ตลาดกลุ่มอีโคคาร์ ยังคงเป็นรถยนต์ที่ได้รับความสนใจมากมาย ไม่ว่าจะกระแสของโลกยานยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม ล่าสุด หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมในสไตล์แฮทช์แบค นั่นคือ Toyota Yaris มีการปรับโฉมครั้งใหญ่ โดดเด่นด้วยตัวถังส่วนหน้าที่แหวกแนวจากรุ่นก่อนปรับโฉมอย่างชัดเจน กับสไตล์ที่เรียกว่า “Hammerhead” เน้นสันเหลี่ยมล้ำสมัย คล้ายกับรถยนต์หลายรุ่นที่ทำตลาดในปัจจุบันของ Toyota คลิพรีวิว Toyota Yaris โฉมใหม่ล่าสุด พร้อมการทดลองขับสั้นๆ
นอกจากรูปทรงด้านหน้าแล้ว ยังมีการเพิ่มอุปกรณ์ใช้สอยอีกหลายรายการ เพิ่มความคุ้มค่าให้แก่อีโคคาร์รุ่นนี้มากกว่าเดิม โดยแต่ละรุ่นย่อยยังคงใช้เครื่องยนต์บลอคเดิม แบบเบนซิน 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 11.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รตน. ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแปรผัน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร (จากข้อมูลของ Eco Sticker) ส่วนมิติตัวถัง ความยาว 4,160 มม. กว้าง 1,730 มม. สูง 1,500 มม. ระยะฐานล้อ 2,550 มม. ระยะความสูงจากพื้น 135 มม. ความจุถังน้ำมัน 42 ลิตร Toyota Yaris Sport (ราคา 559,000 บาท) แม้ชื่อของรุ่นย่อยจาก Toyota Yaris จะระบุว่า Sport แต่แท้จริงแล้ว เป็นรุ่นเริ่มต้นของอีโคคาร์ สไตล์แฮทช์แบคโฉมล่าสุด ถึงอย่างนั้นรูปทรงโดยรวมยังคงมีความใกล้เคียงกับรุ่นย่อยระดับสูงขึ้นไป รูปทรงด้านหน้าแบบ Hammerhead ยังคงมีอยู่อย่างชัดเจน ล้อแมกขนาด 15 นิ้ว (เป็นอุปกรณ์ที่ติดตั้งมาให้ทุกรุ่นย่อย) ไฟหน้าเป็นแบบพโรเจคเตอร์ พร้อมไฟแบบ LED Light Guiding (แต่ไม่มีไฟส่องสว่างเวลากลางวันมาให้) กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ กระจังหน้าสีเงาดำพร้อมแถบโครเมียม ไฟท้ายแบบ LED เสาอากาศแบบทรงครีบฉลาม ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบธรรมดา (ปรับหน่วงเวลาไม่ได้) มือเปิดประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ ขณะที่ภายในห้องโดยสารเน้นความเรียบง่าย วัสดุที่ใช้หุ้มเบาะ และแผงประตูคู่หน้าเป็นแบบผ้า เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับสูง/ต่ำได้ หัวเกียร์หุ้มด้วยหนัง มาตรวัดแบบธรรมดา จอแสดงผลบนคอนโซลกลางมีขนาด 7 นิ้ว (ไม่รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto) มีปุ่มมัลทิฟังค์ชันบนพวงมาลัย ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา และติดตั้งแอพพลิเคชัน T-Connect (มีติดตั้งทุกรุ่นย่อย) ขณะที่ระบบความปลอดภัย คือ ระบบเอบีเอส ระบบควบคุมการทรงตัว VSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง Toyota Yaris Smart (ราคา 619,000 บาท) รุ่นย่อยลำดับถัดมา นั่นคือ Toyota Yaris Smart แม้รูปทรงโดยรวมจะยังคงใกล้เคียงกับรุ่นพื้นฐาน Sport แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียด สิ่งที่เพิ่มเข้ามา คือ ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน สัญญาณไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง กระจกมองข้างพับเก็บด้วยไฟฟ้า กระจกบังลมหน้าแบบลดเสียงรบกวน แผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรง ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วง และปรับตั้งเวลาได้ ภายในห้องโดยสาร ติดตั้งเบาะนั่งทรงสปอร์ท วัสดุเป็นแบบหนังสังเคราะห์ เบาะด้านหลังพับแยกได้แบบ 60:40 พวงมาลัยหุ้มหนัง วัสดุตกแต่งแผงประตูแบบหนังสังเคราะห์ แผงคอนโซลกลางตกแต่งด้วยสีดำด้าน นอกจากนี้ ยังติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความสะดวก คือ ระบบเปิด/ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ พร้อมระบบ Follow Me Home ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ จอแสดงผลระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว (ตัวของจอภาพจะกินเนื้อที่ออกมาจากเบ้าเดิมของคอนโซลหน้า) ส่วนระบบความปลอดภัยที่เพิ่มเติมจากรุ่น Sport ได้แก่ กล้องมองภาพขณะถอยหลัง และระบบกุญแจนิรภัย Toyota Yaris Premium (ราคา 679,000 บาท) ขยับความหรู และความครบครันขึ้นมาอีกขั้น กับรุ่น Toyota Yaris Premium เริ่มจากอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมเข้ามา คือ ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ เบาะนั่งใช้วัสดุหนังสังเคราะห์ มีการแตกแต่งด้วยการเดินด้ายสีน้ำตาล ตรงกลางของเบาะด้านหน้า และด้านหลังเสริมการตกแต่งด้วยแถบสีน้ำตาล ภายใต้วัสดุหนังสังเคราะห์สีดำ ส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวก คือ หน้าจอระบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ MID สี TFT ขนาด 4.2 นิ้ว (ควบคุมผ่านปุ่มบนพวงมาลัย) กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ (รุ่นที่ทำการรีวิวจะเสริมชุดแต่ง Lusso เข้ามาด้วย) ส่วนระบบความปลอดภัยจัดเต็มตามสไตล์อีโคคาร์ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน LDA กล้องบันทึกภาพหน้ารถ กล้องมองรอบคัน ระบบเตือนจุดอับสายตาที่กระจกมองข้าง ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA และระบบ Speed Auto Lock เรียกได้ว่ามีครบครันไม่แพ้รถยนต์ราคาแพงกว่าเลยทีเดียว Toyota Yaris Premium S (ราคา 694,000 บาท) มาถึงรุ่นทอพ Toyota Yaris Premium S ยกระดับการตกแต่งขึ้นมาอีกขั้นจากรุ่น Premium ตัวถังภายนอกมีความใกล้เคียงกัน แต่ในรุ่น Premium S ติดตั้งวัสดุเสริมสปอยเลอร์หลังเพิ่มเติม และยังมีวัสดุตกแต่งบริเวณกระจกด้านหลัง เบาะนั่ง และวัสดุบุนุ่มเป็นแบบหนังผสมหนังสังเคราะห์ เบาะมีสีสันแบบทูโทนสีดำ/แดง รวมถึงกล่องเก็บของบนคอนโซลกลาง และแผงประตู ส่วนอุปกรณ์เพื่อความสะดวก และระบบความปลอดภัย มีติดตั้งมาให้เทียบเท่ารุ่น Premium ส่วนใครที่ต้องการเสริมมาดเพิ่มเติมให้แก่ Toyota Yaris โฉมล่าสุด ยังมีชุดตกแต่งให้เลือกถึง 3 แบบด้วยกัน นั่นคือ Chiaro, Lusso และ Testo โดย 2 ชุดแรกเป็นอุปกรณ์ตกแต่งจากทาง Toyota โดยตรง มีการรับประกันที่ 3 ปี หรือ 100,000 กม. ส่วนชุด Presto มีการรับประกัน 1 ปี เนื่องจากผลิตโดยผู้จัดจำหน่ายภายนอก ความรู้สึกขณะขับขี่ Toyota Yaris โฉมล่าสุด จากการทดลองขับสั้นๆ กับรุ่นย่อย Premium แต่อย่างไรก็ตาม ทุกรุ่นย่อยของ Yaris ก็ติดตั้งล้อแมกขนาด 15 นิ้ว (ยาง Bridgestone Ecopia ขนาด 185/60 R15) กับการทดสอบควบคุมเสถียรภาพ และระบบป้องกันล้อลื่นไถล ด้วยการแล่นผ่านพื้นเปียกน้ำ เมื่อปิดระบบ ตัวรถจะมีอาการท้ายปัด (ใช้ความเร็วไม่เกิน 25 กม./ชม.) แต่เมื่อเปิดระบบตัวจะลดโอกาสของการเกิดอาการท้ายปัดอย่างได้ผล (ระบบจะเปิดการทำงานทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์) ต่อมาเป็นการเข้าโค้งวงกว้าง และการขับขี่แบบสลาลอม แม้ระบบรองรับของ Toyota Yaris รุ่นนี้จะไม่มีความแตกต่างจากเดิม แต่การบังคับควบคุมยังทำได้แม่นยำ แม้ขณะอยู่ในโค้ง การหักเลี้ยวต่อเนื่องแบบสลาลอม (ที่ความเร็ว 60 กม./ชม.) ควบคุมได้ไม่ยากเย็น นอกจากนี้ ระบบรองรับที่เน้นความนุ่มนวล มีระยะยืด/ยุบที่มากพอ ดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี แม้แล่นผ่านคอสะพาน หรือแล่นผ่านพื้นผิวขรุขระ (ที่ความเร็วไม่เกิน 30 กม./ชม.) โดยรวมในแง่ของการขับขี่สามารถรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบาย เสริมด้วยอุปกรณ์ใช้งาน เช่น กล้องมองภาพรอบคัน หรือระบบเตือนเมื่อมีรถแล่นมาข้างหลังขณะถอย ที่ใช้งานได้จริง Toyota Yaris - รุ่น Sport : ราคา 559,000 บาท - รุ่น Smart : ราคา 619,000 บาท - รุ่น Premium : ราคา 679,000 บาท - รุ่น Premium S : ราคา 694,000 บาท คู่แข่งอีโคคาร์สไตล์แฮทช์แบค - Honda City Hatchback : เบนซิน เทอร์โบ 1.0 ลิตร 122 แรงม้า ราคา 599,000-749,000 บาท - Mitsubishi Mirage : เบนซิน 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ราคา 474,000-619,000 บาท - Suzuki Swift : เบนซิน 1.2 ลิตร 567,000-637,000 บาท