ฟาบีโอ การ์ตาราโร สร้างสถิติใหม่ในรายการ พีทีที ไทยแลนด์ กรองด์ปรีซ์ ด้วยยาง Michelin Power Slick
การแข่งขัน พีทีที ไทยแลนด์ กรองด์ปรีซ์ สนามที่ 15 เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างมาร์ค มาร์เกซ ยอดนักบิดสแปนิช จากทีม เรพโซล ฮอนดา ผู้ที่ลุ้นตำแหน่งแชมพ์ รายการ MotoGP กับฟาบีโอ การ์ตาราโร ชาวฝรั่งเศส จากทีม ปิโตรนาส ยามาฮา เอสอาร์ที ผู้ลุ้นแชมพ์สนามที่คว้าตำแหน่ง Pole Position
สถิติสนามที่เคยทำไว้โดย มาร์ค มาร์เกซ ในปีที่แล้วด้วยเวลา 1’30.088 นาที ได้ถูกทำลายอย่างราบคาบโดย ฟาบีโอ การ์ตาราโร ทั้งสถิติสนาม 1’29.719 นาที และการแข่งขัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการพัฒนายางของ มิเชอแลง ที่ใช้สนับสนุนในรายการนี้ นับว่าเป็นเรื่องยากกับสนามที่ยังไม่ได้แข่งขันกับการเก็บข้อมูลครั้งแรกที่เริ่มขึ้นเดือนมีนาคมปีที่แล้วกับช่วง Winter Test ซึ่งครั้งนั้นทาง มิเชอแลง ได้เก็บข้อมูลไว้เพื่อใช้ในการพัฒนาให้เหมาะกับสนามต่อไป
การแข่งขันในปีแรกทาง มิเชอแลง ก็ทำได้แค่เลือกยางที่คิดว่าเหมาะสมกับสนามมาใช้ แต่ในปีนี้ มิเชอแลง ได้พัฒนายางที่ใช้ในการแข่งขันสำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ ซึ่งจะใช้คู่กันกับสนามออสเตรีย
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับยาง มิเชอแลง ที่ใช้กับสนามช้างในปีที่แล้วที่มีอากาศร้อนจัด คือ เนื้ออย่างนิ่มเกินไปทำให้เนื้อยางหมดเร็วเมื่ออุณหภูมิสนามแข่งสูง ศักยภาพของยางในการยึดเกาะพื้นสนามแข่งจะอยู่ในระดับต่ำมาก ส่งผลให้เกิดอาการล้อหมุนฟรี จึงทำให้นักแข่งเลือกใช้ยางฮาร์ดคอมพาวด์กันเป็นส่วนใหญ่ ในปีนี้ทาง มิเชอแลง จึงได้พัฒนาเนื้อยางให้แข็งขึ้นเป็นยางที่มีเนื้อยาง 2 ข้างไม่เท่ากัน เพราะสนามช้างจะมีโค้งขวาอยู่ 7 โค้ง โค้งซ้าย 5 โค้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับการแข่งขันในครั้งนี้ คือ นักแข่งสามารถใช้ความเร็วได้เต็มที่จากเนื้อยางที่แข็งขึ้น ทำให้นักแข่งเกือบทุกคนเลือกใช้ยางหน้าเป็นยางฮาร์ดคอมพาวด์ ส่วนยางหลังจะเลือกใช้ยางฟอร์จ จะมีเพียงนักแข่งเพียงแค่คนเดียวเลือกใช้อย่างหน้าเป็นมีเดียมนั่นก็คือ ฮอร์เก ลอเรนโซ
จากสูตรยางใหม่ทำให้สถิติสนามถูกทำลายลงไปอย่างราบคาบ ฟาบีโอ การ์ตาราโร ขึ้นครองตำแหน่ง Position โดยมี มาเวอริค บีญาเลส ตามมาเป็นอันดับ 2 และอันดับ 3 มาร์ค มาร์เกซ
การแข่งขันแต่ละสนาม มิเชอแลง จะจัดเตรียมความพร้อมด้วยยางสำหรับใช้ในการแข่งขันจำนวน 1,400 เส้น แต่การใช้งานจริงจะอยู่ที่ 900 เส้น ซึ่งนักแข่งแต่ละคนจะได้ยางหน้า 10 เส้น ยางหลัง 13 เส้น ส่วนยางฝนด้านหน้า 5 เส้นด้านหลัง 6 เส้น โดย มิเชอแลง จะมียางทุกแบบที่ใช้สำหรับการแข่งขันไว้รองรับ ซึ่งยางสลิคจะมีทั้งฟอร์จ มีเดียมและฮาร์ดคอมพาวด์ รวมไปถึงยางสำหรับการแข่งขันในพื้นเปียกด้วย
ในการแข่งขันแต่ละครั้งยางที่ผ่านการใช้งานแล้วจะถูกเก็บข้อมูลเอาไว้โดยทาง มิเชอแลง จะมีทีมงานจำนวน 20 คน ซึ่งจะแบ่งออกเป็นช่างถอดล้อ 11 คน มีวิศวกรที่จะเข้าไปประจำในแต่ละทีมคอยให้ข้อมูลต่างๆ สำหรับการเลือกใช้ยาง 7 คน อีก 2 คนจะเป็นผู้บริหารที่คอยดูแลประสานงาน ทำให้ มิเชอแลง มีข้อมูลการใช้ยางของนักแข่งแต่ละคนครบถ้วน
สำหรับการประมวลผลของนักแข่งแต่ละคนที่ใช้ยางแบบหนักๆ ก็จะเป็นมาร์ค มาเกซและคาร์ล ครัทช์โลว์ ส่วนที่ใช้ยางแบบนุ่มนวลก็จะมี การ์ตาราโรกับลอเรนโซ โดยยางหลังที่ใช้สำหรับการแข่งขันจะต้องรองรับกับอุณหภูมิที่สูง 150 องศา ดังนั้นเพื่อรักษาคุณภาพของยางให้คงที่จึงเก็บไว้ในตู้คอนเทนเนอร์ที่มีเครื่องปรับอากาศรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในระดับ 20 องศา โดยแรงดันลมยางด้านหน้าที่ใช้จะอยู่ที่ 1.09 บาร์ส่วนล้อหลังจะอยู่ที่ 1.7 บาร์ ซึ่งในแต่ละสนามจะมีการปรับค่าลมยางให้เหมาะสมกับสภาพอากาศของแต่ละทีมด้วย