ทดลองขับ(formula)
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV
MITSUBISHI OUTLANDER PHEV (มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี) เป็นรถยนต์ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี อเนกประสงค์ 5 ที่นั่ง แบบพลัก-อิน ไฮบริด ขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่สามารถใช้งานทั้งในชีวิตประจำวัน หรือเดินทางท่องเที่ยวแคมพิงในวันหยุด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรมทดลองขับแบบวันเดย์ทริพ รอบกรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 200 กม. ทำให้ได้เห็นความน่าสนใจหลายอย่าง ที่หาไม่ได้จากรถรุ่นอื่น
ภายนอก คงเอกลักษณ์ ไดนามิค ชีลด์
หน้าตาปรับโฉมจากปี 2018 และเพิ่มตัวอักษร OUTLANDER ที่ขอบฝากระโปรงหน้า ไฟหน้า LED เฉียบคมขึ้น มาพร้อมไฟหรี่ LED กระจังหน้าตามสไตล์แบบไดนามิค ชีลด์ เสริมด้วยการ์ดกันชนหน้า สีดำเงาตัดด้วยเส้นสายขอบคิ้วโครเมียม
ไฟท้าย LED ขนาดใหญ่ เสริมหล่อด้วยสปอยเลอร์หลัง พร้อมไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED และเสาอากาศแบบครีบฉลาม
ภายใน กว้างขวาง เรียบง่าย เบาะนุ่ม
ภายในใช้โทนสีดำตัดกับลายเคฟลาร์ และคิ้วโครเมียม พวงมาลัยแบบ 4 ก้าน มีฟังค์ชันการใช้งานครบครัน พร้อม PADDLE SHIFT ด้านหลังพวงมาลัย เอาไว้ปรับความหน่วงมอเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมีปุ่มเลือกโหมด SAVE CHARGE, โหมด EV ปุ่มเกียร์ P แยกออกมา
ส่วนระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ มีให้เลือกใช้งานที่ปุ่ม TWIN MOTOR 4WD โหมดสปอร์ทมีให้เลือกแยกออกมา ถัดออกมาเป็นเบรคมือไฟฟ้า และ AUTO HOLD พร้อมกล่องเท้าแขน, ที่ห้องโดยสารตอนหน้าให้ตัวปรับเลื่อนสายเบลท์ที่ตำแหน่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารมาให้ครบครัน
หน้าจอขนาด 8 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อแบบไร้สาย BLUETOOTH, รองรับระบบ APPLE CAR PLAY ด้านล่างมีช่องเสียบไฟ 12 โวลท์ ปุ่มเปิด/ปิดประตูท้ายรถ, ช่องเก็บกุญแจ, ช่องต่ออุปกรณ์ USB 1 จุด, ปุ่มควบคุมการทำงาน BLIND SPOT, ปุ่มควบคุมการจ่ายไฟ AC 1,500 วัตต์ และปุ่ม ECO MODE
ห้องโดยสารตอนหลัง กว้างขวาง มีช่องลมแอร์หลังที่พักเท้าแขน มาพร้อมกับช่องต่ออุปกรณ์ USB 1 จุด, ช่องจ่ายไฟ AC 1,500 วัตต์ แบบปลั๊ก 3 ขา เบาะนั่งแถว 2 นั่งสบายปรับเอนได้ มาพร้อมที่เท้าแขนบริเวณตำแหน่งกลางเบาะ และตัวเบาะสามารถปรับพับได้แบนราบ เพิ่มพื้นที่เก็บของขนาดใหญ่
เครื่องยนต์ ไฟฟ้าเป็นหลัก จัดหนักระบบไฮบริด
เครื่องยนต์เบนซิน รหัส 4B12 ขนาด 2.4 ลิตร 128 แรงม้า ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ตัวแรกทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หน้าขนาด 82 แรงม้า และตัวที่ 2 ขนาด 95 แรงม้า ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง ให้กำลังสูงสุดรวม 305 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-WAC (SUPER–ALL WHEEL CONTROL) และมีแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ความจุ 13.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เป็นแหล่งเก็บพลังงาน สามารถขับเคลื่อนรถในโหมดไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 55 กม. ด้วยความเร็วสูงสุดถึง 135 กม./ชม.
อัตราสิ้นเปลืองยังไม่ได้ทดสอบอย่างชัดเจน แต่ทางโรงงานเคลมไว้ว่า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 52.6 กม./ลิตร หรือ 1.9 ลิตร/100 กม. ตามมาตรฐาน NEDC มีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับต่ำที่ 43 กรัม/กม. พร้อมอัตราเร่ง และแรงบิดที่ดี
ระบบรองรับ นุ่มหนึบ ควบคุมง่าย
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ S-AWC ผสมผสานการทำงานของระบบเบรคป้องกันล้อลอค (ABS) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) ระบบควบคุมการขับเคลื่อน และการเบรคระหว่างล้อซ้าย และล้อขวา (AYC) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งที่เพลาหน้า/หลัง ควบคุมแบบอิสระทั้ง 4 ล้อ และยังทำงานร่วมกับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อ
ครบครันด้วยเทคโนโลยีระบบความปลอดภัย อาทิ ระบบสัญญาณเตือนด้านหลังขณะถอยออกจากช่องจอด (RCTA) ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM) ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (LCA) และระบบควบคุมไฟสูงอัตโนมัติ (AHB) โดยระบบลอคความเร็วแบบแปรผันอัตโนมัติ (ACC) ไม่ได้ทำหน้าที่แต่เฉพาะรักษาระดับความเร็วให้คงที่เท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่ตรวจจับรถคันหน้า พร้อมควบคุมความเร็ว และรักษาระยะห่าง
ในการทดลองขับครั้งนี้เป็นแบบวันเดย์ทริพ รอบกรุงเทพฯ ระยะทางกว่า 200 กม. แบ่งเป็น 5 ช่วง
ช่วงที่ 1 “ทดสอบกำลังไฟ 1,500 วัตต์” โดยให้รับประทานอาหารเช้าจากเตาปิ้งย่างไฟฟ้า ซึ่งใช้ไฟกระแสสลับ (AC) 220 โวลท์ 1,500 วัตต์ จากรถ MITSUBISHI OUTLANDER PHEV ซึ่งใช้งานได้จริง
ช่วงที่ 2 “ทดสอบโหมด EV” ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100 % ระยะทาง 53 กม. ซึ่งถ้าขับแบบปกติ สามารถใช้งานได้ถึง 55 กม. จริง ในความเร็วสูงสุดไม่เกิน 135 กม./ชม.
ช่วงที่ 3 “ลองระบบไฮบริด ขณะแบทเตอรีใกล้หมด” ระยะทาง 68 กม. โดยโหมด SERIES HYBIRD เน้นขับเคลื่อนรถด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้า และโหมด PARALLEL HYBIRD เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถไปพร้อมกัน โดยส่วนมากจะเกิดขึ้นในระยะสั้นๆ ช่วงที่ต้องการกำลังสูงสุด และทั้ง 2 โหมด เมื่อเราเบรค หรือถอนคันเร่ง ระบบรีเจเนอเรทีฟ จะทำงานผลิตกระแสไฟฟ้าจ่ายคืนเข้าแบทเตอรีอีกทางหนึ่งด้วย
ช่วงที่ 4 “ทดลองโหมด “ชาร์จ” ระยะทาง 74 กม. ระบบนี้จะเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว มาเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนที่ล้อคู่หน้าแทน โดยสั่งการให้เจเนอเรเตอร์จากเครื่องยนต์ ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อชาร์จไฟกลับเข้าแบทเตอรีไปพร้อมกัน จนกว่าแบทเตอรีจะ “เกือบเต็ม” ประมาณ 80-90 % ในขณะขับขี่
ช่วงที่ 5 “ทดสอบระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ (S-AWC) ในทางฝุ่น” เราทดสอบด้วยโหมดการขับ 3 โหมด ได้แก่ โหมด NORMAL (ระบบกระจายแรงบิดแต่ละล้อตามสภาพถนน), โหมด SPORT (เน้นอัตราเร่ง และการแปรผันที่ให้กำลังสูงสุด) และโหมด ROCK (เน้นอัตราทดที่ล้อหน้า และล้อหลังแบบ 50:50) ระบบทำงานผสานกับระบบช่วยเหลือต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามทำให้รถเสียอาการแค่ไหนก็ตาม ทำให้รถกลับมาอยู่ในสภาวะที่ควบคุม
ครอสส์โอเวอร์อเนกประสงค์ ถูกใจสายแคมพิง
เป็นรถที่น่าสนใจเกินความคาดหมาย เครื่องยนต์ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างราบรื่น ให้อัตราเร่งที่รวดเร็ว สามารถปรับโหมดการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าได้หลากหลาย นำไฟจากรถไปใช้ภายนอกได้ถึง 1,500 วัตต์ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ไว้ใจได้ ห้องโดยสารเงียบ ช่วงล่างนุ่มนวล กับราคาตัวทอพที่ 1,749,000 บาท หากดูจากสิ่งที่ให้มาแล้ว ถือว่าคุ้มค่าไม่น้อย