บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด แถลงข่าวนโยบายด้านมอเตอร์สปอร์ทประจำฤดูกาล นับเป็นการขยับตัวครั้งใหญ่เพื่อก้าวตามโรดแมพ สร้างนักบิดสายเลือดไทย เข้าสู่การแข่งขัน MotoGP ให้ได้ภายในปี 2025 ในโครงการ Race to the Dream พร้อมเพิ่มระดับความเข้มข้นเทียบเท่ามาตรฐานระดับโลกอย่าง HRC หรือ Honda Racing Corporations
สุชาติ อรุณแสงโรจน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด กล่าวถึง แนวทางด้านมอเตอร์สปอร์ทของ ฮอนดา ในปี 2019 ว่า เอ.พี. ฮอนด้าฯ บุกเบิกส่งนักแข่งสัญชาติไทยไปลุยสังเวียนระดับเอเชีย และระดับโลกมาอย่างยาวนาน เราทุ่มเทผลักดันสร้างนักแข่งไทยที่มีศักยภาพระดับโลก ไปเป็นตัวแทนในรายการระดับเวิร์ลด์กรองด์ปรีซ์มาโดยตลอด ล่าสุดโครงการสร้างนักแข่งไทยสู่สนามระดับโลก ได้ถูกกำหนดอย่างเป็นขั้นตอนตามเส้นทาง Race to the Dream ตั้งแต่ปี 2017 โดยเริ่มตั้งแต่การค้นหาเด็กที่มีพรสวรรค์มาฝึกฝนทักษะการขับขี่อย่างถูกวิธี และฝึกความแข็งแกร่งของร่างกาย เพื่อให้สามารถก้าวขึ้นสู่สนามระดับโลกได้อย่างแข็งแกร่งในนามประเทศไทย ซึ่งในปีที่ 3 ของแผน Race to The Dream นี้ เราได้ยกระดับการพัฒนาในแต่ละขั้นสู่มาตรฐานทีมแข่งระดับโลก HRC (Honda Racing Corporation) องค์กรพัฒนานักแข่งและรถแข่งระดับโลกของ ฮอนดา ที่มีผลงานในการสร้างแชมพ์ให้ ฮอนดา สูงสุดระดับโลก
โดยในแผนพัฒนาสู่มาตรฐานระดับโลก มี 5 เรื่องหลัก คือ
1. เริ่มที่ Racing Machine เอ.พี. ฮอนด้าฯ มีการนำเข้าพร้อมกำหนดให้โครงการขั้นต้นของโรดแมพ ใช้รถแข่งระดับโลกที่ใช้ในการฝึกซ้อมอย่าง ฮอนดา เอนเอสเอฟ 100 สำหรับโครงการ เอ.พี. ฮอนด้า อคาเดมี เช่นเดียวกับโรงเรียนเรซิงระดับชั้นนำอื่นๆ ของโลก รวมถึงรถแข่ง ฮอนดา เอนเอสเอฟ 250 มาตรฐานเดียวกับ Moto3 มาใช้แข่งขันในรายการ Thailand Talent Cup เพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนขยับขึ้นสู่การแข่งขัน Asia Talent Cup และ Moto3 ต่อไป
2. พัฒนาทักษะการขับขี่ให้แก่นักแข่งแบบก้าวกระโดด ด้วยโครงการแลกเปลี่ยนนักแข่ง Rider Exchange Project ที่ดำเนินการร่วมกับ Mobility Land ผู้บริหารสนามซูซูกะ แห่งประเทศญี่ปุ่น เพื่อให้โอกาสนักแข่งในรายการ Thailand Talent Cup และรายการ Suzuka Sunday Road Race ได้มีประสบการณ์การแข่งขันที่สนามใหม่ๆที่ไม่คุ้นเคย นอกจากนั้น ยังเพิ่มโอกาสในการฝึกฝนทักษะการขับขี่ขั้นสูงด้วยการท้าทายให้นักแข่งได้ลงแข่งสะสมประสบการณ์ในรายการแข่งที่สูงกว่ารายการหลักของตน อาทิ ก๊อง ธัชกร และฟิล์ม ปิยวัฒน์ นักแข่งในรายการ ATC 2019 ควบการแข่งในรุ่น AP250 ซีซี รายการ ARRC
3. พัฒนาศักยภาพความฟิทพร้อมทางร่างกายของนักแข่ง ด้วยการออกแบบพโรแกรมฝึกอบรมใหม่ มาตรฐานระดับทีมแข่ง HRC โดยกำหนดให้มีการฝึกสอน และฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย พร้อมการให้คำแนะนำแบบตัวต่อตัว จาก HRC Support Trainer ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพร่างกายจาก HRC
4. พัฒนาทักษะช่างทีมแข่งตามมาตรฐาน HRC โดยการสนับสนุนจาก HRC Technical Master
5. เน้นสร้างประชากรนักแข่งหน้าใหม่ เพื่อค้นหาดาวรุ่งช้างเผือกเข้าสู่วงการ ตั้งแต่การ Pre-Audition โดยมอบหมายให้ ฟิล์ม-รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ นักบิด Moto2 คนแรกของประเทศไทย ผู้มีประสบการณ์ทั้งในการเรียนรู้ฝึกฝน การแข่งขันพัฒนาทักษะ และการเป็นไรเดอร์โคช มาเป็น Race Ambassador ในโครงการ Race To The Dream เพื่อสื่อสารกับสาธารณชน และสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยยุคใหม่ ชื่นชอบและสนใจเป็นนักแข่งรถจักรยานยนต์ เพื่อเข้าร่วมในการพัฒนาฝึกซ้อมให้เป็นนัก
แข่งที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลก ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยต่อไปในอนาคต
“ความมุ่งหวังหลักของ เอ.พี. ฮอนด้าฯ ในการผลักดันนักแข่งไทยสู่สนามระดับโลกตามโครงการ Race to The Dream คือ เพื่อสร้างให้กีฬามอเตอร์สปอร์ทกลายเป็นกีฬายอดนิยมของคนไทยทุกเพศทุกวัย เพื่อให้คนไทยได้เชียร์นักแข่งไทยในสนามระดับโลก” สุชาติ อรุณแสงโรจน์ กล่าวเพิ่มเติม
โดยปีนี้ เอ.พี. ฮอนด้าฯ ได้ขยับตัวครั้งใหญ่เพื่อเข้าใกล้เป้าหมายการพานักบิดไทยเข้าสู่การแข่งขัน MotoGP ด้วยการส่ง “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา ยอดนักบิดดาวรุ่งอายุน้อยสุดของไทยในเวทีระดับโลกด้วยวัยเพียง 20 ปี ลงแข่งขันในศึกจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมปพ์โลก รุ่น “Moto2 World Championship” แบบเต็มฤดูกาล ร่วมกับสังกัด “อิเดมิซึ ฮอนดา ทีม เอเชีย” หลังฉายแววคว้าแชมพ์ Asia Talent Cup ในปี 2016 ก่อนจะขยับขึ้นไปโลดแล่นในจูเนียร์ทีมของ ฮอนดา ในรายการ “FIM CEV Moto3 Junior World Championship” ในปี 2017-2018 ด้วยผลงานโดดเด่นมีลุ้นแชมพ์และโพเดียมหลายสนาม พร้อมกับคว้าอันดับ 9 จากการแข่งขันด้วยสิทธิ์ไวด์คาร์ดในศึก Moto3 World Championship 2018 สนามที่ 15 ในรายการ PTT Thailand Grand Prix ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จ. บุรีรัมย์” 
