รอบรู้เรื่องรถ
ถึงเวลาประหยัดกันแล้ว !
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พบว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หลังจากผ่านครึ่งปีแรกของปีนี้ มีเพียง 0.95 % เท่านั้น จากที่ประมาณการกันไว้ที่ 5 % โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่ส่อแววอ่อนแอลงอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้เศรษฐกิจไทยเคยขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 6-7 % แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 1 % ถือว่าแทบจะไม่ขยายตัวเลย แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจภายในประเทศขณะนี้ เริ่มเข้าสู่ภาวะฝืดเคืองกันแล้วครับ
ทุกคนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภาครัฐได้ปล่อยลอยตัวแกสหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน จาก 18.13 บาท/กก. เป็น 24.82 บาท/กก. โดยทยอยขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ พร้อมกับปรับขึ้นค่าไฟอัตโนมัติ (FT) ในอัตรา 6-7 สตางค์/หน่วย ไม่เพียงเท่านั้นครับ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยังปรับค่าผ่านทางพิเศษขั้นที่ 1 และขั้นที่ 2 ขึ้น เป็น 50/75/110 บาท จากเดิม 45/70/100 บาท (สำหรับรถ 4 ล้อ, 6-10 ล้อ และมากกว่า 10 ล้อ ตามลำดับ)
การขึ้นราคาทั้ง 3 อย่างนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนแน่นอนครับ โดยเฉพาะคนเมือง ที่จำเป็นต้องใช้ทางพิเศษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมถึงคนที่มีอาชีพขายอาหารปรุงเสร็จ เช่น ร้านตามสั่ง ร้านข้าวแกง ฯลฯ อีกหน่อยเราคงกินข้าวแกงเริ่มต้นจานละ 50 บาทแน่ๆ ครับ
ผู้ใช้รถ ก็คงต้องปรับตัว ปรับพฤติกรรมการขับขี่กันเสียใหม่ครับ เพราะถ้าคิดในมุมมองของประเทศชาติ ทุกอย่างล้วนเป็นรายจ่ายของประเทศทั้งหมด ตั้งแต่การบริโภค หรือซื้อรถ การใช้อะไหล่ในการซ่อมบำรุง หรือการใช้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน เรื่องการซื้อรถ และซื้ออะไหล่ ไว้คุยกันในโอกาสหน้าครับ คราวนี้ขอเป็นเรื่องเกี่ยวกับเชื้อเพลิงล้วนๆ กันก่อน
ใครที่ใช้รถยนต์เชื้อเพลิงเบนซิน คงคิดสงสัยว่า ทำไมต้องมีเชื้อเพลิงหลายประเภทเยอะเยะไปหมด ทำไมไม่มีให้เลือกแค่อย่างสองอย่างเหมือนในต่างประเทศเขา เช่น เบนซิน 95 กับ 91 ก็พอ ผมมองว่ายิ่งมีชนิดของเชื้อเพลิงให้เลือกใช้มากเท่าไร ก็ยิ่งส่งผลดีต่อผู้ใช้มากเท่านั้นครับ เพราะเราสามารถเลือกชนิดของน้ำมันให้เหมาะสมกับรถ โดยประหยัดเงินในกระเป๋าที่สุด รถยนต์แต่ละคันย่อมมีความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงที่แตกต่างกัน เช่น อีโคคาร์ป้ายแดง กำหนดให้ใช้เชื้อเพลิง อี 20 ได้ ดังนั้นเราก็ควรเติม อี 20 เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าเชื้อเพลิงแกสโซฮอล 95 ถึงเกือบ 5 บาท/ลิตร แต่บางคนยังมีความเชื่อแบบผิดๆ ว่า ถ้าเติมเบนซิน 95 หรือแกสโซฮอล 95 แล้ว เครื่องยนต์จะแรงขึ้นอีกเยอะ ทั้งๆ ที่รถตัวเองกำหนดให้ใช้เบนซิน 91
ผมอยากจะให้ล้างความคิดนี้ไปเลยนะครับ ค่าออคเทนต่างๆ เป็นตัวเลขที่บอกค่าต้านทานการนอคของเครื่องยนต์ ไม่มีผลต่อความแรงอะไรทั้งสิ้น การใช้ค่าออคเทนที่สูงกว่าที่เครื่องยนต์กำหนด ไม่ส่งผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์ก็จริง แต่เราจะจ่ายค่าเชื้อเพลิงที่แพงขึ้นไปทำไมกันครับ น้ำมันก็ต้องนำเข้าจากประเทศที่ร่ำรวย อีกทั้งกว่าจะมาถึงเราก็ต้องบวกค่าต่างๆ อีกมากมาย ไม่รู้ว่าเงินพวกนี้แท้จริงแล้วไปอยู่ในส่วนไหน หรือเป็นของใคร ด้วยครับ
ในทางกลับกันถ้าเราใช้น้ำมันที่มีค่าออคเทนต่ำกว่าที่เครื่องยนต์กำหนด อันนี้ส่งผลเสียต่อเครื่องยนต์แน่นอนครับ เนื่องจากเชื้อเพลิงจะชิงจุดระเบิดก่อนที่ลูกสูบจะขึ้นไปถึงตำแหน่งศูนย์ตายบน ทำให้เกิดแรงต้านที่ลูกสูบ เครื่องยนต์จึงเดินไม่เรียบ เกิดการนอคขึ้น ดังนั้นควรใช้เชื้อเพลิงตามที่ผู้ผลิตกำหนดจะดีที่สุดครับ
ผมขอแยกการใช้รถให้ประหยัดเชื้อเพลิงออกเป็น 3 หัวข้อใหญ่ คือ วิธีใช้ วิธีขับ และวิธีบำรุงรักษา
เริ่มกันที่วิธีใช้กันก่อน วิธีใช้รถให้ประหยัดเชื้อเพลิงมีหลักการง่ายๆ เพียงไม่กี่อย่าง นอกนั้นจะไปรวมอยู่ในอีก 2 หัวข้อที่เหลือ คือ วิธีขับ และวิธีบำรุงรักษา
อันดับแรกเลยต้องสำรวจสัมภาระภายในรถก่อน ให้เหลือแต่ของที่จำต้องใช้เท่านั้น อะไรที่ไม่จำเป็นต้องเอาออกไปเก็บไว้ที่บ้าน หรือทิ้งไปให้หมด เพราะเราต้องใช้เชื้อเพลิงในการเร่งความเร็วรถทุกครั้ง ยิ่งมีมวลมาก หรือมีน้ำหนักมาก ย่อมต้องใช้เชื้อเพลิงมากตามไปด้วย
ก่อนจะออกเดินทาง ต้องวางแผนการเดินทางเสมอครับ เรียงลำดับจากระยะทางที่สั้นที่สุด และต้องคำนึงถึงสภาพการจราจรของแต่ละเส้นทางด้วย ถ้าระยะทางสั้น แต่เป็นเส้นทางที่รถติดมาก ก็จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมากกว่าการใช้เส้นทางที่ขับได้ในเกียร์สูง บางเส้นทางแม้ต้องเสียค่าทางด่วนเพื่อใช้ทาง แต่บางครั้งอาจคุ้มค่ากว่าครับ ผมมีหลักการอย่างง่าย แบบไม่เป็นทางการในการประเมินค่าเชื้อเพลิงแบบคร่าวๆ บนทางด่วน รถของเราจะใช้น้ำมันประมาณครึ่งหนึ่งของการขับตอนรถติด เช่น บนทางด่วนได้ 10 กม./ลิตร อยู่ข้างล่างที่รถติดก็จะเหลือเพียง 5 กม./ลิตร หรือน้อยกว่านั้นอีก ถ้ารถติดหนึบจริงๆ
มาดูวิธีขับรถให้ประหยัดน้ำมันกันบ้าง ผมจะขอแยกประเภทของรถเป็น 2 จำพวก คือ รถเกียร์ธรรมดา กับ รถเกียร์อัตโนมัติ การขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดนั้น แทบไม่ต้องทำอะไรมาก เพียงแค่ขับอย่างนุ่มนวล อย่ากระแทกคันเร่งอย่างรุนแรง แบบนี้ก็สามารถประหยัดได้ประมาณหนึ่งอยู่แล้ว แม้จะเป็นรถเกียร์อัตโนมัติที่มีระบบเลือกเกียร์เองตามความเหมาะสม แต่เราที่เป็นผู้ขับก็ยังมีส่วนร่วมในการควบคุมอยู่ดีครับ ถ้าต้องการให้ได้อัตราเร่งที่ดีพอ ในระดับที่ไม่ทำให้รถคันหลังรำคาญ และยังสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อยู่ ให้เหยียบคันเร่งลงไปลึกประมาณครึ่งหนึ่งของระยะทั้งหมด พอความเร็วรอบของเครื่องยนต์มาถึงย่านปานกลาง เช่น 2,500-3,000 รตน. รีบถอนคันเร่งขึ้นมาพอสมควร แต่ไม่ถึงกับถอนจนสุดนะครับ ระบบควบคุมจะเปลี่ยนไปที่เกียร์สูงถัดไปทันที แล้วเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้นจนความเร็วรอบเครื่องยนต์ถึงย่านปานกลาง แล้วถอนคันเร่งแบบเดิม ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนถึงเกียร์สูงสุดครับ
เท่านี้ยังไม่พอ รถในยุคนี้ยังมีระบบลอคอัพคลัทช์ ซึ่งส่งกำลังของเครื่องยนต์ถึงเพลาขับโดยไม่ผ่านทอร์ค คอนเวอร์เตอร์ เพื่อประหยัดพลังงาน พอถึงเกียร์สูงสุดแล้ว ต้องเพิ่มความเร็วให้พอจนระบบนี้ทำงานด้วย สังเกตได้ง่ายจากการที่ความเร็วรอบของเครื่องยนต์ลดลงเล็กน้อยครับ
มีวิธีตรวจสอบอีกวิธี คือ ลองเหยียบคันเร่งให้ลึกลงไปอีกหน่อย จะเห็นว่าเข็มวัดความเร็วรอบจะไม่สะบัด หรือสวิงขึ้น เหมือนก่อนลอคอัพคลัทช์ทำงาน ถ้าต้องการแซง มีระยะเวลา กับระยะทางเพียงพอ ให้เหยียบคันเร่งลึกขึ้นพอประมาณ เพราะถ้าเหยียบลึกเกิน ระบบจะทำการลอคอัพคลัทช์โดยอัตโนมัติทันที แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเหยียบลึกหรือไม่ ให้ดูจากความปลอดภัยเป็นหลัก
ส่วนผู้ที่ใช้รถเกียร์ธรรมดา ให้ออกรถด้วยความเร็วรอบที่ต่ำที่สุด โดยที่เครื่องยนต์ไม่สั่นสะท้าน หรือดับ ถอนคลัทช์ให้สุดแล้วจึงเหยียบคันเร่งเพิ่ม เหยียบคันเร่งให้ลึกมากทันทีนะครับ คือ ประมาณ 60-80 % ของระยะทั้งหมด เราจะได้อัตราเร่งที่ดี โดยไม่ต้องใช้เวลามาก พอรอบเครื่องยนต์เข้าย่านปานกลาง รีบเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงถัดไปทันที จะเลือกจังหวะเปลี่ยนเกียร์ตอนไหนนั้น ให้ถือหลักใช้รอบเครื่องยนต์ให้ต่ำที่สุด โดยที่เมื่อเปลี่ยนไปเกียร์สูงถัดไป เครื่องยนต์จะเป็นตัวตัดสินครับ
รถเครื่องใหญ่จะใช้เกียร์สูงที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำมากได้โดยไม่สะท้าน ทำเช่นนี้ไปทุกเกียร์จนถึงเกียร์สูงสุดครับ ถ้าสภาพการจราจรเอื้ออำนวย
วิธีขับรถเกียร์ธรรมดาให้ประหยัดเชื้อเพลิงนั้น ให้เร่งอย่างแรง แต่อย่านาน รีบเปลี่ยนเป็นเกียร์สูงถัดไป ใช้เกียร์สูงที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเครื่องยนต์ไม่สะท้าน แล้วพยายามใช้เกียร์สุดท้าย (เกียร์ 5) ให้ได้มากที่สุด อย่าพยายามแช่อยู่ที่เกียร์ 3 หรือเกียร์ 4 ครับ
คราวนี้มาถึงกฎรวม ไม่ว่าจะเป็นเกียร์ธรรมดา หรือเกียร์อัตโนมัติก็ตาม พอถึงเกียร์สุดท้าย (ถ้าเป็นเกียร์อัตโนมัติ ลอคอัพคลัทช์ทำงานแล้วด้วย) ให้ใช้หลักยิ่งช้ายิ่งประหยัดเชื้อเพลิงครับ ถ้าไม่รีบหรือขวางทางผู้ขับตามหลัง ความเร็วประมาณ 60-70 กม./ชม. เหมาะที่สุดสำหรับพวกที่เน้นความประหยัดครับ มีวิธีประมาณอย่างง่ายว่า เพิ่มความเร็ว 10 % จะเปลืองเชื้อเพลิงขึ้น 20 % หรือลดความเร็วไป 10 % ก็จะลดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงลง 18-19 % เลยครับ
ขับช้าไว้ก่อน ได้ทั้งความประหยัดและความปลอดภัยอย่างแน่นอน
เรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2556
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/92479