ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
สอท. เผยยอดผลิตรถเดือน กย. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.77
เดือนกันยายน 2568 ผลิตรถยนต์ 128,104 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.77 ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 6,410 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 332.81 ขาย 48,350 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.82 ขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,155 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100.15 ส่งออก 86,056 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.23 ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 967 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100 ส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 41 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 100
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยว่าเดือนกันยายน 2568 อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยส่อเค้าเติบโต
การผลิต
จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนกันยายน 2568 มีทั้งสิ้น 128,104 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2568 ร้อยละ 14.01 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 4.77 จากการผลิตรถยนต์นั่งไฟฟ้าชดเชยการนำรถยนต์นั่งไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศปี 2565-2566 และผลิตรถกระบะดัดแปลง PPV เพื่อส่งออก และจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้น จากการออกรถรุ่นใหม่ของบางบริษัท ส่งผลให้ยอดผลิตรถยนต์รุ่นนี้เติบโตร้อยละ 29.95
จำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ในเดือนมกราคม-กันยายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,075,801 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 4.63
รถยนต์นั่ง เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 49,473 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.39 ผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกลดลงร้อยละ 26.49 จากการเลิกผลิตรถบางรุ่นเพื่อเปลี่ยนรุ่นใหม่ให้ตอบรับกฎข้อบังคับของประเทศคู่ค้า โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 21,761 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 36.38
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 6,375 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 330.45
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 3,474 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 527.08
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 17,863 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 23.66
ยอดผลิตของรถยนต์นั่ง ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 มีจำนวน 395,713 คัน เท่ากับร้อยละ 36.78 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 7.27 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง Internal Combustion Engine มีจำนวน 184,320 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 31.56
• รถยนต์นั่ง Battery Electric Vehicle มีจำนวน 41,183 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 461.23
• รถยนต์นั่ง Plug-in Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 15,802 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 246.00
• รถยนต์นั่ง Hybrid Electric Vehicle มีจำนวน 154,408 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 6.13
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนกันยายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถยนต์บรรทุก เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 78,631 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 9.83 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 680,088 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 3.02
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ทั้งหมด 77,473 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 9.66 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 673,032 คัน เท่ากับร้อยละ 62.56 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 2.06 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 106,411 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 2.95
• รถกระบะ Double Cab 429,518 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 5.59
• รถกระบะ Double Cab BEV 225 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 100
• รถกระบะ PPV 136,878 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 11.64
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 1,158 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 22.41 รวมเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ 7,056 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 49.96
ผลิตเพื่อส่งออก
เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 85,625 คัน เท่ากับร้อยละ 66.84 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.33 ส่วนเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ 708,694 คัน เท่ากับร้อยละ 65.88 ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 8.46
รถยนต์นั่ง เดือนกันยายน 2568 ผลิตเพื่อการส่งออก 20,759 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 26.49 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 154,987 คัน เท่ากับร้อยละ 39.17 ของยอดผลิตรถยนต์นั่ง ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 32.51
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกันยายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อการส่งออก 64,866 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 9.16 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตเพื่อส่งออกได้ทั้งสิ้น 553,707 คัน เท่ากับร้อยละ 82.27 ของยอดการผลิตรถกระบะ เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 1.68 โดยแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 59,771 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 31.94
• รถกระบะ Double Cab 388,914 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 3.01
• รถกระบะ PPV 105,022 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 6.89
ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ
เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 42,479 คัน เท่ากับร้อยละ 34.18 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 22.73 และเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ 367,107 คัน เท่ากับร้อยละ 34.12 ของยอดการผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 3.75
รถยนต์นั่ง เดือนกันยายน 2568 ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 28,714 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 27.94 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2567 ผลิตได้ 240,726 คัน เท่ากับร้อยละ 60.83 ของยอดการผลิตรถยนต์นั่ง โดยเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมกราคม-กันยายน 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.14
รถกระบะขนาด 1 ตัน เดือนกันยายน 2568 มียอดการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 12,607 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 12.35 และตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ทั้งสิ้น 119,325 คัน เท่ากับร้อยละ 17.73 ของยอดการผลิตรถกระบะ และลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 16.35 ซึ่งแบ่งเป็น
• รถกระบะบรรทุก 46,640 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 27.52
• รถกระบะ Double Cab 40,829 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 24.31
• รถกระบะ PPV 31,856 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 30.78
รถยนต์โดยสารขนาดต่ำกว่า 10 ตัน และมากกว่า 10 ตันขึ้นไป ในเดือนกันยายน 2568 ไม่มีการผลิต รวมเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ไม่มีการผลิต
รถบรรทุกขนาดต่ำกว่า 5 ตัน-มากกว่า 10 ตัน เดือนกันยายน 2568 ผลิตได้ 1,158 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 22.41 รวมเดือนมกราคม-กันยายน 2568 ผลิตได้ 7,056 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 49.96
รถจักรยานยนต์
เดือนกันยายน 2568 ผลิตรถจักรยานยนต์ได้ทั้งสิ้น 205,598 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 9.72 แยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 156,742 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 6.93 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 48,856 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 19.76
ยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือนมกราคม-กันยายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,859,474 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.12 โดยแยกเป็นรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป (CBU) 1,514,942 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.47 และชิ้นส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ (CKD) 344,532 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 15.05
ยอดขาย
ยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนกันยายน 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 48,350 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2568 ร้อยละ 1.53 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 23.82 จากยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังเติบโตดีเพราะหลายรุ่นมีราคาที่ถูกลงจนสามารถซื้อได้มากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีที่ติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้าน่าสนใจมากขึ้น แต่รถกระบะยังคงขายลดลงร้อยละ 4.00 จากการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพราะหลักฐานการเงินอ่อนแอจากเศรษฐกิจในประเทศที่ขยายเติบโตในอัตราต่ำ ค่าครองชีพสูง และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังคงติดลบ แรงงานในภาคอุตสาหกรรมมีรายได้ลดลง จึงขาดกำลังซื้อ ผู้ขายสินค้าอื่นๆ และอาหาร รวมทั้งการท่องเที่ยวมีรายได้ลดลง
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 31,722 คัน เท่ากับร้อยละ 65.61 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 40.87
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 9,065 คัน เท่ากับร้อยละ 18.75 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 22.08
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 9,107 คัน เท่ากับร้อยละ 18.84 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 99.10
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 637 คัน เท่ากับร้อยละ 1.32 ของยอดขายทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 223.35
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) 149 คัน เท่ากับร้อยละ 0.31 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 100
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 12,764 คัน เท่ากับร้อยละ 26.40 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 108.73
รถกระบะ มีจำนวน 11,049 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 4.00 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 48 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถกระบะ REEV มีจำนวน 7 คัน ในปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 3,250 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 31.95 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 1,321 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 5.84 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 953 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 17.42
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 134,440 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2567 ร้อยละ 3.19 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 14.04
ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2568 รถยนต์มียอดขาย 477,969 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 2.12 แยกเป็น
รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ มีจำนวน 288,391 คัน เท่ากับร้อยละ 64.44 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 9.87
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์สันดาปภายใน (ICE) 97,287 คัน เท่ากับร้อยละ 21.72 ของยอดขายทั้งหมด ลดลงจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 17.47
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้า (BEV) 81,351 คัน เท่ากับร้อยละ 18.16 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วที่ร้อยละ 55.79
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสมแบบเสียบปลั๊ก (PHEV) 6,803 คัน เท่ากับร้อยละ 1.52 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 311.55
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ REEV (Range-Extended Electric Vehicle) 580 คัน เท่ากับร้อยละ 0.19 ของยอดขายทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 100
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ไฟฟ้าผสม (HEV) 102,370 คัน เท่ากับร้อยละ 22.85 ของยอดขายรถยนต์นั่ง และรถยนต์นั่งตรวจการณ์ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 12.82
รถกระบะ มีจำนวน 106,603 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 15.77 รถกระบะไฟฟ้า (BEV) มีจำนวน 534 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถกระบะ REEV มีจำนวน 13 คัน ปีที่แล้วไม่มียอดจำหน่าย รถ PPV มีจำนวน 31,360 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 16.39 รถบรรทุก 5-10 ตัน มีจำนวน 11,048 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ10.27 และรถประเภทอื่นๆ มีจำนวน 10,020 คัน ลดลงจากเดือนเดียวกันในปีที่แล้วร้อยละ 3.22
ส่วนรถจักรยานยนต์ มียอดขาย 1,315,346 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 2.62
การส่งออก
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนกันยายน 2568 ส่งออกได้ 86,056 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วร้อยละ 20.90 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 7.23 เพิ่มขึ้นจากการส่งออกรถกระบะเพิ่มขึ้น รวมทั้งรถกระบะดัดแปลง PPV ที่มีบางบริษัทออกรุ่นใหม่ และส่งออกเป็นครั้งแรก รถยนต์นั่งไฟฟ้า และรถกระบะไฟฟ้าส่งออกเพิ่มขึ้น แต่รถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในส่งออกลดลงร้อยละ 16.97 ส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป อเมริกากลาง และอเมริกาใต้
ประเภทรถยนต์ส่งออกเดือนกันยายน 2568 แบ่งเป็น ดังนี้
• รถกระบะ 49,082 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 57.03 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 5.29
• รถกระบะ BEV 41 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.05 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 16,597 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 19.29 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 16.97
• รถยนต์นั่ง BEV 967 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 1.12 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
• รถยนต์นั่ง PHEV 430 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.50 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออกรถยนต์นั่ง BEV
• รถยนต์นั่ง HEV 4,585 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.33 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 62.70
• รถ PPV 14,354 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 16.68 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 32.51
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 55,776.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 5.52 แต่เครื่องยนต์ และชิ้นส่วนส่งออกเพิ่มขึ้น ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 3,072.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 9.54
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 16,567.34 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 8.52
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 2,032.94 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 8.11
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนกันยายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 76,425.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.09
รถจักรยานยนต์
เดือนกันยายน 2568 มีจำนวนส่งออก 75,214 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2568 ร้อยละ 20.17 และเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 7.83 โดยมีมูลค่า 4,401.80 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 2.28
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 219.20 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 10.34
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 233.16 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 16.65
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนกันยายน 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ 4,854.15 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 1.91
เดือนกันยายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 81,279.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 1.84
รถยนต์สำเร็จรูป
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 689,031 คัน ลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 10.39 แบ่งเป็น
• รถกระบะ 427,571 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 62.05 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 2.97
• รถกระบะ BEV 276 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.04 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง ICE 118,157 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 17.15 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 37.52
• รถยนต์นั่ง BEV 3,057 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 0.66 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง PHEV 747 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 2.64 ของการส่งออกทั้งหมด ในปี 2567 ไม่มีการส่งออก
• รถยนต์นั่ง HEV 38,283 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 5.56 ของการส่งออกทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 2.01
• รถ PPV 100,940 คัน มีสัดส่วนร้อยละ 14.65 ของการส่งออกทั้งหมด ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 0.63
มูลค่าการส่งออกรถยนต์ 462,553.36 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 13.23 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• เครื่องยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 28,288.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 7.76
• ชิ้นส่วนรถยนต์อื่นๆ มีมูลค่าการส่งออก 146,700.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 0.50
• อะไหล่รถยนต์ มีมูลค่าการส่งออก 20,190.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 2.72
รวมมูลค่าส่งออกรถยนต์เดือนมกราคม-กันยายน 2568 เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอะไหล่ มีมูลค่า 657,732.56 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 9.27
รถจักรยานยนต์
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 รถจักรยานยนต์ มีจำนวนส่งออก 645,232 คัน (รวม CBU+CKD) เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 7.31 มีมูลค่า 45,813.33 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 0.81
• ชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,745.18 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.87
• อะไหล่รถจักรยานยนต์ มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 1,978.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ร้อยละ 34.38
รวมมูลค่าการส่งออกรถจักรยานยนต์ เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 49,536.56 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 0.08
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 รวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 707,269.12 ล้านบาท ลดลงจากปี 2567 ร้อยละ 8.68
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท BEV เดือนกันยายน 2568
เดือนกันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่ มีจำนวน 11,906 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 80.23 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 9,783 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 109.67
o รถยนต์นั่ง จำนวน 9,387 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 387 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 1 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 8 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 22 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 22.22
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 2,050 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 12.82
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 2,050 คัน
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 1 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 83.33
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 13 คัน ลดลงจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 32.73
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 37 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 80.23
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 104,571 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายนปีที่แล้วร้อยละ 38.49 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 86,819 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 59.86
o รถยนต์นั่ง จำนวน 84,575 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 2,060 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 15 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 169 คัน
• รถกระบะ รถแวน มีทั้งสิ้น 449 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 11.79
• รถยนต์สามล้อ มีทั้งสิ้น 16 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 88.65
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล จำนวน 12 คัน
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ จำนวน 4 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 16,883 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 15.81
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 16,882 คัน
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ จำนวน 1 คัน
• รถโดยสาร มีทั้งสิ้น 102 คัน ลดลงจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 63.70
• รถบรรทุก มีทั้งสิ้น 302 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 41.78
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท HEV เดือนกันยายน 2568
เดือนกันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่ มีจำนวน 11,629 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 23.67 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 11,565 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 23.32
o รถยนต์นั่ง จำนวน 11,542 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 1 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 13 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 7 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 2 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 64 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2567 ร้อยละ 156
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (HEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 106,332 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายนปีที่แล้วร้อยละ 2.05 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 105,574 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 1.72
o รถยนต์นั่ง จำนวน 105,277 คัน
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน จำนวน 27 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 155 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 111 คัน
o รถยนต์บริการให้เช่า จำนวน 4 คัน
• รถจักรยานยนต์ มีทั้งสิ้น 758 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายน 2567 ร้อยละ 83.54
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล จำนวน 758 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าป้ายแดงประเภท PHEV เดือนกันยายน 2568
เดือนกันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่ มีจำนวน 1,355 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 84.60 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 1,355 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปีที่แล้วร้อยละ 84.60
o รถยนต์นั่ง จำนวน 1,355 คัน
เดือนมกราคม-กันยายน 2568 ยานยนต์ประเภทไฟฟ้า (PHEV) จดทะเบียนใหม่สะสม มีจำนวน 15,036 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายนปีที่แล้วร้อยละ 105.69 โดยแบ่งเป็น
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 15,036 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคม-กันยายนปีที่แล้วร้อยละ 105.69
o รถยนต์นั่ง จำนวน 15,008 คัน
o รถยนต์บริการธุรกิจ จำนวน 20 คัน
o รถยนต์บริการทัศนาจร จำนวน 8 คัน
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท BEV มีจำนวนทั้งสิ้น 330,301 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 59.85 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 245,707 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 70.97
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 239,492 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 69.81
o รถยนต์โดยสารไม่เกิน 7 คน มีจำนวน 4,588 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 113.79
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 224 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 194.74
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 251 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 84.56
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 3 คัน เท่ากับช่วงเดียวกันปี 2567
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 1,149 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 270.65
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1,321 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 68.49
• รถยนต์สามล้อ มีจำนวนทั้งสิ้น 1,035 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 1.17
o รถยนต์สามล้อส่วนบุคคล มีจำนวน 126 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.78
o รถยนต์รับจ้างสามล้อ มีจำนวน 909 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 0.44
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 78,273 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35.57
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 78,165 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35.64
o รถจักรยานยนต์สาธารณะ มีจำนวน 108 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 14.96
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2,857 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 5.89
o รถบรรทุก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,108 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 66.87
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท HEV มีจำนวนทั้งสิ้น 574,293 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 28.53 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถยนต์ประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 564,362 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 28.99
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 562,794 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 28.92
o รถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารฯ มีจำนวน 513 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 3.01
o รถยนต์บริการธุรกิจ มีจำนวน 229 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 213.70
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 329 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 58.94
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 9 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 80
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 488 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 163.78
• รถกระบะ และรถแวน มีจำนวน 1 คัน เท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
• รถจักรยานยนต์ มีจำนวนทั้งสิ้น 9,928 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.94
o รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล มีจำนวน 9,928 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.94
• อื่นๆ
o รถโดยสาร มีจำนวนทั้งสิ้น 2 คัน ซึ่งเท่ากับช่วงเวลาเดียวกันปี 2567
ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV ณ วันที่ 30 กันยายน 2568
ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนสะสมประเภท PHEV มีจำนวนทั้งสิ้น 78,059 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 27.65 โดยแบ่งประเภทได้ ดังนี้
• รถยนต์นั่ง และรถประเภทต่างๆ มีทั้งสิ้น 78,059 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 27.65
o รถยนต์นั่ง มีจำนวน 77,981 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 27.68
o รถยนต์โดยสารรับจ้างไม่เกิน 7 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 100
o รถยนต์บริการธุรกิจมีจำนวน 40 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 6.98
o รถยนต์บริการทัศนาจร มีจำนวน 27 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 35
o รถยนต์บริการให้เช่า มีจำนวน 4 คัน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
o รถยนต์รับจ้างผ่านระบบอีเลคทรอนิคส์ มีจำนวน 6 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันปี 2567 ร้อยละ 20
..........................................................................................................
Volvo เปิดตัว ES90 ใหม่
Volvo (โวลโว) เปิดตัว ES90 (อีเอส 90) ใหม่ล่าสุด กับเทคโนโลยีแบทเตอรีขนาด 800 โวลท์ ที่ให้ระยะทางการขับขี่มากกว่า 755 กม.* สานต่อเทคโนโลยีการออกแบบอันล้ำสมัยที่สามารถอัพเกรด Volvo ES90 ของคุณให้ดีขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความปลอดภัย การเชื่อมต่อบริการ และความบันเทิง และประสิทธิภาพของรถในทุกการขับขี่
คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย)ฯ และมาเลเชีย กล่าวว่า Volvo ES90 รถไฟฟ้าเต็มรูปแบบรุ่นใหม่ล่าสุด เปิดตัวครั้งแรกในเอเชีย มาพร้อมกับนิยามใหม่แห่งความอเนกประสงค์ และนวัตกรรมการขับขี่อันล้ำสมัย ผ่านรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเกิดจากการนำเอาจุดเด่นในแง่ของความเรียบหรูสง่างามของรถซีดานความอเนกประสงค์ของรถที่มีหลังคาลาดเทต่อเนื่องไปจนถึงท้ายรถ (Fastback) พื้นที่ภายในกว้างขวาง พร้อมความสูงใต้ท้องรถที่ยกสูงขึ้นแบบรถเอสยูวี ทำให้ Volvo ES90 เป็นรถที่ออกแบบมาเพื่อมอบความลงตัวให้ทุกการเดินทางบนท้องถนน ไม่ว่าจะเดินทางคนเดียว หรือกับครอบครัว ในทุกๆ ช่วงเวลาของชีวิต
Volvo ES90 ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ความเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมไฟฟ้าของเราได้อย่างดีเยี่ยม ผ่านการออกแบบที่ควบคุมการทำงานของรถด้วยซอฟท์แวร์ และการประมวลผลผ่านชิพเซทที่ทรงพลัง ทั้งยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย ปัจจุบัน Volvo อยู่คู่กับคนไทยมามากกว่า 50 ปี และเรายังคงมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อเสริมประสิทธิภาพให้การขับขี่ มอบความปลอดภัยในการเดินทาง และร่วมสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม เพื่อรักษาความไว้ใจที่ลูกค้า Volvo ในประเทศไทยมีต่อแบรนด์เสมอมาจากรุ่นสู่รุ่น
Volvo ES90 ผลิตขึ้นบนพแลทฟอร์ม SPA2 ที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของ Volvo Superset Tech Stack ที่รวมการทำงานระหว่างฮาร์ดแวร์ และซอฟท์แวร์โมดูล เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรองรับการพัฒนาต่อยอดรถไฟฟ้าของ Volvo ในอนาคต โดยเทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะทำให้ Volvo Car สามารถพัฒนา และปรับปรุงคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ของรถ Volvo ที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยี Superset ได้ตลอดอายุการใช้งานรถ ผ่านการอัพเดทในแบบ Over-the-Air
นอกจากนี้ ES90 ยังเป็นรถไฟฟ้าคันแรกของ Volvo ที่มาพร้อมชิพประมวลผล NVIDIA Drive AGX Orin แบบคู่ ทำให้รถมีพลังในการประมวลผลด้วย Core Computing มากกว่าที่เคยมีมา ซึ่งประสิทธิภาพในการประมวลผลขั้นสูงนี้ช่วยยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และประสิทธิภาพของตัวรถให้เพิ่มขึ้น จากการผสานการทำงานระหว่างข้อมูล ซอฟท์แวร์ และ AI
เทคโนโลยีแบทเตอรี Volvo ES90 มาพร้อมระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า และเทคโนโลยีแบทเตอรี 800 โวลท์ ใหม่ล่าสุด ช่วยเพิ่มความเร็วให้การชาร์จ และระยะทางในการขับขี่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม และระยะทางรวมสูงสุดถึง 755 กม.* เมื่อชาร์จเต็มตามมาตรฐาน NEDC
Volvo ES90 Ultra Single Motor Extended Range จำหน่ายในราคา 2,990,000 บาท Volvo ES90 คาดว่าจะพร้อมส่งมอบให้แก่ลูกค้าในประเทศภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ หรือต้นเดือนมกราคม 2569
..........................................................................................................
Isuzu เปิดตัว D-Max ใหม่
Isuzu (อีซูซุ) เปิดตัวทุกไลน์อัพ ! รถพิคอัพใหม่ ! Isuzu D-MAX (อีซูซุ ดี-แมกซ์) "The One & Only" หนึ่งเดียว…เท่านั้น ! และ ใหม่ ! Isuzu X-Series (อีซูซุ เอกซ์-ซีรีส์) "2 Hot…2 Handle" ร้อนแรง…เป็นเรื่อง ! พร้อมสุดยอดรถอเนกประสงค์ MU-X “The Next Peak” (มิว-เอกซ์ "เธอะ เนกซ์ พีค") สู่จุดพีคใหม่…ของชีวิต
นอกจากนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ Isuzu ภูมิใจนำเสนอ คือ การพลิกโฉมสนามทดสอบรถขับเคลื่อน 4 ล้อ “Isuzu 4x4 Land” สู่สนาม “Isuzu 4x4 Experience” โดยการร่วมมือกับ Nendo ดีไซจ์นสตูดิโอระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น
ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า หลังจากที่เราเปิดตัวเครื่องยนต์ 2.2 Ddi Maxforce ซึ่งเป็นเทคโนโลยีดีเซลแห่งอนาคตไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ได้รับความนิยม และความไว้วางใจจากผู้ใช้รถยนต์ชาวไทยอย่างดีเยี่ยม ด้วยชื่อเสียง และความเชี่ยวชาญในการผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ ในวันนี้เรายังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้รถชาวไทย ด้วยการเปิดตัวรถพิคอัพรุ่นใหม่ ! Isuzu D-MAX "The One & Only" หนึ่งเดียว…เท่านั้น ! ด้วย DNA หนึ่งเดียวที่สืบทอดความเชื่อมั่นของ Isuzu มากว่าครึ่งศตวรรษ ตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ นำโดย ใหม่ ! “Isuzu V-Cross 4x4” (อีซูซุ วี-ครอสส์ 4x4) "The One & Only" พิคอัพสปอร์ทออฟโรด รุ่นใหม่ล่าสุด ! กับสีใหม่ ! “อินนิชมอร์ กเรย์ โอเพค” (Inishmore Gray Opaque) ปรับเปลี่ยนดีไซจ์นใหม่ ! ทั้งภายนอก และภายใน ยกระดับการขับขี่ให้สะดวกสบายขึ้นด้วย ใหม่ ! EPS พวงมาลัยไฟฟ้า ขับง่ายสบายทุกสภาพถนน และเพิ่มความแม่นยำปลอดภัยด้วย ใหม่ ! กล้องรอบคัน 360° Surround View Camera พร้อมมุมมองใต้ท้องรถ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS เวอร์ชันล่าสุด ! กล้องหน้าคู่ พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซนเซอร์ 8 จุดรอบคัน
เสริมทัพด้วย ใหม่ ! Isuzu X-Series "2 Hot…2 Handle" ร้อนแรง...เป็นเรื่อง ! ครั้งแรกกับเครื่องยนต์ 2.2 Ddi Maxforce พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ใหม่ ! แบบสปอร์ท REV Tronic และ Sequential Paddle Shift ที่พวงมาลัย ออกแบบเพื่อเครื่องยนต์ 2.2 โดยเฉพาะ แรงจัดจ้าน เต็มสไตล์สปอร์ท มาพร้อมชุดแต่งใหม่ ! The X Package ทั้งภายนอก และภายใน และยังส่งสุดยอดรถอเนกประสงค์ MU-X “The Next Peak” สู่จุดพีคใหม่…ของชีวิต เพิ่มความมั่นใจขณะขับขี่ ที่มาพร้อมกับช่วงล่างใหม่ ! ชอคอับแบบ Stiff Flex ลดการสั่นสะเทือน และการโคลงของรถขณะขับขี่ นุ่มนวล มั่นใจทุกครั้งที่เข้าโค้ง
นอกจากรถรุ่นใหม่แล้ว Isuzu ยังจัดงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อยกระดับสนามทดสอบรถขับเคลื่อน 4 ล้อ “Isuzu 4x4 Land” สู่ “Isuzu 4x4 Experience” สนามทดสอบที่จะสร้างประสบการณ์ที่หาที่อื่นไม่ได้ โดยการร่วมมือกับ Nendo ดีไซจ์นสตูดิโอระดับโลก จากประเทศญี่ปุ่น ผู้ออกแบบ Japan Pavilion อันเลื่องชื่อในงาน Osaka World Expo 2025 ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์มากกว่าการ “ทดลองขับ” แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ให้ได้เข้ามาสัมผัสสมรรถนะอันโดดเด่นของรถ Isuzu 4x4 อย่างเต็มที่
และน่าตื่นเต้น เราใช้เทคนิคการสร้างประสบการณ์ให้เป็นภาษาภาพ โดยการใช้เสา และโทนสีแบบ Full Spectrum ภายใต้องค์ประกอบ 3 ประการ คือ เอียง (Tilt) สูงชัน (High) และพลัง (Power) และ 2 สถานีใหม่ ! “Haunted Tunnel” (ลุยฝ่า อุโมงค์หลอน) และ “Mystery Road” (พิลึก ทางพิศวง) ให้คุณท้าทายขีดจำกัดของตัวเอง สถานีทดสอบสุดเร้าใจที่ได้จำลองสภาพแวดล้อม และอุปสรรคตามธรรมชาติอย่างสมบูรณ์รวม 9 สถานี จะเปลี่ยนอุปสรรคสุดท้าทาย ให้กลายเป็นความสนุกที่ควบคุมได้ ด้วย ใหม่ ! Isuzu V-Cross 4x4 "The One & Only" ยนตรกรรมพิคอัพสปอร์ทออฟโรด และ MU-X “The Next Peak” 4WD ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อ บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ ณ อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี
ร่วมสัมผัสรถพิคอัพรุ่นใหม่ ! "The One & Only" หนึ่งเดียว…เท่านั้น ! ใหม่ ! Isuzu X-Series “2 Hot…2 Handle” ร้อนแรง...เป็นเรื่อง ! รวมถึง MU-X “The Next Peak” สู่จุดพีคใหม่…ของชีวิต ได้ที่โชว์รูม Isuzu ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป พร้อมสิทธิพิเศษแห่งปี “Maxforce Big Thanks ขอบคุณจากใจให้ร้อยล้าน” ฉลองความสำเร็จของเครื่องยนต์ Ddi Maxforce ลุ้นขับฟรีสูงสุด 100,000 กิโลเมตร และสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Isuzu มูลค่ารวมกว่า 100 ล้านบาท พร้อมร่วมกิจกรรมพิเศษ “สัปดาห์พิเศษแนะนำรถรุ่นใหม่”
..........................................................................................................
Seres 3 รถไฟฟ้ารุ่นล่าสุดจาก DFSK เปิดตัวราคา 599,200 บาท
บริษัท เอดิสัน อีวี จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ DFSK (ดีเอฟเอสเค) แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายใต้การสนับสนุนจาก Seres Group (เซเรส กรุพ) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน
ธันย์จิรา ภูริชพุฒิพันธ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอดิสัน อีวี จำกัด กล่าวว่า Edison EV ก่อตั้งเมื่อ 28 มิถุนายน 2567 โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ DFSK ในไทย ภายใต้การสนับสนุนจาก Seres Group ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน ผ่าน DFSK (Chongqing Sokon Motor (Group) Import & Export Co., Ltd.)
วิสัยทัศน์ และพันธกิจ-เทคโนโลยีที่ทุกคนเข้าถึงได้
Edison EV มีวิสัยทัศน์ "Deliver Simplicity Technology for Everyone" เพื่อส่งมอบเทคโนโลยีที่เข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน โดยเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ควรเป็นเพียงสินค้าหรูหรา แต่ควรเป็นเทคโนโลยีที่ทุกคนใช้งานได้ พันธกิจของบริษัท คือ "We do Continuous R&D to Develop a Better Solution for a Better Life and Empower Business Partnership" การมุ่งมั่นทำ R&D อย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาโซลูชันที่ดีกว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ
จุดเด่นพิเศษของ Seres 3 รถยนต์ไฟฟ้าที่ผสานเทคโนโลยี และความคุ้มค่า
รถยนต์ไฟฟ้า Seres 3 (เซเรส 3) ได้รับความนิยมตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในประเทศจีน เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มราคาใกล้เคียงกัน Seres 3 มีความโดดเด่นกว่าด้วยระบบชาร์จเร็ว DC Fast Charging-ชาร์จแบทเตอรี 20-80 % เพียง 40 นาที พร้อม Independent Suspension ทั้ง 4 ล้อ Multi-Link Independent Suspension ล้อหลังที่ให้ความนุ่มนวลในการขับขี่ และมีระบบ Thermal Management System ขั้นสูง ช่วยยืดอายุแบทเตอรี และรักษาสมรรถนะได้ดีแม้ในสภาพอากาศร้อนของไทย
จุดเด่นทั้ง 3 นี้เป็นเทคโนโลยีที่ Seres Group นำมาใช้กับ Seres 3 เพื่อมอบประสบการณ์รถยนต์ไฟฟ้าที่แท้จริง ไม่ใช่แค่รถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจับต้องได้ แต่เป็นรถที่คุ้มค่า และมีคุณภาพ มีราคาจำหน่ายที่ 599,200 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1 เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งเป็นราคาพิเศษ พร้อมส่งมอบเฉพาะลูกค้าที่จองในงาน Motor Expo 2025 ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน-10 ธันวาคม 2568 ณ อาคารชาลเลนเจอร์ IMPACT เมืองทองธานี
Edison EV เตรียมนำ DFSK E5 Plus มาเผยโฉมในงาน Motor Expo 2025
เรือธงรุ่นต่อไปที่ Edison EV จะนำเข้ามาจำหน่ายต่อจาก Seres 3 คือ รถยนต์ไฟฟ้า DFSK E5 Plus (ดีเอฟเอสเค อี 5 พลัส) รถยนต์ PHEV ขนาด Mid-Size SUV 7 ที่นั่ง ตอบโจทย์ครอบครัว
ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนจะนำมาจัดแสดงพร้อมเปิดลงทะเบียนจองสิทธิ์เพื่อรับราคาพิเศษในงาน Motor Expo 2025
DFSK E5 Plus มีจุดแข็งจากการผสมผสานคุณภาพที่ได้รับการรับรองมาตรฐานยุโรป และฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในสภาพแวดล้อมของประเทศไทยโดยเฉพาะ
รถยนต์ไฟฟ้า DFSK E5 Plus เป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดจาก Seres Group ที่สุดแห่งขุมพลังลูกผสม (PHEV) วิ่งได้ไกลรวมสูงสุด 1,300 กม. และวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนได้ 165 กม. (CLTC) ยกระดับด้วยห้องโดยสารอัจฉริยะ Huawei HiCar 4.0 พร้อมจอควบคุม HD ขนาดใหญ่ 15.6 นิ้ว และลำโพง 13 ตำแหน่ง ดีไซจ์นพรีเมียม สะดวกสบายเหนือระดับ พร้อมระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS เพื่อทุกการเดินทางของครอบครัว
..........................................................................................................
Changan เดินหน้าผู้นำยานยนต์ไฟฟ้า
Changan Automobile หรือ Changan (ฉางอัน) เดินหน้ากลยุทธ์ In Thailand, For Thailand ประกาศแผนธุรกิจที่ครอบคลุมรอบด้าน ชูความสำเร็จในตลาดควบคู่กับความมุ่งมั่นระยะยาวต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทย และการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมล่าสุด Deepal New S07 และ Deepal Hunter K50 REEV Max AWD ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม
เซิน ซิงหัว กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซาท์อีส เอเชีย จำกัด และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฉางอาน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับ Changan ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ Changan ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้กลยุทธ์ In Thailand, For Thailand บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท สร้างโรงงานแห่งแรกนอกประเทศจีนที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับภูมิภาคครอบคลุมทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ช่วยให้เกิดการจ้างงานรวมตลอดห่วงโซ่อุปทาน กว่า 20,000 ตำแหน่ง โดยพนักงานของ Changan กว่า 90 % เป็นคนไทย
สำหรับการดำเนินงานของ Changan ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวมประมาณ 20,000 กว่าคัน โดยยอดขายรวมของไทยคาดว่าจะมีอยู่ที่ 600,000 คัน ซึ่งจะมียอดขายของรถไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 1-1.2 แสนคัน ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมียอดขายรวมอยู่ที่ 4-5 หมื่นคัน
ด้านการผลิต ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 10,000 คัน ใช้ชิ้นส่วน และอะไหล่ที่ผลิตภายในประเทศมากกว่า 60 % และเพิ่มเป็น 80 % ภายในปี 2573 และที่สำคัญเรายังเตรียมส่งออกรถ Deepal S05 จำนวนกว่า 1,000 คัน ที่ผลิตในประเทศไทยเพื่อจำหน่ายในยุโรปภายในสิ้นปีนี้ สนับสนุนการสร้างรายได้ดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ประเทศไทยอีกด้วย สะท้อนพันธกิจของ Changan ในการผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ปีหน้าคาดว่าจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้้นเป็น 20,000 คัน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสังคมไทยให้เติบโตเคียงคู่กันอย่างยั่งยืน
ตั้งเป้าใน 5 ปี (ปี 2573) เดินหน้ากลยุทธ์อย่างรอบด้าน
Changan ตั้งเป้าภายใน 5 ปี (ปี 2573) เดินหน้ากลยุทธ์อย่างรอบด้าน ประกอบด้วย
• นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ : วางแผนที่จะสนับสนุนการ Transform ประเทศไทยจากสังคมที่ใช้รถเครื่องยนต์สันดาป (ICE) สู่ไลฟ์สไตล์การใช้รถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) และพร้อมทั้งสร้างอีโคซิสเตมในประเทศที่ครอบคลุมด้านการวิจัย และพัฒนา การผลิต ห่วงโซ่อุปทาน และการตลาด โดยตั้งเป้าสู่การเป็น Top 3 บริษัทรถยนต์ที่มียอดขายสูงสุดในประเทศไทย ภายในปี 2573
• การพัฒนาผีมือแรงงานไทย : ต่อยอดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ (สถาบันพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ยานยนต์: AHRDA) ในการฝึกอบรมทักษะด้านงานซ่อมบำรุง และบริการรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้ช่างไทยมีความรู้ความเชี่ยวชาญ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่
• การขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง : ขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายเป็น 200 แห่งครอบคลุมทุกจังหวัด และหัวเมืองสำคัญทั่วประเทศไทย
• บริการหลังการขายที่เป็นเลิศ : สร้างเครือข่ายการให้บริการแบบครบวงจรทั่วประเทศ และพัฒนาระบบจัดหาชิ้นส่วนที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตั้งเป้าให้ได้ภายใน 1 ชม.
เปิดตัวยนตรกรรมไฟฟ้าพรีเมียมเอดิชัน 3 รุ่น
ที่ผ่านมา Changan มุ่งมั่นผลักดันประเทศไทยให้เป็นตลาดสำคัญ สะท้อนผ่านการนำเสนอเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าล้ำสมัยอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้ามาทำตลาด โดยเปิดตัว และขยายพอร์ทโฟลิโอผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมทุกเซกเมนท์หลัก ได้แก่ Deepal S07(ดีพอล เอส 07), Deepal L07 (แอล 07), Deepal E07 (อี 07), Deepal S05 (เอส 05), Deepal Hunter K50 (ฮันเตอร์ เค 50), Lumin (ลูมิน) และ Avatr 11 (อวาทาร์ 11) โดยในอีก 3 ปีข้างหน้า Changan มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่อีกมากกว่า 7 โมเดล ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัวยนตรกรรมไฟฟ้าพรีเมียมเอดิชันรวม 3 รุ่น ประกอบด้วย
• Deepal New S07-ยกระดับประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ
ยนตรกรรมที่มาพร้อมแบทเตอรี LFP ขั้นสูง รองรับการชาร์จเร็วจาก 30 % เป็น 80 % ในเวลาเพียง 15 นาที มอบประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และความทนทานในระยะยาว มีระบบกันสะเทือนสไตล์ยุโรป ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ และความแม่นยำในการควบคุมรถ เสริมด้วยดีไซจ์นล้อใหม่ และความละเอียดอ่อนในการปรับรูปลักษณ์ภายนอกที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการการออกแบบที่สดใหม่
• Deepal Hunter K50 REEV Max AWD-นวัตกรรมสำหรับการผจญภัย
โดดเด่นด้วยการออกแบบภายนอก และฟังค์ชันการใช้งานที่ปรับแต่งมาให้ตอบโจทย์การผจญภัย และการใช้งาน มาพร้อมการอัพเกรดดีไซจ์นขององค์ประกอบต่างๆ อาทิ ราวหลังคา ไฟสปอร์ทบนหลังคา ประตูท้ายอเนกประสงค์ สปอร์ทบาร์กันชนเหล็กด้านล่าง และระบบลอคเฟืองท้ายทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ลงตัวทั้งสมรรถนะทรงพลัง และสไตล์ที่ประณีต ตกแต่งภายในด้วยเพดานสีดำ และโทนสีดำ-ส้มเฉดใหม่ ให้ความรู้สึกสปอร์ท และพรีเมียม พร้อมยกระดับความสะดวกสบายด้วย USB Type-C 2 พอร์ท และ Type-A 1 พอร์ท ส่วนระบบ V2L ใหม่ สามารถรองรับเอาท์พุท DC 22 กิโลวัตต์ เพื่อความคล่องตัวที่มากขึ้นสำหรับการจ่ายพลังงานขณะเดินทาง
• Avatr 11 Royal Edition-นิยามใหม่ของความหรูหราระดับผู้นำ
Avatr 11 Royal Edition มอบนิยามใหม่ของความหรูหราระดับแนวหน้าด้วยปรัชญาการออกแบบที่เหนือกว่า และสมรรถนะล้ำสมัย โดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบมอเตอร์คู่ ช่วงล่างใช้เทคโนโลยี Magnetorheological Dampers แบบเดียวกับซูเพอร์คาร์ ช่วยปรับการหน่วงในเสี้ยววินาทีเพื่อการควบคุมที่แม่นยำ และความสบายสูงสุด ตัวถังทูโทนสีเทา และดำตกแต่งด้วยเส้นขอบสีเงินสตาร์ไลน์สุดหรู เสริมด้วยล้อแมกที่หล่อเป็นรูปดาว 7 แฉก ขนาด 22 นิ้ว ช่วยเพิ่มพลวัตเสมือนงานประติมากรรม ภายในห้องโดยสารออกแบบมาสำหรับผู้บริหารระดับสูง ห้อมล้อมด้วยหนังแท้แบบกึ่งอนิลิน (Semi-Aniline Leather) สี Rose-White พร้อมที่นั่ง VIP 4 ที่นั่ง รวมถึงพื้นที่พักผ่อนด้านหลัง ซึ่งมาพร้อมที่วางแขนแบบลอยตัว ฟังค์ชันนวด 8 จุด และระบบชาร์จไร้สาย 50 วัตต์ พร้อมการควบคุมด้วยระบบสัมผัส เรียกได้ว่ารังสรรค์ทุกรายละเอียดมาเพื่อยกระดับการเดินทางสู่ประสบการณ์ทรงพลังที่ทั้งประณีต และสง่างาม เตรียมเปิดตัวภายในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้
"เราไม่เพียงผลิต และจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก แต่ยังเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในท้องถิ่น และสนับสนุนความมุ่งหวังของประเทศไทยที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ควบคู่ไปกับการสร้างโลกใหม่ที่ทั้งชาญฉลาด รักษ์โลก และเชื่อมโยงผู้คนกับเทคโนโลยีได้อย่างไร้รอยต่อ เราจึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนนโยบายยานยนต์ไฟฟ้า "30@30" ของประเทศไทย การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าพรีเมียม 2 รุ่นใหม่นี้ คือ บทพิสูจน์ความเชื่อมั่นของเราในศักยภาพของตลาดไทย และตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคตมาสู่ผู้บริโภคชาวไทย ความสำเร็จในวันนี้ คือ คำมั่นสัญญาของเราที่จะสานต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรม ความร่วมมือ และการมีส่วนเสริมสร้างอนาคตยานยนต์ไทยที่สะท้อนคุณภาพความเป็นเลิศระดับโลก และความภาคภูมิใจของประเทศ”
..........................................................................................................
มอเตอร์เวย์ M82 เปิดวิ่งฟรี 22 ตค. นี้
เปิดวิ่งฟรี มอเตอร์เวย์ M82 บางขุนเทียน-เอกชัย เริ่ม 22 ตค. 68 นี้
มอเตอร์เวย์ M82 เปิดทดลองวิ่งฟรี
กรมทางหลวง เตรียมเปิดให้ทดลองใช้เส้นทาง ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 82 (มอเตอร์เวย์ M82) ตั้งแต่บางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทาง 8.3 กิโลเมตร โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองวิ่งฟรีตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งคาดว่าจะช่วยแบ่งเบาปริมาณการจราจรบนถนนพระราม 2 ได้ถึง 30 % และเพิ่มทางเลือกในการเดินทางลงสู่ภาคใต้
เส้นทางการเดินทาง มอเตอร์เวย์ M82
ส่วนเส้นทางการเดินทาง ประชาชนสามารถใช้จุดขึ้นจากทางเชื่อมต่อทางด่วนกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 สายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก) ช่วงพระประแดง-ต่างระดับบางขุนเทียน เพื่อเข้าสู่ทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-เอกชัย โดยไม่ต้องลงสู่ถนนพระราม 2
3 โครงการถนนพระราม 2 ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
1. โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ระยะทาง 24.7 กม. ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างแบ่งเป็น 2 ระยะ โดยระยะที่ 1 ช่วงบางขุนเทียน-เอกชัย ระยะทาง 8.3 เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว 100 % โดยจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้เส้นทางดังกล่าวได้โดยไม่เก็บค่าผ่านทาง ตั้งแต่วันพุธที่ 22 ตุลาคม 2568
2. โครงการทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 (M82) สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้วระยะที่ 2 ช่วงเอกชัย บ้านแพ้ว ระยะทาง 16 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างความคืบหน้างานโยธารวม 88.19 % ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายน 2569 คาดว่าทั้งโครงการจะเสร็จภายในปี 2569
3. โครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ด้านตะวันตก ระยะทาง 18.7 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างความคืบหน้า 91.88 %









































