ผลการศึกษาวิจัยดัชนีด้านการบริการลูกค้าในประเทศไทย ประจำปี 2562 โดย เจ.ดี. เพาเวอร์ (J.D. Power 2019 Thailand Customer Service Index (CSI) StudySM) เปิดเผยในวันนี้ว่า ความพึงพอใจเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการหลังการขายในประเทศไทย เมื่อองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งเสริมให้เกิดประสบการณ์ที่ดีถูกนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสม ทั้งนี้รวมถึงการประเมินเวลาที่ใช้บริการในแต่ละขั้นตอนอย่างแม่นยำ ตั้งแต่การเริ่มต้นให้บริการ การแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานะการให้บริการ และการอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ได้ดำเนินการกับรถ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายหลังให้บริการเสร็จ คะแนนความพึงพอใจโดยรวมอยู่ที่ 831 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน) เพิ่มขึ้นจาก 826 คะแนน ในปี 2561
การศึกษานี้ยังพบอีกว่ามีสัดส่วนลูกค้าที่มากขึ้น (20 % ในปี 2562 เทียบกับ 16 % ในปี 2561) ระบุว่าเวลาที่ใช้ในการให้บริการดีกว่าที่คาดหวังไว้ ความพึงพอใจในกลุ่มเจ้าของรถยนต์ที่ระบุว่าเวลาในการให้บริการดีกว่าที่คาดหวังไว้อยู่ที่ 858 คะแนน ขณะที่ความพึงพอใจของเจ้าของรถยนต์ที่ระบุว่าเวลาในการให้บริการแย่กว่าที่คาดหวังไว้อยู่ที่ 731 คะแนน ทั้งนี้ยังมีสัดส่วนลูกค้าคิดเป็นร้อยละที่มากขึ้น (85 % ในปี 2562 เทียบกับ 62 % ในปี 2561) ที่ได้รับการแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานะการให้บริการอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบการปฏิบัติที่มากขึ้นในการอธิบายถึงสิ่งที่ได้ดำเนินการกับรถ (98 % ในปี 2562 เทียบกับ 97 % ในปี 2561) และการอธิบายรายละเอียดค่าใช้จ่าย (97 % ในปี 2562 เทียบกับ 96 % ในปี 2561) หลังให้บริการเสร็จแล้ว
“ลูกค้ามีความอ่อนไหวกับเรื่องเวลาในการให้บริการมากขึ้น เมื่อต้องนำรถของพวกเขาเข้ารับบริการ” ศิรส สาตราภัย ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค เจ.ดี. เพาเวอร์ ประจำประเทศไทย กล่าว “ศูนย์บริการและผู้ผลิตรถยนต์มีบทบาทสำคัญในการสร้างประสบการณ์ ณ จุดบริการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยการปรับปรุงขั้นตอนและกระบวนการปฏิบัติงานให้ใช้เวลาในการให้บริการที่สั้นลง พร้อมกันนั้นศูนย์บริการควรมุ่งเน้นที่จะให้บริการที่สร้างความประทับใจที่มากกว่า เช่น การล้างและดูดฝุ่นรถยนต์ของลูกค้า ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่คุณภาพการให้บริการอย่างมาก”
ลูกค้าที่รถได้รับบริการเสร็จสิ้นภายใน 1 ชั่วโมงมีจำนวนมากขึ้น คิดเป็น 45 % ในปี 2562 จาก 36 % ในปี 2561 แต่มีลูกค้าเพียง 67 % ที่กล่าวว่ารถของพวกเขาได้รับการล้างและดูดฝุ่นหลังรับบริการเสร็จ ซึ่งลดลงจาก 69 % ในปีที่แล้ว
ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมที่ได้จากการสำรวจในปี 2562:
ผลการจัดลำดับจากการศึกษาวิจัย
นิสสัน ได้อันดับสูงสุดด้านความพึงพอใจในการบริการหลังการขายด้วยคะแนนความพึงพอใจรวม 838 คะแนน และทำคะแนนได้ดีในการประเมิน 3 ปัจจัยจากทั้งหมด 5 ปัจจัย ได้แก่ ที่ปรึกษางานบริการ, การรับรถคืน และคุณภาพงานบริการ ตามมาด้วย อีซูซุ ได้อันดับ 2 ด้วยคะแนน 837 คะแนน และโตโยตา ได้อันดับ 3 ด้วยคะแนน 836 คะแนน
การศึกษาวิจัยดัชนีด้านการบริการลูกค้าในประเทศไทย ประจำปี 2562 ประเมินความพึงพอใจโดยรวมของเจ้าของรถยนต์ที่ใช้บริการจากศูนย์บริการมาตรฐานสำหรับการบำรุงรักษา และงานซ่อมแซมในช่วง 12-36 เดือนของการเป็นเจ้าของใน 5 ปัจจัยหลัก (เรียงลำดับตามความสำคัญ) ได้แก่ คุณภาพงานบริการ (27 %) การรับรถคืน (20 %) สิ่งอำนวยความสะดวกของศูนย์บริการ (18 %) การเริ่มต้นให้บริการ (18 %) และที่ปรึกษางานบริการ (18 %)
ปีนี้นับเป็นปีที่ 20 ของการศึกษาวิจัย ซึ่งทำการศึกษาจากการประเมินคำตอบของเจ้าของรถยนต์ใหม่จำนวน 3,050 รายที่ซื้อรถยนต์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ถึงเดือนมิถุนายน 2561 และนำรถยนต์เข้ารับบริการที่ศูนย์บริการมาตรฐานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน 2562
ในการศึกษานี้ยังรวมการสำรวจ Net Promoter Score® (NPS)[1] ซึ่งวัดแนวโน้มที่เจ้าของรถจะแนะนำบแรนด์ผู้ผลิต และรถยนต์รุ่นเดียวกับของพวกเขากับบุคคลอื่น โดยให้คะแนนระหว่าง 0-10 คะแนน