รายงานข่าวจากมิลาน ประเทศอิตาลี ระบุว่า กลุ่ม Stellantis ประเมินเป้าหมายการทำกำไรในปีนี้เพิ่มขึ้น หลังครึ่งปีแรก ผลประกอบการแสดงตัวเลขเพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ สามารถทำผลกำไรได้ในอเมริกาเหนือ และประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างได้ผลกลุ่ม Stellantis มีเป้าหมายที่จะเพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานขึ้นอีกราว 10 % จากเดิมที่ประมาณการเอาไว้ประมาณ 5.5-7.5 % เมื่อตอนต้นปี หลังการรวมกลุ่ม Fiat Chrysler Automobiles (FCA) และกลุ่ม PSA เข้าด้วยกันเมื่อเดือนมกราคม 2564 กลุ่ม Stellantis รายงานว่า ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก สามารถทำรายได้ก่อนห้กค่าใช้จ่ายและภาษี ได้ถึง 8.62 พันล้านยูโร หรือประมาณ 344.9 พันล้านบาท เปรียบเทียบกับที่เคยทำได้ 752 ล้านยูโร ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต้วเลขในการทำกำไร เพิ่มขึ้นเป็น 11.4 % มากกว่า 2 เท่าของที่เคยประเมินเอาไว้เมื่อเดือนมีนาคม ในช่วงครึ่งปีแรก ตลาดอเมริกาเหนือ นับเป็นที่มั่นสำคัญของกลุ่ม จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของ Jeep และรถกระบะ Ram มีผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 42 % จำนวน 32.4 พันล้านยูโร หรือประมาณ 1,296 พันล้านบาท สามารถทำส่วนต่างได้ถึง 16.1 % ขณะที่ตลาดในยุโรป ทำส่วนต่างได้เพียง 8.8 % เท่านั้น รายงานระบุว่า ยี่ห้อรถหรู Maserati สามารถทำรายได้จากการดำเนินงาน 29 ล้านยูโร หลังจากที่ขาดทุนมาแล้ว 2 ปี กลุ่ม Stellantis ไม่ได้รายงานผลการดำเนินงานในแต่ละไตรมาส ในตลาดสหรัฐอเมริกา กลุ่ม Stellantis ทำยอดขายเติบโตถึง 10 % จากที่เคยทำได้ 8 % และคาดหวังว่า จะสามารถขยายตลาดในยุโรปได้ประมาณ 10 % ขณะเดียวกัน วิกฤตการณ์ขาดแคลนชิพในการประกอบ ทำให้กลุ่ม Stellantis สามารถเพิ่มราคาตัวรถ ที่ติดตั้งระบบอีเลคทรอนิคส์ชั้นสูง การประมาณการทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับแนวคิดที่ว่า จะไม่มีความขาดแคลนชิพเกิดขึ้นอีก รวมทั้งไม่มีการลอคดาวน์ประเทศในยุโรป และสหรัฐอเมริกา อันเนื่องจากโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 เกิดขึ้น ในช่วงครึ่งปีแรก กลุ่ม Stellantis ได้รับผลกระทบจากความขาดแคลนชิพที่ใช้ในการประกอบ ทำให้สายการผลิตเกิดความล่าช้า ซึ่งกระทบกระเทือนกับรถยนต์ในสายการผลิตประมาณ 700,000 คัน และผลกระทบดังกล่าว น่าจะยังคงอยู่จนกระทั่งถึงสิ้นปี Richard Palmer กรรมการด้านการเงิน ตอบคำถามแก่ผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ เขายืนยันว่า ยังมองไม่เห็นว่าจะสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนชิพ ได้ก่อนไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขณะที่ราคาชิ้นส่วนอื่นๆ มีการขยับตัวพอสมควร ในครึ่งปีแรก การปรับราคาวัตถุดิบ ซึ่งรวมทั้งเหล็ก, อลูมิเนียม, วัสดุหายาก และทองแดง ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 700 ล้านยูโร และคาดว่าจะทำให้เกิดผลกระทบได้ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เมื่อจบเดือนมิถุนายน กลุ่ม Stellantis ผลิตรถได้ประมาณ 882,000 คัน ลดลงราว 1 ใน 3 ในปีก่อนหน้านี้ จากที่ FCA และ PSA เคยมีอยู่ในสตอค ในครั้งนี้ Stellantis ระบุว่า สามารถประหยัด และรวบรวมเงินสดจากการควบรวม ได้ประมาณ 1.3 พันล้านยูโร หรือประมาณ 52 พันล้านบาท เพียงในช่วงครึ่งแรกของปี รวมทั้ง Richard Palmer เชื่อมั่นว่า กลุ่มฯ สามารถทำตามเป้าหมายในระยะยาว เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย 5 พันล้านยูโร โดยตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ได้ถึง 80 % ภายในปี 2567 กลุ่ม Stellantis เตรียมการที่จะแนะนำรถไฟฟ้า รุ่นใหม่ 11 รุ่น และรถไฮบริด-ไฟฟ้า อีก 10 รุ่น ภายในเวลา 2 ปี นับจากนี้