ภาคอีสานตอนเหนือได้กลายเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวสายบุญไปแล้ว จากตำนานความเชื่อที่มี ถูกเล่าขานผูกโยงผ่านสถานที่แถบนี้อย่างลงตัว “ชีวิตอิสระ” ขออัพเดทสถานที่เที่ยวจังหวัดบึงกาฬ ในปี 2568 จะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน ไปชมกันเลย
เราออกเดินทางด้วยรถ FORD EVEREST WILDTRAK (ฟอร์ด เอเวอเรสต์ ไวลด์ทแรค) จากกรุงเทพฯ ตามทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) และทางพิเศษ M6 เพื่อมุ่งหน้าไปยังจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย และบึงกาฬ ระยะทางประมาณ 650 กม. ใช้เวลาประมาณ 10 ชม. ซึ่งเร็วกว่าที่คิด เพราะเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบขนาด 2.0 ลิตร 190 แรงม้า ที่ทำงานผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ แบบ E-SHIFTER อย่างราบรื่น ผมใช้ความเร็วเดินทางประมาณ 100-120 กม./ชม. วัดอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ประมาณ 12-13 กม./ลิตร ถือว่าประหยัดใช้ได้ยามเดินทางไกล
บึงกาฬเคยเป็นตำบลหนึ่งในอำเภอไชยบุรี จังหวัดนครพนมมาก่อน ต่อมาข้าราชการกระทรวงมหาดไทยพบหนองน้ำขนาดใหญ่ชื่อ “บึงกาญจน์” จึงตั้งชื่ออำเภอใหม่ว่า “บึงกาญจน์” และปรับตัวสะกดให้เป็น “บึงกาฬ” เพื่อความเข้าใจง่าย พร้อมย้ายที่ทำการอำเภอมาอยู่ริมแม่น้ำโขง และในปี 2537 มีข้อเสนอให้แยกพื้นที่ 8 อำเภอ จากจังหวัดหนองคาย มาจัดตั้งจังหวัดใหม่ กระทั่งประกาศอย่างเป็นทางการ “ให้เป็นจังหวัดที่ 77 ของประเทศไทย” เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา
จุดหมายแรก คือ “แก่งอาฮง” อยู่บริเวณวัดอาฮงศิลาวาส ที่ประดิษฐานของพระพุทธคุวานันท์ศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของชาวจังหวัดบึงกาฬ เชื่อกันว่า ตรงนี้เป็นจุดที่ลึกสุดของแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก “สะดือแม่น้ำโขง” เคยมีการวัดความลึกของระดับน้ำบริเวณนี้ได้ถึง 98 วา หรือเกือบ 200 ม. ฝั่งตรงข้ามเป็นดินแดนของ สปป.ลาว มีโขดหินขนาดใหญ่ และถ้ำใต้โขดหิน เป็นที่อยู่ของปลาบึกยักษ์ ว่ากันว่าใครที่ทำสิ่งไม่ดี หรือลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มักจะเสียชีวิตในแม่น้ำโขง และศพจะลอยมากองอยู่ที่บริเวณนี้เกือบทุกปี
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ถือเป็นสัญลักษณ์ความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อเชื่อมต่อความสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจ และสังคม ของจังหวัดบึงกาฬ ประเทศไทย กับแขวงบอลิคำไซ สปป.ลาว
สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 นี้ เริ่มก่อสร้างในปี 2554 บริเวณบ้านดอนยม ตำบลไคสี อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ และเชื่อมต่อทางหลวงหมายเลข 13 ที่บ้านกล้วย เมืองปากซัน แขวงบอลิคำไซ ซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาทางหลวงของ สปป.ลาว ที่จะก่อสร้างถนนเลี่ยงเมืองปากซันด้านตะวันออก ตัวสะพานมีรูปแบบเป็นสะพานขึงคอนกรีทอัดแรงรูปกล่องจราจร ความยาว 13.5 กม. ขนาด 2 ช่องจราจร โดยทั้งโครงการมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 16.18 กม. แบ่งเป็นงานก่อสร้างฝั่งไทย 12.13 กม. และฝั่งลาว 3.18 กม. ตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง และใกล้จะแล้วเสร็จในปี 2568 นี้ ซึ่งคาดหมายว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว และโอกาสใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจในอนาคต
วัดสุดเขตแดนสยาม ตั้งอยู่ในตำบลวิศิษฐ์ อำเภอเมืองบึงกาฬ จังหวัดบึงกาฬ ริมแม่น้ำโขง เป็นวัดสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต แต่เดิมเป็นสำนักสงฆ์ ต่อมามีชาวบ้านที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้บริจาคที่ดินให้วัด และได้ร่วมกันพัฒนาจนเป็นวัดสุดเขตแดนสยามในปัจจุบัน
พื้นที่รอบวัดรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีความสงบ ร่มรื่น ภายในวัดมีวิหารขนาดใหญ่ประดิษฐานพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะเชียงแสน ซึ่งได้ประยุกต์ศิลปกรรมแบบร่วมสมัยได้อย่างลงตัว โดยตกแต่งเพดานด้วยไม้ เสาภายในประดับด้วยกระจกเงา อีกทั้งยังมีอุโบสถสีขาวที่มีความวิจิตรงดงาม ภายในประดิษฐานหลวงพ่อพระเงิน และจากวัดนี้ เราสามารถมองเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 ได้อย่างชัดเจน
วัดป่าเมืองเหือง หรือวัดศรีบุญเรือง เป็นวัดที่ได้ชื่อว่า “เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดบึงกาฬ” ว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยขอม โดดเด่นด้วยโบสถ์สีทองที่สวยงาม เต็มไปด้วยพญานาครายล้อมรอบโบสถ์ ด้านหน้ามีรูปปั้นของพ่อปู่ศรีสุทโธ กับแม่ย่าศรีปทุมมา ไว้ให้นักท่องเที่ยวสายบุญได้มาสักการะขอพร แต่ที่เป็นอันซีนของเมืองไทย คือ “พระหน้าทอง” หรือ “พระพุทธนาคนิมิตต์” พระพุทธรูปที่มีสีทองเฉพาะบริเวณพระพักตร์ หรือใบหน้า ในขณะที่ทั้งองค์เป็นสีดำ โดยผู้สร้างพระพุทธรูปเล่าว่า มีพญานาคมาเข้าฝันขอให้สร้างพระพุทธรูปที่วัดแห่งนี้ ตนจึงขอพรให้ตัวเองมีเงินซื้อรถเบนซ์ภายใน 3 เดือน แล้วจะสร้างพระให้ ต่อมาไม่ถึงเดือน ธุรกิจที่ทำอยู่ก็มีกำไรเข้ามามากมายอย่างน่าอัศจรรย์ จนเป็นที่มาของการสร้างพระหน้าทอง
ภูสิงห์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่ห้ามพลาด เนื่องจากมีลักษณะทางธรณีวิทยาเฉพาะตัวที่แปลกตา โดยมีไฮไลท์อย่าง “หินสามวาฬ” ที่ประกอบด้วยหินทรายแดงขนาดใหญ่ 3 ลูก ตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา ลักษณะคล้ายลำตัวปลาวาฬ 3 ตัวเรียงกัน ใครอยากได้รูปสวยแนะนำให้มาในตอนเช้า เพราะอากาศดี มีหมอกสวย เห็นแม่น้ำโขง และภูมิประเทศฝั่ง สปป. ลาว ได้ชัดเจน แต่อยู่บนพื้นที่ภายในรอยปะสีเหลืองเท่านั้นนะ ถ้าเลยออกไปอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งเราสามารถจ้างดโรน และช่างภาพส่วนตัวได้จากที่ทำการอุทยานฯ
หากมีเวลา แนะนำให้ไปเที่ยวสถานที่รอบๆ ตั้งแต่ “จุดชมวิวถ้ำฤาษี” ซึ่งอยู่ใกล้กับลานจอดรถหินสามวาฬ เป็นจุดชมวิวที่อยู่เหนือถ้ำฤาษี มีลักษณะเป็นลานหน้าผาหินกว้าง ซึ่งสามารถชมวิวได้สวยงามไม่แพ้หินสามวาฬ ถัดไปอีกนิดเป็น “หินช้าง” สามารถมองเห็นหินทรายสีชมพูแดงขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากตัวภูเขา มีลักษณะคล้ายกับลูกช้างตัวใหญ่ เป็นจุดถ่ายรูปสุดฮิทอีกที่หนึ่ง
ใกล้ๆ กันมี “ส้างร้อยบ่อ” หรือ “บ่อน้ำร้อยบ่อ” มีลักษณะเป็นหลุมบ่อมากมาย แต่ละบ่อมีความลึก และรูปร่างที่แตกต่างกันไป (คนนิยมถ่ายหินรูปหัวใจ) แถมเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม และอีกหนึ่งสถานที่ที่ห้ามพลาด คือ “ประตูภูสิงห์” เป็นเหมือนช่องเขา ซึ่งมีหินใหญ่ 2 ก้อนตั้งอยู่ริมหน้าผา สามารถถ่ายภาพคู่กับหินได้อย่างสวยงาม โดยเราสามารถขึ้นมาเที่ยวชมได้ทุกวัน ตั้งแต่ 05.00-18.30 น. โดยต้องใช้บริการรถกระบะของเจ้าหน้าที่เท่านั้น ราคาเที่ยวละ 500 บาท นั่งได้ 12 คน โดยสามารถแชร์ร่วมกับคณะอื่นได้
ใครมาถึงอำเภอบุ่งคล้าแล้ว ผมขอแนะนำร้าน “ครัวริมโขง” เพราะเป็นร้านอาหารรับแขกชื่อดังที่สุดในอำเภอบุ่งคล้า แถมอยู่ติดริมโขง และสถานที่ท่องเที่ยวอย่างสะพานกิ้งก่าภูวัวอีกด้วย ผมสั่งปลาแม่น้ำโขงทอดกระเทียม, ลาบปลาแม่น้ำโขง, ต้มยำปลาคัง, ผัดเผ็ดหมูป่า และผัดฉ่าปลาแม่โขง รสชาติจัดจ้านใช้ได้เลย ในราคาที่ไม่แพง แนะนำเลยครับ
หากอยากขึ้นหินสามวาฬตั้งแต่เช้ามืด และอยากพักชิลล์ๆ ริมแม่น้ำโขง ผมขอแนะนำ “โขงบุ่งคล้า รีสอร์ท” เนื่องจากห่างจากหินสามวาฬเพียง 30 นาที แถมอยู่ติดกับแม่น้ำโขง ที่มีฉากหลังเป็นเทือกเขาที่สวยงามของ สปป.ลาว ตัดกับสายน้ำโขง เป็นวิวที่สวยงามหาดูยาก มีที่พักเป็นหลัง ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 600 บาทเท่านั้น
บริษัท ฉางอัน ออโต้ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง
บทความแนะนำ