ธุรกิจ
Ford แนะนำ Everest เจเนอเรชันใหม่
Ford Motor Company เผยโฉม Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ครั้งแรกในโลก ด้วยการผสานสมรรถนะเพื่อการผจญภัยเข้ากับความสะดวกสบายอันเหนือระดับ และเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ในรูปแบบของรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่พร้อมลุย หรูหรา และสนุกในทุกการเดินทาง
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้แก่คนรักการผจญภัยตัวจริงด้วยสมรรถนะที่โดดเด่น ภายในห้องโดยสารออกแบบอย่างประณีต พิถีพิถัน เพื่อรองรับผู้โดยสาร 7 ที่นั่ง พร้อมสร้างความทรงจำที่น่าประทับใจในทุกการเดินทางด้วยเทคโนโลยี และระบบความปลอดภัยเหนือระดับ
เอียน ฟอสตัน หัวหน้าวิศวกร พแลทฟอร์ม Ford Everest กล่าวว่า เมื่อเราเริ่มนึกถึงการพัฒนารถ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ เราไม่ได้เริ่มตามขั้นตอนแบบเดิมๆ แต่เราเริ่มจากปลายทาง คือ ลูกค้าของเรา ซึ่งลูกค้า Ford Everest คือ คนที่รักการผจญภัย ชอบทำกิจกรรมสนุกๆ และได้เดินทางไปกับครอบครัว และเพื่อนฝูง ลูกค้ากลุ่มนี้ล้วนให้ความสำคัญกับการใช้งานแบบอเนกประสงค์ สมรรถ นะ และพื้นที่ที่กว้างขวางแบบรถยนต์นั่งอเนกประสงค์ ไม่ว่าพวกเขาจะบุกตะลุยไปบนผืนทราย พื้นหิน หรือในเมืองก็ตาม
เมื่อนำความเห็นของลูกค้ามาพิจารณาแล้ว ทีมวิศวกร และนักออกแบบของ Ford จึงกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ได้อย่างชัดเจน นั่นคือ การพัฒนารถที่ภายนอกแข็งแกร่ง สะดุดตา
ภายในหรูหราเป็นส่วนตัว พร้อมสมรรถนะดีเยี่ยมเพื่อทุกการผจญภัย
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ จึงเผยโฉม 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น Sport รุ่น Titanium+ และรุ่นย่อยใหม่ล่าสุด คือ รุ่น Platinum Ford จะวางจำหน่ายรุ่นย่อยต่างๆ แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างเหมาะสม โดยรายละเอียดอื่นๆ จะได้รับการเปิดเผยช่วงใกล้การเปิดตัวในประเทศนั้นๆ
ภายนอกแข็งแกร่ง ภายในหรูหราเป็นส่วนตัว
ระยะฐานล้อที่กว้าง และระยะระหว่างล้อหน้า และหลังที่เพิ่มขึ้นทำให้นักออกแบบสร้างสรรค์รูปลักษณ์ที่ดูล้ำสมัย และบึกบึนมากขึ้นให้แก่ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ สะท้อนดีเอนเอด้านการออกแบบระดับโลกของ Ford อย่างชัดเจนบนไฟหน้าใหม่รูปตัว C และลายเส้นอันทรงพลังบนกระจังหน้า ส่วนหน้าของรถยังมีการผสมผสานขององค์ประกอบที่มีทั้งแนวตั้ง และแนวนอน สื่อถึงเสถียร ภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้น
เส้นด้านข้างตัวถังทอดยาวจากด้านหน้าจรดท้ายรถเน้นการออกแบบตัวถังที่สะดุดตา ฐานล้อที่กว้างทำให้ซุ้มล้อใหญ่โดดเด่น เพิ่มความแข็งแกร่ง และทันสมัยให้แก่รถ
แมกซ์ วูล์ฟ ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบ Ford ประเทศจีน และตลาดนานาชาติ กล่าวว่า เราเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เห็น Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ระหว่างการพัฒนาในขั้นตอนต่างๆ และพวกเขาต่างแสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกัน คือ ความชอบรูปลักษณ์ที่ดูแข็งแรง สมบุกสมบัน โดยที่ยังคงความเรียบหรู และทันสมัย ลูกค้าบอกกับเราว่า Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ทำให้รู้สึกมั่นใจและพร้อมที่จะลุยพื้นที่ออฟโรด เพราะรถคันนี้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับการเป็นรถยนต์นั่งแบบอเนกประสงค์อย่างแท้จริง
สิ่งที่ลูกค้าต้องการสำหรับภายในห้องโดยสารนั้นแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เพราะลูกค้าต่างมองหาความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัว
“สิ่งแรกๆ ที่คุณจะสังเกตได้เมื่อขึ้นไปนั่งในรถ คือ ความเงียบของห้องโดยสาร เราอาจจะคุ้นเคยกับการนั่งในรถที่มีที่นั่งหลายแถว ทำให้ต้องหันไปตะโกนคุยกับผู้โดยสารที่นั่งแถวหลัง” วูลฟ์ กล่าว “นี่คือ สิ่งที่เราต้องการปรับให้ดีขึ้นสำหรับ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ให้ภายในห้องโดยสารเงียบพอที่จะพูดคุยกับครอบครัว หรือเพื่อนฝูงได้ง่ายๆ และใช้เวลาอันมีค่าระหว่างเดินทางไปด้วยกัน ”
ทีมออกแบบยังทุ่มเทความใส่ใจในการพัฒนาอุปกรณ์ และการตกแต่งภายในห้องโดยสาร โดยนำแรงบันดาลใจมาจากบ้านสมัยใหม่ การใช้วัสดุตกแต่งที่ให้ความรู้สึกหรูหรา และติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศในทุกส่วนที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ความกว้างขวางในห้องโดยสาร Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ เกิดจากการออกแบบที่สอดรับกันหลายส่วน ตั้งแต่แผงหน้าปัดด้านหน้าที่วางเต็มความกว้างของพื้นที่ คอนโซลกลางพร้อมที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง และที่วางแก้วน้ำแบบพับเก็บได้สำหรับเบาะคู่หน้า ในบางรุ่นรถยังรองรับระบบการชาร์จแบบไร้สาย เกียร์อัตโนมัติแบบ Electronic Shifter หุ้มด้วยหนังสวยงามจับถนัดมือ พร้อมเบรคไฟฟ้า เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง สามารถปรับอุณภูมิ และระบายอากาศได้ เบาะนั่งผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้า 8 ทิศ ทาง รองรับการจดจำการตั้งค่าส่วนตัวของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร และเบาะนั่งแถว 2 ยังสามารถปรับอุณภูมิได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย
เบาะนั่งแถวที่ 3 เข้า-ออกได้ง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบให้เบาะนั่งแถวที่ 2 ขยับมาด้านหน้ามากกว่าเดิม นอกจากนี้ ผู้โดยสารทุกคนยังมีพื้นที่เก็บสัมภาระ และชาร์จอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์ของตนเองได้ด้วยการติดตั้งปลั๊กไฟทั้ง 3 แถว
Ford ให้ความสำคัญกับเบาะนั่งที่ปรับได้หลายแบบ โดยเบาะนั่งแถวที่ 2 ปรับเลื่อนได้ และพับได้แบบแบ่ง 60:40 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ซึ่งทำให้รถจุผู้โดยสารได้ 7 คน แบ่งที่นั่งในอัตราส่วน 50:50 และพับได้แบบไฟฟ้าสำหรับบางรุ่น ที่สำคัญเบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบบแบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระยาวๆ ได้อย่างปลอดภัย
ทีมออกแบบคิดค้นวิธีการป้องกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้ายรถ โดยสร้างขอบเล็กๆ ที่เรียกกันเองในทีมว่า “จุดดักแอพเพิล” ( Apple Catcher) บริเวณด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ และยังมีที่เก็บของใต้พื้นรถเพื่อความเป็นระเบียบของห้องโดยสาร
เทคโนโลยีเพื่อลูกค้า
นอกจากความประณีต และความสะดวกสบายยิ่งขึ้นแล้ว Ford ยังให้ความสำคัญกับการยกระดับอุปกรณ์เชื่อมต่อการสื่อสาร และเทค โนโลยีอันทันสมัยภายในห้องโดยสารของ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 8 หรือ 12.4 นิ้วขึ้นอยู่กับแต่ ละรุ่นย่อย และยังมีหน้าจอแบบสัมผัสความคมชัดสูงขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว อีกด้วย
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงเพื่อการสื่อสาร ควบ คุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงข้อมูลต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโมเดมมาจากโรงงานเพื่อให้ Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ เชื่อมต่อกับแอพพลิเคชัน Ford Pass™ เพื่อยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถด้วยความสามารถในการสตาร์ทรถจากระยะไกล การตรวจเชคสถานะต่างๆ ของรถ รวมไปถึงการลอค และปลดลอคผ่านโทรศัพท์มือถือ
หน้าจอทัชสกรีนแนวตั้งยังเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา โดยมีหน้าจอแยกส่วนเพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ หรือช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการเดินทางบนสภาพเส้นทางที่มีความสมบุกสมบัน
เครื่องยนต์ใหม่ และขุมพลังเหนือชั้น
ลูกค้าบอกกับเราว่าพวกเขาต้องการรถที่มีกำลัง และแรงบิดมากขึ้นสำหรับการลากจูง การบรรทุกของหนัก และการเดินทางบนเส้นทางสุดทรหด ทีมงานจึงเลือกนำเครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร วี 6 เทอร์โบ มาปรับจูนให้เหมาะกับ Ford Everest เพื่อเป็น 1 ใน 3 ตัวเลือกของเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลสำหรับบางประเทศ
ปริติกา มหาราช ผู้จัดการโครงการ Ford Everest กล่าวว่า เครื่องยนต์ดีเซล 3.0 ลิตร วี 6 เทอร์โบ ให้กำลัง และแรงบิดในแบบที่ลูก ค้าต้องการจากเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ โดยเครื่องยนต์แข็งแกร่งมากในแง่ของพละกำลัง และแรงบิดที่มหาศาล แต่ยังคงไว้ซึ่งความเงียบเมื่ออยู่บนถนน
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ยังมาพร้อมตัวเลือกเครื่องยนต์ที่เหมาะกับไลฟสไตล์ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซิน 2.3 ลิตร Eco Boost และเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร เทอร์โบ อีก 2 แบบ ทั้งที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติแบบซีเลคท์ชิฟท์ 10 จังหวะ อันทรงประสิทธิภาพ
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยวเน้นให้พละกำลัง แรงบิด และการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะที่เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่ เป็นเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง และชาญฉลาดสำหรับลูกค้าที่ต้องการกำลังเครื่องยนต์ที่มากขึ้น และยังคงคำนึงถึงเรื่องการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
สมรรถนะดีเยี่ยมเพื่อทุกการผจญภัย
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ มาพร้อมฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มม. มอบการควบคุมบนถนนได้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่การปรับแต่งชอคอับใหม่ช่วยเพิ่มความสนุกเร้าใจในการขับขี่ และช่วยให้การควบคุมรถทั้งบนถนน และเส้นทางออฟโรดง่ายยิ่งกว่าเคย
“Everest เป็นรถอเนกประสงค์ที่ได้รับการยอมรับมาโดยตลอดว่ามีช่วงล่างที่ดีเยี่ยมทั้งสำหรับการขับบนทางเรียบ และออฟโรด แต่ฐานล้อที่กว้างขึ้น ทำให้ทีมไดนามิคส์เชื่อมโยงรถเข้ากับผู้ขับขี่ได้ดียิ่งกว่าเคย ทำให้การขับขี่สนุก และควบคุมรถได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขับในเมือง หรือบนทางหลวงนอกเมือง” ฟอสตัน กล่าว
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ พร้อมพาคุณไปสัมผัสทุกการผจญภัย ด้วยตัวเลือกระบบการขับขี่ 4 ล้อ 2 รูปแบบ วัสดุป้องกันช่วงล่าง โหมดการขับขี่ออฟโรดที่หลากหลาย เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ตะขอคู่หน้า และช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Up Fitter Switch
ระบบการขับขี่ 4 ล้อทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วยเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ พร้อมการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ขณะรถเคลื่อนที่ด้วยระบบไฟฟ้า (Electronic Shift-On-The-Fly) หรือเรียกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์ กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงแบบฟูลล์ไทม์ ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical Transfer Case-EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้ และในบางประเทศ Everest ยังมาพร้อมตัวเลือกระบบการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อด้วย
หน้าจอแสดงผลสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดใน Everest แสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถ และสภาพเส้นทางด้านหน้าจากกล้องหน้าพร้อมกับแนวเส้นกะระยะ ช่วยผู้ขับขี่ฝ่าทุกอุปสรรคได้ง่ายขึ้น เพียงกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูข้อมูลได้ครบครัน ทั้งระบบส่งกำลัง และระบบลอคเฟืองท้าย มุมการบังคับควบคุมพวงมาลัย และระดับความเอียงของรถ
Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มม. และมีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กก. (พร้อมเบรค) ขณะที่ห้องเครื่องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแบทเตอรีสำรองอีกลูก เพื่อส่งมอบพลังให้แก่อุปกรณ์เสริม
ราวหลังคาของ Everest เป็นมากกว่าการออกแบบเพื่อความสวยงาม แต่นี่คือ อุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อการผจญภัยโดยเฉพาะ รอง รับน้ำหนักได้มากถึง 350 กก. ขณะรถจอดอยู่กับที่ และรับน้ำหนักได้มากถึง 100 กก. ขณะรถเคลื่อนที่ มอบการใช้งานแบบอเนก ประสงค์ยิ่งขึ้นเพื่อบรรทุกสิ่งของ เช่น จักรยาน เรือแคนู กล่องสัมภาระ ไปจนถึงเทนท์บนหลังคารถ พร้อมจุดยึดที่รองรับการใช้งานหลากหลายเหมาะสำหรับการติดตั้ง หรือใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ
เสริมความมั่นใจด้วยเทคโนโลยีช่วยการขับขี่
Ford Everest อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยการขับขี่ และอุปกรณ์ปกป้องความปลอดภัยที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อมอบความสบายใจ และช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิมากขึ้น
เริ่มต้นจากถุงลมนิรภัยใหม่ติดตั้งระหว่างผู้ขับ และผู้โดยสารด้านหน้า เพิ่มการป้องกันในกรณีที่มีการชนจากด้านข้าง และถุงลมนิร ภัยคู่ด้านหน้าป้องกันเข่า และขา ทำให้ Everest มาพร้อมถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 9 ตำแหน่ง รวมถึงถุงลมนิรภัยด้านคนขับ และผู้โดย สารตอนหน้า ถุงลมนิรภัยด้านข้างระดับหน้าอกทั้ง 2 ฟาก และม่านถุงลมนิรภัยคู่ด้านข้างครอบคลุมถึงที่นั่ง 3 แถว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่จำหน่าย
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0 IX ใน Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัยเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ระบบจะช่วยบังคับพวงมาลัย ปรับเกียร์ เร่งความเร็ว และเบรคในการจอดรถแบบขนาน หรือเข้าช่องจอดได้อย่างง่ายดาย และระบบจะนำรถออกจากที่จอดรถแบบขนานเมื่อได้รับคำสั่ง
ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี ใน Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ที่มีในบางรุ่น และบางประเทศ มอบทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้นด้วยคุณสม บัติอันชาญฉลาด ได้แก่ ระบบปรับระดับแสงไฟตามความเร็วอัตโนมัติที่ปรับความสว่างของแสงไฟด้านหน้าตามระดับความเร็วของรถ นอกจากนี้ ไฟหน้ายังมาพร้อมความสามารถในการปรับแสงตามการเลี้ยวทั้งขณะจอดนิ่ง และเคลื่อนที่ ไปจนถึงไฟสูงแบบป้อง กันแสงสะท้อน มอบความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่ และไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติใหม่ใน Ford Everest มีทั้งหมด 3 แบบ ขึ้นอยู่กับรุ่น และประเทศที่วางจำหน่าย ประกอบด้วย
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังค์ชัน Stop and Go (Adaptive Cruise Control with Stop and Go) ช่วยผู้ขับขี่รักษาความเร็วตามที่ตั้งไว้ และรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้า พร้อมเบรคให้รถจอดสนิทเมื่อจำเป็น ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังค์ชัน Stop and Go และควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง (Adaptive Cruise Control with Stop and Go and Lane Centering) จับเส้นแบ่งช่องทาง และช่วยควบคุมให้รถอยู่ตรงกลางช่องทางได้
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะ (Intelligent Adaptive Cruise Control) อ่านป้ายจราจร และปรับความเร็วอัตโน มัติตามที่กำหนดได้
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น และเทคโนโลยีใหม่ๆ ใน Ford Everest เจเนอเรชันใหม่ ประกอบด้วย
(ใหม่) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางผสานระบบตรวจจับขอบถนน (Lane-Keeping System with Road-Edge Detection) ช่วยป้องกันรถออกจากเส้นทางในพื้นที่ชนบท
(ใหม่) ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive Steer Assist) ออกแบบให้ทำงานขณะขับขี่ในเมืองหรือบนทางด่วน โดยใช้เรดาร์ และกล้องตรวจจับรถที่ขับด้วยความเร็วต่ำ หรือหยุดนิ่งด้านหน้า และส่งแรงช่วยผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยหลบเพื่อลดความเสี่ยงจากการชน
(ใหม่) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse Brake Assist) ช่วยให้ถอยหลังเพื่อเข้าซองจอด หรือจอดในพื้นที่แคบๆ ด้วยการเตือนด้วยเสียง และภาพ ระบบสามารถตรวจจับรถ จักรยาน และคนเดินถนนที่ผ่านมาด้านหลังได้ และยังช่วยเบรคให้รถจอดสนิทได้ด้วยหากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองอย่างทันท่วงที
(ใหม่) ระบบตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง (Blind Spot Information System with Trailer Coverage) ตรวจจับจุด บอดรอบคันรวมถึงส่วนต่อพ่วง โดยจะแจ้งเตือนผู้ขับขี่เมื่อระบบคาดว่าอาจเกิดอันตราย ระบบนี้รองรับทเรเลอร์ที่มีความกว้างสูงสุด 2.4 ม. และยาว 10 ม.
ระบบป้องกันการชนเพื่อป้องกันการชนบริเวณทางแยก (Pre-Collision Assist with Intersection Functionality) ช่วยส่งแรงเบรครถอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยง หรือลดผลกระทบจากอุบัติเหตุ ขณะที่ผู้ขับขี่กำลังเลี้ยวรถผ่านช่องทางที่มีรถวิ่งสวน เมื่อระบบประเมินว่าอาจเกิดการชนได้
สร้างประสบการณ์การใช้งานที่เหนือระดับ
“เสียงตอบรับจากลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ชอบ และสิ่งที่ต้องปรับปรุงใน Ford Everest รุ่นปัจจุบัน ช่วยให้เราพัฒนารถที่เหนือระดับ อัดแน่นด้วยสมรรถนะ ความปลอดภัย เทคโนโลยีอัจฉริยะ และขุมพลังที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเดิม” ไดแอน เครก ประธานตลาดนานาชาติ Ford Motor Company กล่าว “และที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ เสียงจากลูกค้ายังช่วยให้เราสร้างประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถที่ดีเยี่ยมอีกด้วย”
“ผู้ขับขี่รถ Ford Everest มีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำ ทั้งแบ่งเวลาทำงาน ใช้เวลากับครอบครัว และเพื่อน และทำกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย” เครก กล่าวเสริม “พวกเขาต้องการประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถที่ง่ายขึ้น และเสริมสร้างความรู้สึกที่ดี Ford จึงพัฒนาบริ การมากมายซึ่งแตกต่างกันในแต่ละประเทศ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของอันเหนือระดับที่ตรงกับความต้องการของลูก ค้า”
บริการต่างๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ ประกอบด้วย
แอพพลิเคชัน Ford Pass ช่วยให้ลูกค้านัดเข้ารับบริการผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น บริการด่วน และบริการรถเคลื่อนที่ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสตาร์ทรถผ่านทางแอพพลิเคชัน ได้ เหมาะกับการใช้งานทั้งในวันที่ร้อน และหนาวจัด
บริการให้ยืมรถระหว่างเข้ารับบริการ ให้ลูกค้าสามารถยืมใช้งานรถระหว่างที่รถเข้ารับบริการได้
บริการรับ-ส่งคืนรถ ลูกค้าไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน หรือออฟฟิศ ส่งมอบความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้ายิ่งกว่าเคย
สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ได้แก่ การจองรถผ่านระบบออนไลน์
ผู้เชี่ยวชาญผลิตภัณฑ์ Ford Everest พร้อมตอบทุกคำถามเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ในรถฟังค์ชัน "รอบรู้รถฟอร์ด" (Master Your Vehicle) บนแอพพลิเคชัน Ford Pass ช่วยให้ลูกค้าใช้รถได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อุ่นใจกับบริการตรวจสอบสถานภาพการทำงานของรถผ่านแอพพลิเคชัน ทีมเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกลูกค้า
“เรามองว่าการซื้อรถเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปด้วยกันกับเรา” เครก กล่าว “เราจึงมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างลูกค้าตลอดทุกช่วงเวลาในการเป็นเจ้าของรถ Ford”
ABOUT THE AUTHOR
ุนุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)