รายงานข่าวจากเยอรมนี ระบุว่า ค่าย Volkswagen เปิดภาพร่างรถกระบะ Amarok รุ่นใหม่ มาทดแทนรุ่นเดิม พัฒนาโดย Volkswagen Commercial Vehicles จัดจำหน่ายเฉพาะผู้จำหน่ายรถแวน ทั่วประเทศ เท่านั้นVolkswagen Amarok รุ่นแรก เปิดตัวในอังกฤษ เมื่อปี 2555 และปรับปรุงโฉมในปี 2559 โดยเปลี่ยนจากเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร TDI เป็น V6 3.0 ลิตร TDI ในอังกฤษ มีจำหน่ายทั้งในแบบมาตรฐาน และเมกะแคบ ขณะที่ยุโรป มีรุ่น ดับเบิลแคบ จำหน่ายด้วย การใช้งานของผู้บริโภคในยุโรป ใช้สำหรับการทำงานในชีวิตประจำวัน และในวันหยุดสุดสัปดาห์ จะใช้รถกระบะที่เป็นหัวลาก สำหรับลากรถบ้าน หรือแคร่บรรทุกรถดัดแปลง เพื่อใช้ในการเล่นกีฬาของแต่ละบุคคล เลยจำเป็นต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ มาใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เพื่อแรงฉุดลากมากขึ้น ในปี 2563 ทั่วโลกต่างประสบปัญหาโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 Volkswagen ได้ระงับสายการผลิตรถกระบะ Amarok แต่หลังจากที่ผลิตเพื่อเก็บสตอคไว้จำนวนมากแล้ว เพื่อทำให้มีรถกระบะขายไปจนกว่ารถรุ่นใหม่ จะออกจากสายการผลิต ในปี 2564 Volkswagen วางตำแหน่งรถกระบะ Amarok ไว้สูงกว่ารถกระบะทั่วไปของค่ายอื่น สามารถตั้งราคาได้สูงขึ้น ต้องยอมรับว่า คู่แข่งนั้นมีเพียงรถ Mercedes-Benz X-Class เท่านั้น ส่วนกระบะยี่ห้ออื่น แม้จะเป็นรุ่นทอพสุดของค่าย ซึ่งมีข้อมูลทางเทคนิคต่ำกว่า Amarok รวมถึงคุณภาพของวัสดุที่ใช้ ก็แตกต่างกันมากเช่นกัน เครื่องยนต์ดีเซล แบบ V 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร มีให้เลือก 3 รุ่น แตกต่างกันที่พละกำลัง เริ่มที่ 163, 204 และ 258 แรงม้า รุ่นมาตรฐานใช้กำลังน้อยที่สุด มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พาร์ทไทม์ มีแรงฉุดลาก 3 ตัน ส่วนรุ่นกลาง ให้กำลัง 204 แรงม้า มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา 4MOTION ให้เลือกใช้ และรุ่นทอพ 258 แรงม้า คงไม่ต้องบอกว่าอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีมากมาย ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลือง เฉลี่ยอยู่ที่ 11.9 กม./ลิตร ตามมาตรฐาน WLTP ด้วยถังน้ำมันขนาด 80 ลิตร น่าจะวิ่งได้ระยะทางกว่า 900 กม. ทีเดียว ทางด้านเทคโนโลยี ติดตั้งคอมพิวเตอร์ ที่จะคอยเตือนว่า ถึงเวลาต้องเข้ารับการบริการแล้วนะ โดยคำนวณจากสภาพการขับขี่ของเจ้าของ กำหนดเข้ารับบริการทุก 2 ปี หรือ 40,000 กม. ก็แทบจะทำให้เจ้าของลืมไปได้เหมือนกัน และยังมีบริการเข้าตรวจสอบฟรี ภายในระยะเวลา 4 ปี เป็นของแถมอีกต่างหาก
บทความแนะนำ