ข่าวรอบโลก
ชีวิตคนดัง Carlos Ghosn
ทิ้งทุ่นระเบิดเอาไว้หลังเดินทางมาเยี่ยมเยียนบริษัทในเครือ ในประเทศไทย ทั้ง Nissan และ Mitsubishi นั่นคือ แชร์แมนคนดัง Carlos Ghosn ผู้บริหาร Nissan, Renault แถมด้วย Mitsubishi Motors ถึงการบริหารงานของ Nissan และ Mitsubishi ในเมืองไทย ลองมาดูชีวประวัติของคนดัง ที่หนังสือพิมพ์ธุรกิจในญี่ปุ่น Nikkei เขียนเป็นบทความเอาไว้การบริหารกิจการของ Nissan, Renault และ Mitsubishi Motors ที่ Nissan เข้ามาซื้อหุ้นเอาไว้เมื่อปีก่อน นับเป็นกลุ่มธุรกิจยานยนต์ที่ค่อนข้างใหญ่ ที่ใกล้จะได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุด เพราะคาดหมายกันว่ากลุ่มธุรกิจนี้ จะสามารถจำหน่ายรถยนต์ได้ปีละ 10 ล้านคัน ทั่วโลก ในเวลาไม่ช้าไม่นาน และ Carlos Ghosn ก็เป็นผู้บริหารเพียงคนเดียว โดยไม่มีคู่แข่ง บรรดาค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ อย่าง Daimler ที่บริหารโดย Dieter Zetsche, Ford บริหารโดย Mark Fields, GM โดย Mary Barra, Fiat Chrysler โดย Sergio Marchionne และ Volkswagen AG โดย Matthias Mueller ต้องยอมรับว่า Carlos Ghosn เป็นผู้บริหารที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ในธุรกิจยานยนต์บนโลกใบนี้ แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเอง ยังมีหนังสือการ์ตูนที่ออกเป็นประจำ เขียนเรื่องเกี่ยวกับ Carlos Ghosn ถึงการทำงานของเขาโดยเฉพาะ ชีวิตส่วนตัวของ Carlos Ghosn ที่เผยแพร่โดย Nissan รวมทั้งเป็นเอกสารเพื่อการเผยแพร่ แม้ว่าจะไม่มีอะไรโลดโผน แต่ก็มีเรื่องน่าสนใจอยู่ว่าชีวิตประจำวันของเขาทำอะไรบ้าง "ที่ไหนสักแห่งเหนือมหาสมุทรแอทแลนติค ผมกำลังเดินทางที่ระดับความสูง 14,000 เมตร" Carlos Ghosn เขียนเอาไว้ "แม้ว่าผมกำลังจะบินไปบราซิล แต่ผมก็คิดถึงการบริหารงานที่ญี่ปุ่น ขณะที่มันเป็นกิจวัตรของผมที่จะใช้ช่วงเวลาในวันหยุดปีใหม่ อยู่กับครอบครัวในบราซิล แต่อีกทางหนึ่งผมก็คิดว่า ผมน่าจะได้อยู่ในญี่ปุ่นเช่นกัน เพราะเป็นการเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่ประจำปี" "ในฐานะซีอีโอทั้ง Nissan และ Renault และประธานของกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ Renault-Nissan ผมแบ่งเวลาในแต่ละเดือนระหว่าง ญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส และตลาดอื่นๆ ที่บริษัทดำเนินกิจการอยู่ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา, บราซิล, จีน และตะวันออกกลาง" แล้ว ซีอีโอ มีหน้าที่ทำอะไรในแต่ละวัน "ผู้คนมักถามผมเสมอว่า ในแต่ละวันผมทำอะไรบ้าง มันยากที่จะตอบคำถามเช่นนั้น เพราะในแต่ละวันไม่มีทางที่จะเหมือนกันเลย มันขึ้นอยู่กับภูมิภาคที่ผมไปทำงาน และความจำเป็นในการที่ต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆ" "ไม่ว่าผมจะอยู่ในภูมิภาคไหนในโลกนี้ ผมก็เป็นคนตื่นเช้า ในปารีส ผมมักเดินทางถึงสำนักงานราว 07.30 น. ถ้าเป็นญี่ปุ่น ก็จะเกือบราว 08.00 น. เพราะต้องเผื่อเวลาเดินทางระหว่างบ้านในกรุงโตเกียว กับสำนักงาน Nissan ในโยโกฮามา" "และเมื่อผมไปถึง ผมมักจะทำงานเงียบๆ ด้วยตัวเองไปแล้วหลายชั่วโมง เพราะค้นพบว่า นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดในการทำงาน" "กำหนดการในแต่ละวันของผมมักยุ่งเหยิง เราเริ่มต้นการประชุมในตอน 08.00 น. และไม่หยุดเลยจนกว่าจะหมดวัน บางทีก็ 20.00 น. หรือดึกกว่านั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผมจะบินออกจากโตเกียว ในคืนวันศุกร์ เพื่อเข้าประชุมอีกประเทศหนึ่งในช่วงสุดสัปดาห์ แล้วบินไปทำงานที่ปารีส อีกทั้งอาทิตย์ มันช่วยได้มากที่ผมสามารถนอนหลับได้บนเครื่องบิน" "ชีวิตแบบนี้บางทีก็ยึดโยงเอาตัวของคุณไปตลอด ทั้งทางกายภาพ และทางสังคม มันไม่เกี่ยวกับราคาค่าตัว แต่คุณก็ต้องบริหารเวลาให้คุ้มค่า นั่นคือ ความต้องการของผู้บริหารในยุคโลกาภิวัตน์นี้" "การค้าระดับโลกปัจจุบัน มันเปลี่ยนแปลงการทำงานของธุรกิจที่เคยเป็นมา เพื่อให้ดำรงอยู่ได้ในการแข่งขันที่หลากหลาย เรามองเห็นแนวโน้มทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงธุรกิจระดับโลก ทั้งในเรื่องของเชื้อชาติ และความสืบทอดทางมนุษยชาติ สองสิ่งนี้กำลังจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน หากจะเข้าใจที่ผมพูด ต้องดูการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ ว่าสหราชอาณาจักร ลงมติให้แยกตัวออกจากสหภาพยุโรป ขณะเดียวกันก็ยังต้องการทำงานร่วมกัน และค้าขายกับประเทศอื่นๆ ในโลกนี้เช่นเดิม" ภูมิหลังของ Carlos Ghosn "ชื่อเต็มของผม Carlos Ghosn Bichara คุณปู่ของผมชื่อ Bichara Ghosn เขาเกิดในภูเขาเลบานอน มีทั้งผู้นับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม ในดงต้นสนที่เก่าแก่นับเป็นศตวรรษของกรุงเลบานอน" "ความแตกแยกทางศาสนา เช่นเดียวกับความยากจน ทำให้ชีวิตในเลบานอนยากลำบากมากในช่วงต้นศตวรรณที่ 20 และเพื่อหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ คุณปู่ผม ในวัยเพียง 13 ปี ก็หนีลงเรือด้วยกระเป๋าเพียงใบเดียว ใช้เวลาถึง 3 เดือน ที่จะเดินทางจากกรุงเลบานอน เมืองหลวงของเบรุต ไปถึงริโอ เดอ จาเนโร ในประเทศบราซิล "หลังจากหางานทำในริโอ ช่วงเวลาสั้นๆ เขาย้ายไปอยู่แถบแม่น้ำอะเมซอน เพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า จนกระทั่งมาลงหลักปักฐานที่ Sao Miguel do Guapore ซึ่งต่อมากลายเป็นส่วนหนึ่งของบราซิล ขณะนั้นยังเป็นพื้นที่ด้อยพัฒนาภายในการปกครองของ Rondonia" ชุมชนแถบนั้น ปลูกผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งยางพารา ต่อมาพื้นที่บริเวณนั้นก็กลายเป็นแหล่งผลิตยางพาราที่ใหญ่ที่สุด มีการเคลื่อนไหวของผู้คนและการป้อนผลผลิตให้กับโรงงานอุตสาหกรรมมากมาย "ช่วงนี้ก็กลายเป็นทุนนิยม และคุณปู่ผมก็ก่อตั้งบริษัทหลายแห่ง" เขาเขียนเล่า "บริษัทแห่งหนึ่งเป็นผู้จัดหาความช่วยเหลือ เพื่อให้สายการบินสามารถขยายเส้นทางการบินไปยังอะเมซอนได้ คุณพ่อผมกับน้องชายก็ได้รับมรดกตกทอดมาหลังจากคุณปู่เสียชีวิตลง" มันเป็นเรื่องปกติของชาวเลบานอน ที่จะเดินทางผ่านด่านศุลกากร กลับบ้านเพื่อไปแต่งงาน แล้วก็กลับมาอะเมซอน จากการแนะนำของเพื่อน คุณปู่ผมก็ได้ภรรยาที่กรุงเบรุต หลังจากแต่งงานได้สองสามปี ก็ให้กำเนิดคุณพ่อของผม Jorge Ghosn ในบราซิล "เมื่อย่างเข้าช่วงวัยรุ่น คุณพ่อผมก็เดินทางไปยังเลบานอน และก็ได้แต่งงานกับคุณแม่ของผม เธอชื่อ Rose แต่เธอใช้ชื่อจริงว่า Zetta แม่ผมเกิดที่ไนจีเรีย และมาเรียนหนังสือที่เลบานอน" เขาเขียนเล่า "คุณแม่ของผมมีความสำคัญอย่างมากต่อชีวิตของผม และไม่เหมือนกับแม่คนอื่นๆ แม่ผมไม่เข้มงวด ยิ่งไปกว่านั้น เธอมีแต่ความรัก และพร้อมจะตอบสนองในทุกสิ่ง เธอมีศรัทธาในชนชาติฝรั่งเศส "แม่ผมพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างแตกฉาน แถมทำตัวเป็นคนฝรั่งเศสเสียยิ่งกว่าคนที่เกิดที่นั่นเสียอีก ซึ่งทำให้ผมตัดสินใจได้ไม่ยากเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจด้านการศึกษา และครอบครัวของผมก็ย้ายมาอาศัยอยู่ในปารีสหลายปี" "ปัจจุบัน คุณแม่ผมอายุ 86 ปี และย้ายมาอยู่ในบราซิล เช่นเดียวกับครอบครัวส่วนใหญ่ของผม น้องสาวผม 2 คน อาศัยอยู่ใกล้ๆ บ้านแม่ ในริโอ เดอ จาเนโร และนับแต่คุณพ่อผมเสียชีวิต ผมก็เลือกที่จะกลับบ้านปีละสองสามหน" "จากสิ่งที่คุณแม่เล่าให้ฟัง ผมเป็นคนบ้าพลังตั้งแต่ยังเด็ก แต่เมื่ออายุได้ 2 ขวบ ก็มีเรื่องไม่สู้ดีเกิดขึ้น" เขาเขียนเล่า "บ้านของเราอยู่ในแถบชานเมืองของลุ่มน้ำอะเมซอน ซึ่งเต็มไปด้วยยุง มันเป็นเรื่องปกติของเด็กทุกคน ที่จะต้องดื่มน้ำที่ต้มสุกแล้ว เพื่อป้องกันเชื้อโรค แต่อยู่มาวันหนึ่ง ผมบังเอิญดื่มน้ำที่ยังไม่ได้ต้มสุกเข้าไป" "ผลคือ ผมเป็นไข้สูง ต่อมาพี่น้องก็เล่าให้ฟังว่า ผมก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความเป็นความตายแล้ว คุณหมอบอกกับครอบครัวผมว่า หากต้องการให้ผมรอดชีวิต ผมจำเป็นต้องอยู่ในสถานที่อากาศบริสุทธิ์ และสามารถดื่มน้ำได้อย่างปลอดภัย" "เพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของหมอ เราย้ายมาอยู่ที่ริโอ เดอ จาเนโร แต่สุขภาพของผมก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก และเนื่องจากการฟื้นไข้ที่ล่าช้า คุณแม่ผมก็โน้มน้าวให้คุณพ่อผม ย้ายสถานที่เพื่อการรักษาให้ไปอยู่ในสถานที่ที่อากาศบริสุทธิ์กว่านี้" "คุณพ่อผมเห็นด้วย หลังจากถกเถียงกันเป็นเวลานาน คุณแม่ผม พี่สาว และผม ก็ย้ายมาอยู่ที่เลบานอน ขณะที่คุณพ่อยังอยู่ที่ บราซิล แต่กระนั้นความผูกพันกับบราซิลของผมก็ยังไม่หมดสิ้นไป เราเดินทางไปเยี่ยมคุณพ่อที่ริโอ อยู่บ่อยๆ" "ในกรุงเลบานอนสมัยที่ผมยังเด็ก แตกต่างอย่างมากจากเมื่อครั้งที่คุณปู่เดินทางออกไปเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณทางด้านเพศ และความเท่าเทียมกันทางด้านวัฒนธรรม ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา อาศัยรวมกลุ่มกันอย่างสงบ และมักได้ยินคำกล่าวว่า ที่แห่งนี้คือ "สวิทเซอร์แลนด์ แห่งตะวันออกกลาง" จนกระทั่งสงครามกลางเมืองปะทุขึ้นเมื่อปี 2518" ชีวิตในวัยเด็ก "ผมเป็นนักเรียนที่ดี แต่ผมก็มีความกระด้างกระเดื่อง ซึ่งทำให้คุณแม่ผมผิดหวังเป็นอย่างมาก ผมได้ชื่อว่าเป็น "เด็กมีปัญหา" ประจำโรงเรียน ผมชอบประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และด้านภาษา ผมยินดีที่จะศึกษาอยู่ที่บ้าน แต่ที่โรงเรียนผมมักเตร็ดเตร่กับเพื่อนฝูง ไปโน่นมานี่ และสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นเนืองๆ" เขาเล่า "ผมรู้สึกว่าภายในผมมีพลังอย่างล้นเหลือ และหาหนทางที่จะกระจายออกไปจากร่างผม เมื่อหันหลังกลับไปดุในตอนนั้น ผมรู้ว่าผมได้ทำในสิ่งที่ไม่ฉลาดเท่าใดนัก แต่ผมก็ไม่จำเป็นต้องมาเสียใจกับมัน แน่นอนว่า มันคือชีวิตในวัยเด็ก "ผมมีแบบอย่างที่ดีให้ลอกเลียน คนที่เกี่ยวพันกับผมอย่างมากในช่วงนี้ คือ อาจารย์สอนภาษาฝรั่งเศส ชื่อ Father Lagrovole เขาสอนไวยากรณ์ฝรั่งเศส เขาตะโกนและพร่ำบ่นกับโปสเตอร์งานที่นักเรียนทำส่ง แต่ไม่ได้เรื่อง แต่เขาก็เป็นนักอ่านคำกลอนที่ยอดเยี่ยม "สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากเขา ก็คือ ความสำคัญที่จะแสดงความเห็นอย่างถูกต้อง ตรงไปตรงมา Father Lagrovole มักพูดเสมอว่า "ถ้าคุณทำให้ทุกอย่างมันสับสน เท่ากับว่าคุณไม่เข้าใจอะไรเลย"
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
คอลัมน์ Online : ข่าวรอบโลก (บก. ออนไลน์)