน้ำดื่ม" กับ "นางน้ำจิ้ม" สองพี่น้องที่อยู่บนรถ 2 ล้อติดเครื่อง ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก เคยบอกแล้วว่า ถ้าความเสียหายเกิดจากคนของหน่วยงานราชการ จงรับรู้ไว้เลยว่า เรื่องมันยาว...ไม่ง่ายเหมือนอย่างชาวบ้าน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบหน่วยงานไม่กล้าตัดสินใจเอาเงินหลวงมาจ่ายง่ายๆ โน่นต้องยืมมือศาล ให้ท่านผู้พิพากษาออกแรงจนเหนื่อยหอบ ให้จ่ายเท่าไร ผู้เสียหายที่เดือดร้อนถึงจะเห็นเงิน เผลอๆ ตายไปซะก่อน คดีนี้ก็เช่นนั้น นางน้ำดื่ม กับ นางน้ำจิ้ม ชื่อไปกันได้กับน้องน้ำชา ดารารายหนึ่ง จึงต้องกัดฟันควักสตางค์ ลงทุนจ้างทนายยื่นฟ้อง เมื่อปี 2552 เล่นงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นายดาบสารวัตร และบริษัทประกันภัย เป็นคดีแพ่ง บังคับให้จ่ายค่าเสียหายนิดหน่อย รวมกัน 14 ล้านบาทเศษ พร้อมดอกเบี้ย ได้จริงก็รวยเละเชียวละ จำเลยพากันสู้คดี อ้างว่านางทั้ง 2 ประมาท ขี่มอเตอร์ไซค์ซะกลางถนน นายดาบสารวัตรเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตาม พรบ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ต้องปล่อยให้หน่วยงานเขาเชคบิลล์เอง ขอให้ยกฟ้อง เท่านั้นไม่พอ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและนายดาบสารวัตร ยังยื่นคำร้องต่อศาล โต้แย้งว่าเป็นคดีที่ต้องขึ้นศาลปกครอง ศาลยุติธรรมทั่วไปไม่มีอำนาจวินิจฉัย เพราะจำเลยเป็นหน่วยงานเจ้าหน้าที่อย่างเห็นๆ ผลคือ ศาลยุติธรรมซึ่งรับคดีนี้ไว้โดนเบรคทันที ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล วินิจฉัยชี้ขาดตาม พรบ. ว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พศ. 2542 พร้อมทั้งมีความเห็นกำกับว่าคดีต้องขึ้นไหนไปด้วย คณะกรรมการซึ่งมีท่านประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด และท่านอื่นๆ ต้องร่วมวงพิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยออกมาดังนี้ คณะกรรมการพิณาแล้วเห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นส่วนราชการเป็นนิติบุคคลตาม พรบ. ตำรวจแห่งชาติ จึงมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตาม พรบ. จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง นาบดาบสารวัตร จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จริงอยู่ ครานี้ตาม พรบ. จัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง ฯลฯ เขากำหนดให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่ง ในคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร โดยมุ่งหมายให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในคดีพิพาท เกี่ยวกับการกระทำละเมิดที่เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ไม่รวมถึงการกระทำละเมิดอันมิได้เกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่(จงอ่านซ้ำที่ขีดเส้นใต้ แล้วจะซึ้ง) เมื่อเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ โจทก์เขาอ้างว่า นายดาบสารวัตร ขับรถยนต์ตำรวจ ที่เอาประกันภัยไว้กับบริษัท ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการของจำเลยที่ 1 เมื่อกลับจากไปรับตัวผู้ต้องหาที่โรงพักอื่น แล้วขับประมาทชนรถจักรยาน ยนต์ ทำให้นางน้ำดื่มกับนางน้ำจิ้มเจ็บสาหัส เป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยกระทำละเมิด อันเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทั่วไป ไม่ใช่การใช้อำนาจตามกฎหมายแต่อย่างใด จึงไม่ใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย ตาม พรบ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ไม่ขึ้นศาลปกครองดังที่จำเลยและศาลยุติธรรมมีความเห็นไว้ด้วย จึงชี้จนขาดว่า คดีนี้ต้องลุยกันในศาลยุติธรรมที่ฟ้องมาแต่แรกนั่นแหละครับ ผลลัพธ์ คือ นางน้ำดื่มและนางน้ำจิ้ม ต้องเสียเวลาไปจนถึงปี 2554 ให้คณะกรรมการชี้ออกมาว่า คดีนี้อยู่บนเวทีศาลยุติธรรม แล้วศาลยุติธรรมก็ต้องนั่งรอเอกสารสำนวนทั้งหมดมาพิจารณา เบ็ดเสร็จไม่น้อยกว่า 2 ปี การอุทธรณ์ฎีกา ภายหลังศาลยุติธรรมตัดสินออกมายังไม่นับ การดึงเกมให้คดีไปแวะเวียนที่คณะกรรมการชี้ขาดเรื่องเขตอำนาจศาล กำลังเป็นที่นิยมของจำเลย โดย เฉพาะเมื่อมีหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่ตกเป็นจำเลยด้วย หมายความว่าชาวบ้าน อย่างนางน้ำดื่มและนางน้ำจิ้ม ต้องนั่งหาวเรอ กินยาหอมดมยาดม หรือยาอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งรัฐยอมให้โฆษณาขายในเคเบิลทีวีและวิทยุ อย่างเสรีที่สุดในโลก ไม่มีประเทศไหนเหมือนก็แล้วกัน ครับเจอแค่อุทธรณ์ฎีกาก็กระอักโลหิต เจอลากไปศาลโน่นศาลนี่อีก โอ้...พระเจ้าช่วย อ้อ ลองใช้มาตรการประหยัดน้ำมันแบบ"กำปั้นทุบดิน" คือ ขับคลานเข้าไว้ ดังที่ผมแนะนะตัวเธอ คำวินิจฉัยฯที่ 44/2554 คดีรถ ตีพิมพ์ใน"ฟอร์มูลา" ส่งไป ๘ เม.ย.๒๕๕๕
ABOUT THE AUTHOR
จ
จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล