ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า BMW จะเข้าร่วมการแข่งขันเอนดูรานศ์ ที่ Le Mans ในปี 2567 ด้วยไฮเพอร์คาร์ เครื่องยนต์ไฮบริด วี 8 สูบ ในคลาสส์ LMDh และจะเข้าร่วมการแข่งขัน IMSA Sportscar Championship ในปี 2566 จากนั้นจึงเข้าร่วมการแข่งขัน World Endurance Championship ในปี 2567
Frank van Meel ซีอีโอ แผนก M ของ BMW ให้ความสำคัญกับการออกแบบรูปทรงของรถแข่งให้มีจุดเด่นความเป็นรถแข่ง BMW M Motorsport และผู้เข้าชมการแข่งขันสามารถจดจำรถได้ง่าย เพียงเหลือบมองครั้งเดียวก็สามารถบอกได้ว่าเป็นรถแข่งของ BMW
BMW M Hybrid เข้าร่วมการแข่งขันของ IMSA ในคลาสส์ GTP ซึ่งเป็นคลาสส์ใหม่ ที่กำหนดขึ้นสำหรับการแข่งขันในปี 2566 ซึ่งมีรถแข่งจากค่ายต่างๆ เข้าร่วมมากมาย อาทิ Acura, Cadillac, Porsche และในปี 2567 จะมีคู่แข่งเพิ่มขึ้น คือ Alpine และ Lamborghini ในสนามแข่ง BMW ซึ่งจะแตกต่างจากคู่แข่งด้วยจุดเด่นจากรถถนนในเวอร์ชัน M ตั้งแต่กระจังหน้ารูปไตคู่ แถบไฟหน้าแถวคู่ กระโปรงหน้าถอดแบบมาจาก M3 รุ่นปัจจุบัน กระจก ‘M Hook’ และลวดลายกราฟิคของกระจกข้างเลียนแบบการออกแบบของ BMW ในหลายรุ่น
ลวดลายพรางที่ประดับด้านนอกตัวรถ จะแสดงภาพรถแข่งของ BMW ที่ลงแข่งในอเมริกาเหนือตั้งแต่ BMW 3.0 CSL ในปี 2519, BMW M1/C ปี 2524, BMW 320i Turbo ปี 2521, BMW GTP ปี 2529, the BMW M3 E36 GTS-2, the BMW Z4 GTLM และ BMW M8 GTE ลายบนฝากระโปรงเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของแผนก BMW M ในปี 2565
เครื่องยนต์ของ BMW M Hybrid ได้รับการปรับปรุงตามกติกาของรุ่น LMDh ที่กำหนดให้ใช้เครื่องยนต์ไฮบริด แบบ วี 8 สูบ ทวินเทอร์โบ ความจุ 4.4 ลิตร ปรับแต่งจนมีกำลังสูงสุดที่ 670 แรงม้า พร้อมติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลัง 49 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับชุดเกียร์ Xtrac ส่วนแชสซีส์ที่เลือกใช้เป็นของ Dallara จากประเทศอิตาลี