ช่วงปลายปีจนถึงต้นปีที่ผ่านมา หลายพื้นที่ต้องเผชิญกับฝุ่น PM2.5 อีกครั้ง แม้จะมีมาตรการป้องกัน และแก้ไขออกมา แต่ก็ดูเหมือนจะไร้ผล ซึ่งอาจเป็นเพราะ 5 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับวิกฤตฝุ่น PM2.5 ที่เรารวบรวมมานี้...1. สาเหตุหลัก คือ การเผา ไม่ใช่ดีเซล PM2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ ถุงลมในปอด และกระแสเลือด ซึ่งมีผลร้ายต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ อาจรุนแรงถึงขั้นก่อให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย และอาจสะสมจนเกิดเป็นโรคมะเร็ง ทำให้องค์การอนามัยโลก หรือ World Health Organization (WHO) กำหนดให้ฝุ่น PM2.5 จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง ที่มาของฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพฯ หลักๆ แล้วมาจากไอเสียของเครื่องยนต์ดีเซล และการก่อสร้าง ส่วนในต่างจังหวัดโดยเฉพาะภาคเหนือ และอีสานมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถ่านหิน การเผาไหม้เศษวัสดุเหลือใช้ การเผาป่า การเผาไร่อ้อย ประกอบกับปัจจัยทางธรรมชาติช่วงเปลี่ยนฤดูกาลจากหนาวสู่ร้อน ซึ่งอากาศค่อนข้างปิด การกระจายตัวของฝุ่นละอองอยู่ในระดับต่ำ ทำให้เกิดฝุ่น PM2.5 สะสมในอากาศมากขึ้น ดังนั้น ต้นตอใหญ่ของฝุ่น PM2.5 ในภาพรวมจึงมาจากการ “เผา” โดยเฉพาะการเผาไร่อ้อยของเกษตรกร ซึ่งก่อให้เกิดมลพิษ ฟุ้งกระจายในรูปของ “หิมะดำ” เนื่องจากขี้เถ้าจะถูกลมพัดลอยไปตกทั่วบริเวณ ดูคล้ายกับหิมะสีดำปกคลุม และการเผาป่า เพื่อทำทางเดินเก็บหาของป่า หรือเพื่อกระตุ้นการงอก แตกใบใหม่ของพืชเศรษฐกิจทำเงิน หรือเพื่อทำการเกษตร 2. เครื่องยนต์ดีเซล ยุคใหม่สะอาดกว่าเดิมมาก เครื่องยนต์ดีเซล ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปล่อยมลพิษน้อยลง ปัจจุบันมีการติดตั้งระบบจำกัดไอเสียที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ทั้งระบบ ระบบนำไอเสียบางส่วนหมุนเวียนกลับมาเผาซ้ำร่วมกับอากาศดี หรือ EGR (Exhaust Gas Recirculation) และยังมีระบบกรองไอเสีย หรือ Catalytic Converter และในรถมาตรฐานยูโร 5 และ 6 ยังมีระบบ Diesel Particulate Filter หรือ DPF อุปกรณ์กรองเขม่าไอเสีย ดักจับผงเขม่า และสร้างอุณหภูมิให้สูงระดับ 600 องศาเซลเซียส เพื่อเผาไหม้ตัวเขม่าอีกครั้ง จนกลายเป็นแกสที่มีอนุภาคเล็ก และไหลผ่านตัวแปรสภาพไอเสียในระบบ Catalytic Converter เพื่อลดสารพิษอีกขั้นตอนหนึ่ง ก่อนปล่อยออกไปสู่สิ่งแวดล้อม 3. ทำอย่างไรกับรถยนต์ดีเซลเก่า ? ต้องยอมรับว่ารถยนต์ดีเซลเก่ามีส่วนในการสร้างฝุ่น PM2.5 เพราะบนท้องถนนยังมีรถยนต์เก่า ที่ผลิต และจำหน่ายตามมาตรฐานไอเสียที่ล้าสมัยอยู่มาก โดยเฉพาะรถยนต์ดีเซล ประเมินกันว่า ขณะนี้มีรถยนต์ดีเซล 11 ล้านคันทั่วประเทศ ซึ่งในจำนวนนี้เป็นรถยนต์เก่า มาตรฐานไอเสียระดับยูโร 1 และ 2 มากถึง 4,000,000 คัน และอีก 7,000,000 คัน เป็นรถยนต์มาตรฐานยูโร 3 ที่ประกาศใช้ในปี 2548 และมาตรฐานยูโร 4 ที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2555 การกำจัดรถที่ใช้มาตรฐานยูโร 2 ลงไป (อายุมากกว่า 20 ปี) ออกไปจากท้องถนน ทำได้หลายวิธี เช่น การตรวจสภาพอย่างเข้มงวด ห้ามใช้รถที่ปล่อยควันดำโดยเด็ดขาด ส่งเสริมให้นำรถเก่ามาแลกรถใหม่ ด้วยการลด หรือคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันใหม่ หรือให้เงินสนับสนุนโดยตรง รวมถึงการกำหนดโซนรถไอเสียต่ำกว่ายูโร 4 ก็เป็นอีกวิธีที่หลายประเทศในยุโรปเริ่มใช้กันมาสักพัก ซึ่งโมเดลนี้นำมาปรับใช้ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้เหมือนกัน เพราะเขตเมืองชั้นในมีการจราจรหนาแน่น ผสมกับรถจอดติดนิ่งไม่ขยับ เป็นสาเหตุสำคัญในการสร้างฝุ่น PM2.5 สูงสุด หากเป็นไปได้ นอกจากนั้น รัฐต้องยกเลิกการใช้รถเมล์เก่า และนำรถโดยสารเครื่อง CNG หรือรถโดยสารพลังไฟฟ้ามาใช้งานอย่างครอบคลุม 4. ยูโร 5 กู้วิกฤตฝุ่นระยะยาว ประเทศไทยใช้มาตรฐานไอเสียรถยนต์ระดับยูโร 4 แต่เฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก ขณะที่รถเมล์ รถบัสนำเที่ยว และรถบรรทุก ยังเป็นยูโร 2 และ 3 ส่วนประเทศอื่นๆ เริ่มใช้มาตรฐานไอเสียที่สูงขึ้นแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และยุโรป ใช้มาตรฐานไอเสียยูโร 6 หรือในอาเซียนอย่าง สิงคโปร์ ก็ใช้ยูโร 6 และมาเลเซีย จำหน่ายน้ำมันดีเซล ยูโร 5 ในหลายพื้นที่ สำหรับประเทศไทย สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้จัดทำมาตรฐานการระบายสารมลพิษจากเครื่องยนต์เทียบเท่า Euro 5 (มอก. Euro 5) มีผลบังคับใช้ในปี 2567 ที่จะกำหนดค่ากำมะถันไม่เกิน 10PPM รวมถึงกำหนดค่าการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์ที่ต่ำลง จากนั้นมาตรฐานยูโร 6 จะออกมาบังคับใช้ในปี 2568 ซึ่งเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม คือ รถที่จะจำหน่ายบนมาตรฐานยูโร 5 จะช่วยลดฝุ่นพิษลงไป 80 % 5. รถยนต์ไฟฟ้าพร้อมแล้วหรือยัง ? รถยนต์ไฟฟ้า เป็นอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ดังนั้น ประเทศไทยในฐานะฐานการผลิตรถยนต์ต้องจริงจังในการผลักดันให้เกิดการลงทุนผลิต และจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ PHEV เพื่อให้ผู้บริโภคได้เรียนรู้ และมีจิตสำนึกในการใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลพิษต่ำ เป็นการสร้าง Product Champion ตัวใหม่ให้แก่ประเทศ
บทความแนะนำ