ร่มไม้ชายศาล
ประกัน (มี) ภัย
ประกันชั้นหนึ่ง ซึ่งบริษัทไม่ได้อยู่ชั้นล่าง หรือชั้นหนึ่งเสมอไป ไทยเราเรียกว่า ภาคสมัครใจ ชาติที่พัฒนาแล้วเป็นภาคบังคับ
ผู้ที่สมัครใจจริงๆ หมายถึง คนมีความพร้อมซื้อประกันได้ ยังมี "ภาคจำใจ พอมีสตางค์ หรือพอหาได้ แต่ขี้เหนียว ไม่อยากซื้อ หรือทำกิจการต้องพึ่งรถรา รถเคยมีเหตุหน้าเหลืองมาแล้ว เลยจำใจกัดฟันซื้อประกันชั้นหนึ่ง
มีอีก "ภาคของแถม ได้แก่ รถป้ายแดง รถคันแรก คนขายบวกไว้ แล้วซื้อประกันให้ เพื่อคุ้มครองตัวเขาเป็นหลัก พอพ้นปีแรก ซื้อมั่งไม่ซื้อมั่งไปตามเรื่อง กฎหมายเราไม่บังคับ ถ้าบังคับขึ้นมาอาจเดินขบวนเชียวละ
ประกันชั้นหนึ่ง อันที่จริงเป็นเรื่องดี เวลาเกิดเรื่อง มีคู่กรณี คนของบริษัทประกันช่วยปะทะ หรือรับหน้าเสื่อแทน ไม่เสี่ยงในการราวีกับใครต่อใครด้วยตนเอง บริษัทจ่ายค่าเสียหายต่างๆ ในวงเงินไม่น้อย ตามปกติเจ้าของรถในบ้านเราส่วนใหญ่ มีรถขับ แต่ไม่มี หรือไม่พร้อมที่จะจ่ายซะส่วนใหญ่ แต่เสียค่าประดับรถยนต์ หรืออื่นๆ ไม่เกี่ยง
ถ้า "ไม่มีคู่กรณี เราขับรถไปพลิกคว่ำพลิกหงาย หรือทิ่มตำอย่างอื่น บริษัทประกันบ้านเรามักหันมาปะทะกับเจ้าของรถซะนี่ จากเบาไปหาหนัก คำนี้คุ้นๆ ต้องวัดดวง ต้องเลือกบริษัทประกันเหมาะๆ ไม่งั้นดูไม่จืด ถึงขั้นไปโต๋เต๋ที่ศาลจนเมื่อย
เอ พี่จั่วหัวไว้ว่า ประกัน (มี) ภัย หมายถึง อย่างไรละน้อง
อ๋อ คือ อย่างนี้ครับ รถมีประกันชั้นหนึ่ง ซึ่งผมคุยว่าวิเศษวิโสเมื่อตะกี้ ไม่ว่าควักเงินซื้อเอง หรือเป็นออพชันของแถม เดี๋ยวนี้มีพวกซิกแซกหากิน สร้างความเดือดร้อนเป็นภัยแก่เจ้าของรถไม่น้อย
เท่าที่ซักถามคนขายประกันของบริษัทลำดับต้นๆ ได้ความว่า มีคนตั้งบริษัทซะด้วย แล้วไปติดต่อขอ "ซื้อข้อมูล จากบริษัทไฟไหม้เอ๊ยไฟแนนศ์ผู้ให้เช่าซื้อให้ลูกค้าผ่อนรถ ทะลึ่งขายให้ซะด้วย ข้อมูลนี้มีรายละเอียด รถรุ่นไหน ทะเบียนอะไร เจ้าของชื่อเรียงเสียงไร อยู่ไหน พร้อมเบอร์โทร และบริษัทประกัน วันหมดประกัน ค่าประกัน วงเงินประกัน ต่อจากนั้นพนักงานที่จ้างไว้และแยกย้ายไปอยู่จังหวัดต่างๆ แห่งละนับ 10 คน ทั้งชายหญิง จะระดมโทรศัพท์จิกเจ้าของรถ ทำตัวแบบพวกคอลล์เซนเตอร์ ค่าแรงของไม่หนีวันละ 300 บาท เงินดีมีทิพ
แจ้งเหยื่อว่า รถของท่านทำประกันไว้ที่บริษัทของเรานะ อ้างชื่อบริษัทประกันมันซะงั้น เมื่อนั่นเมื่อนี่จะหมดประกัน
เจ้าของรถแทบทุกรายที่ไม่เคยเจอมาก่อน เชื่อสิครับ ในเมื่อพวกนั้นรู้ทุกอย่าง ผวาสิทีนี้ เอ๊ะ เพิ่งทำประกันมีประกันมาหยกๆ ผ่านไปไม่กี่เดือน มีปัญหาแล้วเหรอ บริษัทเขาถึงโทรมาปะทะ ประดารถคันแรกยิ่งผวาหนัก เพราะจะแย่กับค่าใช้จ่ายเกินตัว
พนักงานบริษัทซิกแซกจะร่ายต่อ กรณีที่เจ้าของรถไม่เคยผจญ ยังไม่ตัดสาย อ้างเชียวว่า เราปรารถนาดีต่อลูกค้านะเนี่ย จึงเสนอรายการพิเศษ จ่ายก่อนตอนนี้แค่ 4-5 พันบาท เพื่อเข้าโครงการ แล้วผ่อนชำระไปเรื่อยๆ ไม่มีดอกเบี้ย ท่านสบายโก๋ ไม่ต้องจ่ายเงินก้อนตอนหมดประกัน ประกันก็ไม่ขาดให้เกิดปัญหา แล้วตามมาด้วยการอ้างบริการพิเศษ ซึ่งบริษัทประกันต่างๆ จัดให้อยู่แล้ว เอามาล่อ เช่น มีรถให้ใช้ฟรี ได้ลดเบี้ยประกันนะ อย่างโน้นอย่างนี้ โทรวันแรกไม่สำเร็จ วันหลังเอาอีก ทั้งหญิงทั้งชาย ผลัดกันจิกเหยื่อ ตื้อนั่นเอง
ถ้าเจ้าของรถรายไหน "ติดเบ็ดหรือติดกับ หมายถึง จ่ายเงินให้พวกนี้ โดยเข้าใจว่า จ่ายให้บริษัทประกัน ซึ่งเขาไม่โกงก็จริง (ถ้าไม่โชคร้าย) แต่ต้องผ่อนไปเรื่อยๆ หยุดผ่อน หรือไม่ผ่อน เงินที่จ่ายไป ไม่รับรองว่าจะได้คืนหรือได้ครบ อย่างน้อยเงินก้อนแรก โดนกินฟรี ฐานผิดสัญญา คนของบริษัทประกันตัวจริงยืนยัน
ผลลัพธ์ที่พวกซิกแซกได้ คือ เอาเงินจากเจ้าของรถไปหมุน เงินไม่ได้ถึงมือบริษัทประกันตัวจริงแม้แต่บาทเดียว เพราะประกันยังไม่หมดอายุ สิทธิ์ยังมีอยู่ตามสัญญาประกันที่ยังไม่ขาด แล้วจะเอาเงินค่าประกันของลูกค้ามาก่อนได้อย่างไร เปรียบเหมือนการผ่อนรถ ถ้าเขาไม่ได้ใช้รถ ไปเอาเงินผ่อนเขาได้อย่างไร นั่นละใช่เลย พวกนี้จึงพยายามจิกจากเจ้าของรถที่สัญญาประกันเหลืออยู่นานหน่อย จะได้เงินผ่อนหลายๆ เดือน เงินหมุนได้ยาว ไม่ต้องจ่ายให้บริษัทประกันเร็วเกินไป
ผมถามแบบโง่ๆ ว่า พวกมันเอาเงินไปหมุนอย่างไร แค่ไม่กี่เดือน เขายันว่า โฮ้ย หมุนได้สบาย เช่น ซื้อตราสารหนี้หรืออื่นๆ เพราะได้มาแบบไม่มีดอกเบี้ยแม้แต่แดงเดียว ได้มาแบบเปล่าๆ ไม่ได้กู้ยืม ไม่ได้เอาอะไรไปค้ำประกันทั้งสิ้น
มีการร้องเรียนไหม บริษัทประกันตัวจริงแก้ไขได้ไหม
มีเยอะ แต่ทำอะไรไม่ได้ บริษัทประกัน เจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งดูแลเรื่องประกันภัย ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แค่เตือนมั่งไม่เตือนมั่ง ให้เจ้าของรถรู้กลเม็ด แล้วระวังกันเอาเอง นี่คือ คำตอบสุดท้าย
ถามว่าชั่วไหม ที่ขายข้อมูลของลูกค้าคนทำประกัน ถามว่าเลวไหม ที่ทำกับเจ้าของรถอย่างนั้น ท่านผู้อ่านคงตอบเองได้ และนี่คือ รายการไทยแลนด์โอนลี อีกอย่างหนึ่ง นอกเหนือจากหลวงปู่เณรนั่นนี่ หาเงินจากชาวบ้านง้ายง่าย เอาไปหาความสุขสบายเฉิบ รายแล้วรายเล่า แต่คนไทยไม่เข็ดไม่จำใส่หัวกลมๆ มันแปลกดีนะ
ตบท้ายด้วยคดีความอย่างเคยจึงจะครบเครื่อง
งานนี้ค่อนข้างสนุก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าของโรงแรมและผู้จัดการ ซึ่งเป็นลูกจ้าง ไปไงมาไง ดูได้เลย
บริษัท โฮเต็ลโรงแรมเนียริมริเว่อร์แม่น้ำ จำกัด" ชื่อชัดเจนดีจังทั้งไทยอังกฤษ ให้ทนายฟ้อง นายบริหาร ลูกจ้างของตน ซึ่งอวยตำแหน่งให้เป็นผู้จัดการ อยู่กันมานาน มีหน้าที่สารพัด รวมทั้งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้ลูกค้าที่ใช้บริการห้องอาหาร ห้องพัก ให้ได้รับความพึงพอใจ อ้างว่า นายบริหาร ดันไปทะเลาะกับลูกค้า ใช้กิริยาวาจาท่าทางไม่สุภาพเรื่อยมา จนลูกค้าเปลี่ยนใจไปพักโรงแรมอื่น นายจ้างตักเตือนหลายครั้ง แต่ไม่หลาบจำ กระทั่งต้นเดือน มิถุนายน ปี 2547 คุณเพียงฟ้า ลูกค้าประจำนำทุเรียนไปกินที่ระเบียง นายบริหาร พบเข้าแสดงกิริยาท่าทางไม่สุภาพ เธออับอายขายหน้า ย้ายออกจากโรงแรม บริษัทขาดรายได้ 5 วัน กลางเดือนเดียวกัน ตอนหัวค่ำ นายดุ้นทอง พาครอบครัวมารับประทานอาหารบุฟเฟท์เลี้ยงวันเกิด พอ นายดุ้นทอง ตักผักอาหารทะเล และกุ้ง 8 ตัว นำไปให้พ่อครัว นายบริหาร เอาเชียว เดินตามพนักงานครัว บอกให้เอากุ้งออกเหลือไว้แค่ตัวเดียว แล้วนำไปผัด เสิร์ฟให้ นายดุ้นทอง เขายัวะสิ เกิดผลกระทบต่อชื่อเสียงเกิดความเสียหายต่อบริษัท ฯ ทำให้ลูกค้าไม่มาใช้บริการ จึงปลด และขอให้ศาลบีบบังคับ นายบริหาร จ่ายค่าขาดรายได้จาก คุณเพียงฟ้า 6 พันบาท ค่าเสียหายต่อชื่อเสียงและธุรกิจโรงแรม 5 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลย คือ นายบริหาร ชื่อทะมัดทะแมงดี สู้ความให้การว่า ไม่ได้ทำให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องเป็นเท็จ เพราะโจทก์พยายามหาเรื่องกลั่นแกล้ง ต้องการให้เขาออกจากงาน บอกเลิกจ้างเมื่อกรกฎาคม ปี 2547 ทำให้เขาเสียหาย จึงฟ้องบริษัทที่ศาลแรงงานนี้แหละ เรียกค่าชดเชย คดีอยู่ระหว่างพิจารณา มูลคดีเกิดขึ้นเมื่อปี 2541 จนถึงปี 2547 โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปี พ้นกำหนดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาคดีอย่างแข็งขัน เห็นว่า เรื่องของ นางเพียงฟ้า คณะกรรมการของโรงแรมไม่ได้ทำการสอบสวนพิจารณา เอาความผิด นายบริหาร เฉพาะเรื่องที่ นายดุ้นทอง โทรมาร้องเรียน ไปทานบุฟเฟท์ 4 คน คิดเงิน 3 คน แล้วดึงกุ้งออกตั้ง 7 เหลือให้แค่ 1 ตัว มันเกินไป ชาตินี้ไม่มาอุดหนุนอีกแล้ว ถือว่า นายบริหาร ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงนั้น เมื่อ นายดุ้นทอง ไม่ใช่ลูกค้าประจำ ไม่ทำให้ขาดทุนตั้ง 5 แสนบาทนั่นหรอก กรณี นางเพียงฟ้า ถือว่า นายบริหาร ทำตามหน้าที่ โรงแรมไม่เสียหายเช่นกัน คดีแบบนี้ไม่ขาดอายุความ ฟ้องได้ภายใน 10 ปีแต่ตัดสินยกฟ้อง
ศาลฎีกา คว้าสำนวนมาเล็งดูด้วยความอ่อนล้า เพราะคดีล้นมือ แล้วชี้ขาดว่า
เรื่องที่ นางเพียงฟ้า ร้องเรียนทางโรงแรมว่า นายบริหาร สั่งให้เธอเอาทุเรียนออกไปรับประทานนอกประตูทางเข้า จนเธออับอายขายหน้า โรงแรมมีแต่หนังสือร้องเรียน ไม่มีตัว นางเพียงฟ้า หรือพยานอื่นใดมายันไม่มีน้ำหนัก นายบริหาร ห้ามปรามเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโรงแรม เธอออกจากโรงแรมก่อนกำหนด 5 วัน ไม่ถือว่าเป็นความผิดของ นายบริหาร กรณีของนายดุ้นทอง ซึ่งทางโรงแรมอ้างว่า นายบริหาร ทำไป เป็นผลให้เขาบอกกล่าวต่อเพื่อน 7-10 คน ไม่ให้มาอุดหนุน ก็ไม่ปรากฏว่าคนดังกล่าว และเลขา นายดุ้นทอง ไม่ไปอุดหนุนอาหารของโรงแรม ไม่เป็นเหตุให้ขาดลูกค้าส่วนนี้ ไม่เป็นเหตุทำให้รายต่ำกว่าเป้า โรงแรมไม่มีสิทธิ์เรียกค่าเสียหาย ข้อที่โรงแรมอ้างว่า นายดุ้นทอง เป็นผู้จัดการสถานจำหน่ายรถยนต์ ย่อมมีเพื่อนทั้งชาวไทยชาวต่าง ประเทศ อาจพูดคุยกันปากต่อปาก ยังไม่สามารถพิสูจน์ค่าเสียหายส่วนนี้ได้ อุทธรณ์ของโรงแรมโต้แย้งดุลพินิจศาลแรงงาน เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลฎีกาออกแรงอีกหน พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์หรือทางโรงแรมทิ้งไป
งานบริการ แต่คนชื่อบริหารมาทำ เลยเคร่งไปหน่อย โรงแรมจึงอึดอัดฮึดฮัด แต่เล่นงานลูกน้องไม่ได้ ด้วยเหตุผลอย่างที่ศาลท่านว่าไว้ อีกอย่างบ้านเราการเรียกค่าเสียหายต่างๆ ศาลยึดถือตัวเลขจริงๆ ไม่ออกแนวลงโทษไปในตัว เพื่อให้คนเข็ดหลาบอย่างฝรั่งมังค่า ซึ่งบังคับให้จ่ายมากมาย เกินกว่าตัวเงินที่ปรากฏ ไทยเราเอาอย่างนั้นมั่ง คงค้าความกันจ้าละหวั่นอย่างที่ฝรั่งโดน เอะอะซูกันยันป้าย
ระวังภัยจากการทำประกันชั้นหนึ่งอย่างที่บอกไว้นะครับ มีคนโทรมาจิก ไม่ต้องสน บอกว่ารู้ไต๋แล้ว อย่าโทรมาอีก จะไปทำประกันเอง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2554
คดีรถ/แรงงาน ตีพิมพ์ในฟอร์มูลา ส่งไป 21 มิถุนายน 2556
ABOUT THE AUTHOR
จ
จอมยุทธ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : ร่มไม้ชายศาล