ทดลองขับ(formula)
มาซดา 3
ค่าย ซูม ซูม เตรียมพร้อมปล่อย มาซดา 3 (MAZDA 3) เจเนอเรชัน 3 ที่มาพร้อมพละกำลัง เทคโนโลยี SKYACTIV ทั้งเครื่องยนต์ เกียร์ ช่วงล่าง และตัวถัง
ภายนอก ใหญ่กว่ารุ่นที่แล้ว
มาซดา 3 รุ่นล่าสุด พัฒนาขึ้นในแนวคิด “ENERGIZING SPORTS COMPACT” หรือ "รถยนต์สปอร์ทคอมแพคท์พลังเร้าใจ” เส้นสายที่พลิ้วไหวตามสไตล์ KODO DESIGN ของ มาซดา การออกแบบที่เน้นหนักในด้านความลู่ลม โดยมีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของอากาศอยู่ที่ 0.27 (CD-0.27) ตัวถังแบนและกว้างกว่าเดิม หลังคาโค้งมน โป่งล้อขนาดใหญ่ กระจกมองข้างยึดติดกับบานประตู เส้นสันลากไปจนจดกับแนวไฟท้าย
มิติตัวถังแฮทช์แบค มีความยาว 4,460 มม. กว้าง 1,795 มม. สูง 1,470 มม. ระยะฐานล้อ 2,700 มม. ส่วนซีดานจะยาว 4,580 มม. และสูง 1,455 มม. ระยะฐานล้อ 2,700 มม. ยาวกว่ารุ่นเดิม 60 มม.
ไฟหน้าแบบพโรเจคเตอร์ออกแบบรับกับแนวของกระจังทรง 5 เหลี่ยมและชิ้นงานสปอยเลอร์หน้า สำหรับไฟตัดหมอกอยู่บนชิ้นงานพลาสติคสีดำตัดกับสีของตัวถังอย่างชัดเจน
ภายใน สปอร์ทหรู จัดเต็ม
ห้องโดยสารเน้นผู้ขับเป็นหลัก เสาหลังคาคู่หน้าถอยหลังลงมา 100 มม. ซุ้มล้อหน้าขยับขึ้นไปข้างหน้าอีก 50 มม. เพื่อให้ตำแหน่งนั่งขับอยู่ตรงกลาง และใช้แป้นคันเร่งแบบยึดด้านล่าง (ORGAN TYPE) แทนแบบแขวน
แผงหน้าปัด อาจดูละม้ายคล้ายคลึงกับ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์ 3 โมเดล เอฟ 30 (F30) ใหม่จอแอลซีดี 7 นิ้ว บนคอนโซลหน้า วางอยู่ตรงกลาง เหนือช่องแอร์คู่กลาง หน้าตาคล้ายจอของ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอ-คลาสส์ ใหม่ แต่ใช้สวิทช์ควบคุมการทำงาน อยู่ด้านข้างลำตัวคล้ายกับ ไอดไรฟ (IDRIVE) ของ บีเอมดับเบิลยู
มาซดา ยังนำ ระบบแสดงข้อมูล บนกระจกหน้า (HEAD UP DISPLAY) ในชื่อ ACTIVE DRIVING DISPLAY ติดตั้งใน มาซดา 3 เป็นครั้งแรก หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ โดยไม่ต้องละสายตาจากพื้นถนน เมื่อติดเครื่องยนต์ แผ่นจอพลาสติคใสขนาดเล็กที่พับเก็บอยู่เหนือมาตรวัดความเร็ว จะยกตัวขึ้น เพื่อแสดงข้อมูลต่างๆ ทั้ง ความเร็วรถ สัญญาณไฟเลี้ยว หรือ ข้อมูลจากระบบนำทางผ่านดาวเทียม โดยสามารถปรับระดับการแสดงผลได้ และเมื่อดับเครื่องยนต์ หน้าจอจะพับเก็บลงไปเอง
ระบบสื่อสารความบันเทิง ที่เรียกว่า ระบบ MZD CONNECT ประกอบด้วยวิทยุ AM/FM พร้อมเครื่องเล่นซีดี ช่องเสียบ USB และ AUX ในกล่องเก็บของด้านข้างลำตัว สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ ผ่าน BLUETOOTH สามารถ UPDATE ระบบ APPS และ พโรแกรมได้อย่างง่ายดาย
เครื่องยนต์ แรงกว่า ประหยัดกว่า
ในช่วงแรกนั้น มาซดา 3 จะมีแต่เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เพียงแบบเดียวก่อน ซึ่งประหยัดน้ำมันกว่า เครื่องยนต์ 1.6 ลิตร รุ่นเดิม
เครื่องยนต์ใหม่ SKYACTIV-G รหัส PE-VPR แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร จ่ายเชื้อเพลิงแบบฉีดตรงเข้าห้องเผาไหม้ พร้อมระบบวาล์วแปรผันที่หัวแคมชาฟท์ทั้งฝั่งไอดีและไอเสีย (DUAL S-VT) ติดตั้งระบบ I-STOP หรือ AUTO START/STOP เพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง และลดมลพิษ
ซึ่งรถที่ มาสด้า ฯ นำมาให้ลองขับทั้ง 6 คัน เป็นเวอร์ชันญี่ปุ่น ที่มีอัตราส่วนกำลังอัด 13.0:1 กำลังสูงสุด 155 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. (เวอร์ชันไทย อัตราส่วนกำลังอัด 14.0:1 และมีการปรับทูนให้เติมน้ำมันแกสโซฮอล อี 85 ได้จากโรงงาน ตัวเลขกำลังสูงสุดเพิ่มเป็น 165 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 21.4 กก.-ม.) เป็นรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม LOCK-UP TORQUE CONVERTER SKYACTIV-DRIVE
อัตราเร่งกระฉับกระเฉงขึ้นกว่ารุ่นเดิมชัดเจน แรงดึงมีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอาการสะดุดจากการเปลี่ยนเกียร์
ระบบรองรับ ขับสบาย เกาะถนน
ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นแบบมัลทิลิงค์พร้อมคอยล์สปริงทั้งหน้าและหลัง ถูกปรับเซทใหม่ ย้ายตำแหน่งจุดยึด ของแขนทเรลิงอาร์มด้านหลังใหม่ ทำให้มีบุคลิกแบบ แน่น หนึบ แต่เบา และไม่แข็งกระด้างอย่างไร้เหตุผล การควบคุมอาการโยนตัวขณะเข้าโค้ง ถือว่าทำได้ดี และมั่นใจได้มากกว่าที่คิดไว้ แถมยังขับสนุก คล่องแคล่ว
พวงมาลัยเป็นแบบเพาเวอร์ไฟฟ้าช่วยผ่อนแรง ในชื่อ MAZDA MECHATRONIC COLUMN-TYPE ELECTRIC POWER ASSIST STEERING SYSTEM ที่มีกลไกขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา ด้วยอัตราทด 14.1:1 รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.1 เมตร หมุนง่ายมากกว่า มาซดา 6 และ ซีเอกซ์-5 ในย่านความเร็วต่ำ และนิ่งเมื่อใช้ความเร็วสูง
มีระบบควบคุมเสถียรภาพ DSC (DYNAMIC STABILITY CONTROL) ทำงานร่วมกับจานเบรคทั้ง 4 ล้อ พร้อมระบบป้องกันล้อลอค ABS (ANTI-LOCK BRAKING SYSTEM) และระบบกระจายแรงเบรค EBD (ELECTRONIC BRAKE FORCE DISTRIBUTION) ช่วยทำงานเอาไว้อยู่ ระบบเบรคตอบสนองดีมาก หน่วงความเร็วได้ฉับไว แต่นุ่มนวล
สรุป หล่อ แรง ขับสบาย
ถึงแม้ครั้งนี้เรามีโอกาสได้ขับ มาซดา 3 สปอร์ท (5 ประตู) ใหม่ เพียง 3 รอบสนาม ระยะทาง 8.4 กม. ก็เพียงพอที่จะทำให้รู้สึกได้ว่า รถรุ่นใหม่ ( 5 ประตู) ไม่เพียงจะมีหน้าตาหล่อ ดูสปอร์ทกว่าเดิม ยังให้การตอบสนองที่ดีขึ้นกว่ารุ่นปัจจุบันในทุกๆ ด้าน ส่วนจะคุ้มค่าน่าใช้มากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องรอเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนนี้