ทดลองขับ
Ford Everest 2.0 เล็กดี...รถโต
ล่าสุด ฟอร์ด ประเทศไทย จัดทริพพิเศษเชิญคณะสื่อมวลชนร่วมเปิดประสบการณ์การขับขี่กับ Ford Everest ใหม่ 2.0 ลิตร ทั้งบนทางเรียบและทางลุย ระหว่างวันที่ 10-11 ตุลาคม 2561 ณ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์
Ford Everest ใหม่ ยังคงความโดดเด่นของเจเนอเรชันที่ 2 ในฐานะเอสยูวีขนาดกลาง 7 ที่นั่ง ที่ครบเครื่องด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย ห้องโดยสารที่หรูหราและสะดวกสบาย แต่เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบตัวใหม่ ขนาดความจุ 2.0 ลิตร เล็กลง แต่แรงกว่าเดิม เริ่มจาก เทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า และ เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ทั้งคู่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ
Ford Everest ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น แบ่งเป็น 2.0 ลิตร เทอร์โบเดี่ยว 180 แรงม้า ขับเคลื่อน 2 ล้อ (หลัง) 3 รุ่น ประกอบด้วย รุ่นใหม่ Trand ซึ่งเป็นตัวเริ่มต้น รุ่นกลาง Titanium และรุ่นทอพ Titanium+ ปิดท้ายด้วย รุ่นทอพ Titanium+ 4x4 ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า
ภายนอกปรับโฉมแบบยกหน้า กระจังหน้าเปลี่ยนรูปทรงเล็กน้อย ด้านหน้ายังคงเด่น ด้วยไฟวิ่งกลางวันแบบ LED และไฟหน้าแบบ HID Projector ที่สามารถปรับระดับสูง/ต่ำ อัตโนมัติ (ยกเว้นรุ่น Trand) และระบบเปิด/ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High Beam Control และมีกล้องคอยตรวจจับแสงไฟด้านหน้ารถ โดยในระหว่างการขับขี่หากทางข้างหน้ามืดสนิท ระบบจะเปิดไฟสูงให้อัตโนมัติและเมื่อตรวจจับเจอแสงไฟของรถคันข้างหน้าส่องมา ระบบจะปิดไฟสูงให้เองทันที หมดกังวลเรื่องไฟสูงที่จะส่องรถที่สวนมา ในรุ่น Titanium+
ไฟท้ายเป็นแบบ LED ขนาดใหญ่เชื่อมต่อด้วยแถบโครเมียม (ยกเว้นรุ่น Trand) ในรุ่น Titanium+ หรูด้วยหลังคามูนรูฟขนาดใหญ่ (Panoramic Moonroof) และล้อแมกขนาดใหญ่ 20 นิ้ว ยาง 265/50 R20 ส่วนรุ่นรองลงมาอย่าง Titanium เป็นล้อ 18 นิ้ว ยาง 265/60 R18 และรุ่น Trand เป็นล้อ 17 นิ้ว ยาง 265/65 R17
Ford Everest ใหม่ ยังคงมีความสูงใต้ท้องจากพื้นถึงตัวรถ 225 มม. สูงที่สุดในรถระดับเดียวกัน และลุยน้ำได้ลึก 800 มม. กับมุมไต่ 29 องศา และมุมจาก 25 องศา มุมคร่อม 21 องศา ราวหลังคาและบันไดข้าง กระจกมองข้างปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่น
ภายในห้องโดยสารหรูหราด้วยเบาะหนังสีดำ เบาะนั่งแบบ 7 ที่นั่ง พวงมาลัยเพาเวอร์แบบช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPAS) พร้อมระบบมัลทิฟังค์ชัน ติดตั้งถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ เบาะนั่งแถวที่ 2 แยก 60:40 และแถวที่ 3 แยก 50:50 พับเก็บให้แบนราบได้ทั้ง 2 แถว บรรทุกสัมภาระได้ถึง 2,010 ลิตร มีช่องเก็บของมากกว่า 30 ช่อง ช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับเบาะหน้าและหลัง และตัวยึดเบาะนั่งพิเศษสำหรับเด็กเล็กบริเวณเบาะนั่งแถว 2 และ 3
ประตูท้ายรถเปิด/ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แบบแฮนด์ฟรี เพียงยื่นเท้าไปที่ใต้กันชนท้าย ประตูท้ายจะเปิดโดยอัตโนมัติ (ยกเว้นรุ่น Trand) ส่วนรุ่น Titanium+ เบาะคู่หน้าปรับทิศทางด้วยไฟฟ้า และเบาะแถวที่ 3 พับเก็บด้วยไฟฟ้า เพิ่มความสะดวกสบายขึ้นอีกระดับ
ระบบสั่งงานด้วยเสียงรุ่นล่าสุด ซิงค์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto มาพร้อมระบบจดจำเสียง และระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทย จอสีทัชสกรีนขนาด 8 นิ้ว และเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ (Bluetooth) ได้ นอกจากนี้ยังมีช่องต่อ USB 2 จุด และช่องเสียบ SD Card รวมถึงช่องเสียบ AUX 3.5 มม. และลำโพงถึง 9 ตัว กับซับวูเฟอร์อีก 1 ตัว
ระบบปรับอากาศแบบแยกส่วน ด้านหน้าแยกอิสระซ้าย/ขวา และระบบปรับอากาศด้านหลัง สำหรับเบาะนั่งแถวที่ 2 และแถวที่ 3 พร้อมช่องแอร์เหนือศีรษะ และช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้า 4 จุด (DC 12V) พร้อมปลั๊กไฟบ้าน (AC 230V)
กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทรถอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถสตาร์ทรถได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และขึ้น/ลงรถได้สะดวกสบายกว่าเดิม
เครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.0 ลิตร 180 แรงม้า ที่ 3,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 42.8 กก.-ม. (420 นิวตัน-ม.) ที่ 1,750-2,500 รตน. และ เทอร์โบคู่ หรือไบ-เทอร์โบ 213 แรงม้า ที่ 3,750 รตน. แรงบิดสูงสุด 51.0 กก.-ม. (500 นิวตัน-ม.) ที่ 1,750-2,000 รตน. ในรุ่น Titanium+ 4x4 ทั้ง 2 เครื่องยนต์ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ บวก/ลบ
แทนเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว ขนาด 2.2 ลิตร 160 แรงม้า ที่ 3,200 รตน. แรงบิดสูงสุด 39.3 กก.-ม. ที่ 1,600-2,600 รตน. และ 5 สูบ 20 วาล์ว ขนาด 3.2 ลิตร 200 แรงม้า ที่ 3,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 47.9 กก.-ม. ที่ 1,750-2,500 รตน. กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะรุ่นเดิม
ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ (Terrain Management System i4WD) เลือกปรับรูปแบบการขับขี่ได้ 4 รูปแบบ คือ Normal สำหรับพื้นถนนทั่วไป Sand สำหรับพื้นทราย Snow Or Mud สำหรับพื้นหิมะ หรือโคลน หรือทุ่งหญ้า และ Rock Crawl สำหรับพื้นหินขรุขระ พร้อมโหมด 4l และระบบลอคเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (Electronic Locking Rear Differential) นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน (Hill Descent Control)
ช่วงล่างหลังแบบคอยล์สปริง และระบบวัตต์ลิงค์ (Watt's Link) ที่ช่วยทำให้หน้ายางตั้งฉากกับพื้นถนนเมื่อรถมีการเข้าโค้ง ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ESP) ให้รถเกาะถนนและทรงตัวดี พร้อมระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HLA) และยังมีระบบควบคุมการจ่ายแรงบิดผ่าน Active Transfer Case จ่ายแรงบิดไปยังล้อหน้าและหลังโดยอัตโนมัติ ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ติดตั้งระบบป้องกันการพลิกคว่ำ
ปลอดภัยด้วยระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) นอกจากจะควบคุมความเร็วตามที่กำหนด ยังรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าโดยอัตโนมัติ โดยอาศัยกล้องเรดาร์ด้านหน้าคอยตรวจจับรถคันหน้า ซึ่งระบบจะประมวลผลและควบคุมระบบเบรคและคันเร่ง เพื่อช่วยเบรคและเร่งความเร็วให้ตามระยะห่างจากรถคันหน้า โดยที่ผู้ขับไม่ต้องคอยเหยียบเบรคและคันเร่ง และปิด/เปิดระบบควบคุมความเร็วใหม่
นอกจากนี้ ยังมีระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) กล้องเรดาร์หน้ารถจะคอยตรวจจับระยะห่างระหว่างรถคันหน้า หากระบบพบความเสี่ยงที่จะเกิดการชน ไฟจะเตือนขึ้นบนกระจกหน้ารถ และถ้ารถเข้าไปในระยะกระชั้นชิดกว่านั้น ไฟจะกะพริบพร้อมเสียงเตือน และระบบจะเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรคให้พร้อมเพื่อให้รถหยุดได้เร็วขึ้นเมื่อแตะเบรค
และระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ในกรณีที่รถเบี่ยงออกจากเลนโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้เปิดไฟเลี้ยว ระบบจะช่วยหักพวงมาลัยเล็กน้อย เพื่อช่วยให้รถกลับเข้ามาในเลน ถ้าหากทิศทางของรถยังคงเบี่ยงออกนอกเลนระบบจะเตือน โดยการสั่นที่พวงมาลัย และระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบจะคอยสังเกตพฤติกรรมในการขับขี่ของผู้ขับอยู่ตลอดเวลา ด้วยกล้องหน้ารถในการตรวจจับลักษณะการวิ่งของรถบนเส้นถนน ถ้ารถเริ่มส่ายไปมาผิดปกติระบบจะทำการประเมินถึงความจำเป็นที่ผู้ขับขี่ต้องหยุดพัก จากสีเขียว เหลือง และแดง โดยจะมีสัญญาณเตือนขึ้นบนหน้าจอแสดงผล
ส่วนด้านหลังมีกล้องมองหลังขณะถอยจอด มีระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) สแกนหาช่องจอดที่เหมาะสม พร้อมหมุนพวงมาลัยให้อัตโนมัติ เมื่อทำการจอด และยังมีระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Sport Information System) ใช้เซนเซอร์เรดาร์ค้นหาว่ามีรถยนต์คันอื่นอยู่ในจุดบอดที่ผู้ขับขี่อาจมองไม่เห็นหรือไม่ พร้อมกันนั้นยังมีระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert)
รุ่น Titanium+ 4x4 ปี 2018 ยกระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น ระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรคแบบ Inter-Urban Autonomous Emergency Braking (AEB) เข้ากับระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กม./ชม. ขึ้นไป
ระบบตรวจจับลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) ทำหน้าที่คอยตรวจวัดความดันลมในยางล้อทั้ง 4 ล้อ และเตือนผู้ใช้งานเมื่อความดันลมเปลี่ยนแปลง ระบบนี้นอกจากจะช่วยเสริมประสิทธิภาพการใช้น้ำมันแล้ว ยังช่วยเพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของยางอีกด้วย
บนเส้นทางไฮเวย์ ขุมพลังใหม่เทอร์โบคู่ 213 แรงม้า ในรุ่น Titanium+ 4x4 ตอบสนองคันเร่งได้เร็วแม้ว่าขนาดความจุจะน้อยกว่าเทอร์โบเดียวตัวเดิมถึง 1.2 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ ให้อัตราเร่งอย่างต่อเนื่อง พร้อมประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น บนหน้าจอแสดงตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 6.7 ลิตร/100 กม. นั้นเท่ากับว่าน้ำมัน 1 ลิตร ไปได้ไกลถึง 14.9 กม.
นอกจากนี้เทคโนโลยีช่วยขับขี่อัจฉริยะและห้องโดยสารที่หรูหราช่วยให้ขับขี่ทางไกลสะดวกสบายและปลอดภัย การใช้งานระบบซิงค์ 3 ซึ่งสามารถจดจำเสียงและสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยได้ ช่วยโทรออก ฟังเพลง หรือเรียกใช้เมนูอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องละสายตาจากถนน รวมทั้งยังรองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลล์คัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง รวมทั้งระบบแผนที่นำทางโดยใช้สัญญาณจากดาวเทียม ที่เพิ่มความมั่นใจในการเดินทางในพื้นที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์
การเดินทางต่อไปยังอำเภอเขาค้อ ผ่านเส้นทางโค้งขึ้นเขา ด้วยแรงบิดสูงสุดถึง 51.0 กก.-ม. (500 นิวตัน-ม.) ที่รอบเครื่องยนต์ต่ำเพียง 1,750-2,000 รตน. ให้กำลังอย่างต่อเนื่อง ระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ทำงานได้ดี ควบคุมง่ายดาย ช่วงล่างแบบคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์ ช่วยให้ทรงตัวดีกว่าคู่แข่งและการเกาะถนน
เมื่อต้องผ่านเส้นทางดินและมีร่องน้ำ กับทางโคลน ในอุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ (Terrain Management System i4WD) ในรุ่น Titanium+ 4x4 ใช้งานสะดวก เพียงการหมุนปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ตามสภาพถนน ระยะทางกว่า 10 กม. ก็เป็นเรื่องง่ายดาย ระบบ Terrain Management System (TMS) ได้รับการออกแบบมาพร้อมกับโหมดตั้งค่าการขับขี่ 4 แบบ คือ พื้นผิวทั่วไป (Normal) พื้นหิมะ/โคลน/หญ้า (Snow/Mud/Grass) พื้นทราย (Sand) และพื้นหินขรุขระ (Rock) โดยแต่ละโหมดจะปรับเปลี่ยนการตั้งค่า อัตราเร่ง ระบบส่งกำลัง ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ และระบบควบคุมการเกาะถนน เพื่อให้ผู้ขับขี่มั่นใจในทุกสถานการณ์ ในกรณีที่ต้องเผชิญกับเส้นทางออฟโรดสุดหฤโหด ผู้ขับขี่ก็สามารถเลือกปรับโหมดขับเคลื่อน 4 ล้อที่อัตราทดรอบต่ำ (4x4 Low) ควบคุมรถได้อย่างแม่นยำ
Ford Everest ใหม่ ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ได้รับการติดตั้งในรถระดับนี้เป็นครั้งแรก ทั้งระบบช่วยเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (Pedestrian Detection) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) บริเวณรอบตัวรถ เพื่อหยุดรถ และช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง ระบบตรวจจับลมยาง รวมถึงเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ระบบเตือนการชนด้านหน้า ในรุ่น Titanium+ 4x4 สมกับราคา 1,799,000 บาท
แต่ถ้าไม่เน้นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ดูเหมือนว่ารุ่น Trand ก็ดูน่าสนใจ ให้มาทั้ง เครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ ขับเคลื่อน 2 ล้อ เกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมโหมดเปลี่ยนเกียร์ธรรมดา ไฟหน้าแบบพโรเจคเตอร์ ราวหลังคาและบันไดข้าง ล้ออัลลอย 17 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/65 R17 ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า กุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ท ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย/ขวา เบาะหนังสีดำ ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 ภาษาไทย หน้าจอ Multi-Touch ขนาด 8 นิ้ว พร้อม Bluetooth และ Wi-Fi ลำโพง 9 ตัว พร้อมซับวูเฟอร์และแอมพลิฟลายเออร์ เทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัย ได้แก่ ถุงลมนิรภัย 7 จุด คู่หน้า ด้านข้าง หัวเข่าฝั่งคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย กล้องมองหลังขณะถอยจอด รวมทั้งระบบช่วยโทรฉุกเฉิน ในราคา 1,299,000 บาท ซึ่งขับใช้งานสบายกว่ารุ่นเดิม และมีสมรรถนะอัตราเร่ง ใกล้เคียงกับรุ่น Titanium+ 4x4
นอกจาก 2 รุ่นที่กล่าวถึง Ford Everest ใหม่ ยังมีรุ่น Titanium และ Titanium+ ราคาตามอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่ม 1,439,000 บาท และ 1,599,000 บาท
ABOUT THE AUTHOR
thanasan saowamol
ลุงหนึ่ง ฟอร์มูลา ศึกษาวิชาตำรารถมานานกว่า 30 ปี ผ่านร้อนหนาว ตั้งแต่ ยุคเครื่องยนต์ มาถึงยุคมอเตอร์ จะว่าเวอร์ ก็เจอมาหมด
ภาพโดย : fordคอลัมน์ Online : ทดลองขับ (บก. ออนไลน์)