เรื่องน่ารู้
กิมจิคาร์ ในโลกยานยนต์
อุตสาหกรรมยานยนต์ในเกาหลีใต้มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก รองจากจีน, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น และอินเดีย มีบางปีเหมือนกันที่เกาหลีใต้เบียดอินเดียขึ้นเป็นเบอร์ 4 ของโลก ประวัติศาสตร์ของรถยนต์เกาหลีน่าสนใจตรงที่ค่ายเกาหลี คือ ตัวจริงเสียงจริงที่สร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ขึ้นมาจากศูนย์ จนสำเร็จในวันนี้
อุตสาหกรรมรถยนต์ของเกาหลี เริ่มแรกเป็นเพียงการนำชิ้นส่วนจากบริษัทต่างประเทศมาประกอบ แต่ปัจจุบันเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตรถยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก ยอดผลิตเคยทำได้ 4.7 ล้านคัน ปี 2564 เกาหลีใต้ผลิต 3,462,404 คัน อุตสาหกรรมรถยนต์เกาหลีใต้ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวแข่งขันกับยานยนต์รายใหญ่ แต่รถเกาหลีใต้ยังมีความเด่นในด้านการออกแบบ ประสิทธิภาพ และการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้
แบรนด์รถยนต์เกาหลีที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ Hyundai, Kia, Daewoo, Ssangyong, Samsung, Genesis ในเครือ Hyundai, Spirra (ซูเพอร์คาร์) และ Proto Motors (ผู้ผลิตรถลีมูซีนแบบเปิดประทุน และซูเพอร์คาร์) รถที่มีบทบาทโดดเด่นในอุตสาหกรรมของเกาหลี มีเพียง 4 บแรนด์เท่านั้น คือ Hyundai, Kia, Daewoo, Ssangyong และ Samsung
ประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมยานยนต์เกาหลี เริ่มต้นขึ้นจากนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของรัฐบาลเกาหลีใต้ ที่ต้องการสร้างอุตสาหกรรมรถยนต์ของตัวเอง เพื่อเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ในปี 2505 รัฐบาลกำหนดนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ และออกพระราชบัญญัติคุ้มครองอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ที่เพิ่งเริ่มต้น หลักการ คือ ห้ามต่างชาติประกอบกิจการรถยนต์ในเกาหลี ยกเว้นการร่วมทุนกับนักธุรกิจเกาหลี
ในอุตสาหกรรมรถยนต์เกาหลี Hyundai ดูแข็งแกร่ง และก้าวหน้ามากที่สุดเพราะเงินทุนมหาศาลจากธุรกิจดั้งเดิมของ Hyundai Group ที่มีอุตสาหกรรมหนักแขนงต่างๆ สิ่งที่รถเกาหลีพยายามทำในยุคการสร้างตัว นั่นคือ หาเทคโนโลยีของตัวเองไปพร้อมๆ กับการส่งออกรถไปตีตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งตลาดแห่งนี้เป็นเหมือนแหล่งชุบตัวของแบรนด์ หากประสบความสำเร็จในตลาดสหรัฐอเมริกา การส่งออกไปทั่วโลกก็ไม่ใช่เรื่องยาก โมเดลนี้ญี่ปุ่นเคยใช้ และเวลานี้รถจีนก็ใช้อยู่
Hyundai ก้าวแรก ก้าวเร็วในสยาม
Hyundai เข้าสู่ตลาดประเทศไทย เพราะมองว่าตลาดเอเชียแปซิฟิคยอดขายรถต่างเติบโต เกาหลีต้องการมีส่วนแบ่งตลาด หลังจากที่ส่งรถเข้าไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกา และตลาดอื่นๆ ทั่วโลก สำเร็จแล้ว
Hyundai เข้ามาจำหน่ายครั้งแรกในรูปแบบรถ CBU (รถสำเร็จรูป) โดยบริษัท ยูไนเต็ด โอโตเซลส์ จำกัด บริษัทในเครือ พระนคร ยนตรการฯ (PNA) โดยมี บันเทิง จึงสงวนพรสุข เป็นประธานกรรมการ และธวัชชัย จึงสงวนพรสุข เป็นกรรมการผู้จัดการ PNA เป็นกลุ่มธุรกิจยานยนต์ที่มีความหลากหลาย เช่น อุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ ซึ่งโรงงานของ PNA มีประวัติรับจ้างประกอบรถแบรนด์ต่างๆ มามากกว่า 15 ยี่ห้อ อุตสาหกรรมชิ้นส่วน การนำเข้ารถยนต์ และการจัดจำหน่ายรถยนต์ สินเชื่อรถยนต์ หรือแม้แต่การให้เช่าโชว์รูม PNA นั้นเป็นที่รู้จักกันในฐานะตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์สำคัญๆ เช่น Daihatsu, Opel, Holden, Chevrolet (อเมริกาเหนือ)
ปี 2534 รัฐบาลไทย โดย อานันท์ ปันยารชุน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ได้เปิดเสรีรถยนต์ ทำให้ภาษีนำเข้ารถสำเร็จรูปซึ่งเคยเป็นกำแพงปกป้องอุตสาหกรรมทารกของไทยได้ถูกทะลายลง และเป็นโอกาสของแบรนด์รถยนต์หน้าใหม่ สามารถส่งรถสำเร็จรูปเข้ามาขายได้โดยไม่ต้องเสียเปรียบทางด้านภาษี รถในยุคนั้นที่ไหลบ่าเข้ามาทำตลาดเมืองไทย เช่น Chrysler, Jeep, Audi, Volkswagen, Ford, Fiat, Alfa Romeo, Skoda, Seat, Kia, Hyundai, Daewoo, Ssangyong
ญี่ปุ่นพลาดเปิดช่องเกาหลี
รถอื่นๆ ที่เข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นตลาดระดับบน ไม่มีค่ายไหนเลยที่ลุยตลาดล่างที่ญี่ปุ่นครองตลาดอยู่เกือบ 90 % ยกเว้น Hyundai PNAได้สิทธิ์จำหน่าย Hyundai เป็นผลมาจากการฟอร์มทีมงานด้วยความพร้อมเต็มที่ของ PNA อย่างไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ แสดงความตั้งใจ จริงจัง ให้เกาหลีเห็น เพราะในเวลานั้นต้องบอกว่า ใครที่ทำงานหนักชนิดบ้าคลั่ง เคมีจะตรงกับเกาหลีมากที่สุด
“ในการเจรจาต่อรองตัวเชื่อมระหว่าง PNA กับ Hyundai Motor ทำผ่านคอนเนคชันที่ออสเตรเลีย ซึ่งPNA นั้นเคยนำเข้ารถจากออสเตรเลียมาขายเมืองไทย”
“แน่นอนว่า Hyundai แบรนด์ใหม่ คนไทยไม่รู้จัก แถมเป็นแบรนด์เกาหลี นอกจากจะต้องสอบให้ผ่านเรื่องคุณภาพรถแล้ว หัวใจสำคัญ คือ อะไหล่ และบริการที่เป็นจุดแข็งของญี่ปุ่น Hyundai ต้องผ่านจุดสำคัญนี้ไปให้ได้”
มีการดึงทีมอะไหล่ และบริการหลังการขายจาก Honda และ Volvo ซึ่ง Honda ได้ชื่อว่ามีบริการหลังการขายเทพที่สุด ชนิดล้างรถทุกคันที่เข้าศูนย์บริการ ส่วนทีมอะไหล่ดึงตัวจาก Volvo เพราะงานอะไหล่ไม่มีใครดีไปกว่า Volvo อีกแล้ว
“เวลานั้น เราคิดว่าญี่ปุ่นแข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังมีจุดอ่อน เพราะว่ารถญี่ปุ่นยังใช้ระบบจ่ายน้ำมันแบบคาร์บูเรเตอร์ในตลาด มีแต่รถ BMW, Mercedes-Benz หรือรถระดับพรีเมียมที่ใช้ระบบหัวฉีด ขณะที่ Hyundai Excel ใช้ระบบหัวฉีดดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ เราจึงใช้จุดที่ว่ารถเกาหลีใช้เทคโนโลยีระดับสูง เป็นจุดขาย นอกจากนี้ คนไทยยุคนั้นมีความเชื่อว่ารถยนต์ CBU หรือรถยนต์ประกอบนอก คุณภาพดีกว่า รถยนต์ CKD หรือรถยนต์ประกอบในประเทศ”
ส่วนญี่ปุ่นยังปิดหูปิดตาคนไทยด้วยคำว่าเมืองไทยยังไม่พร้อมจะใช้ระบบหัวฉีด อ้างคุณภาพน้ำมันบ้าง อ้างว่าถ้าเสีย ซ่อมแล้วค่าใช้จ่ายสูงบ้าง การขายรถก็แทบไม่ให้อุปกรณ์ไฟฟ้าใดๆ แต่ Hyundai จัดเต็มอุปกรณ์ต่างๆ ครบ ไม่ว่ากระจกไฟฟ้า เซนทรัลลอค ในขณะที่รถญี่ปุ่นระดับราคาเดียวกันไม่ให้อะไรเลย ผมคิดว่าญี่ปุ่นชะล่าใจ นอกจากนี้ ยังเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองขับรถ ซึ่งการตลาดแบบให้ลูกค้าทดลองขับนั้นยังไม่เป็นที่แพร่หลายเหมือนทุกวันนี้”
ความสำเร็จของ Hyundai ส่วนหนึ่งเกิดจากความสามารถในการตั้งดีเลอร์ได้เร็วในระยะเวลา 2 ปี Hyundai สามารถตั้งดีเลอร์ได้ถึง 70 แห่ง ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และนอกจากนี้ การส่งมอบรถก็ทำได้รวดเร็ว ซึ่งสมัยนั้นยอดจอง 4,000 คัน ที่รับออร์เดอร์มา คือ เยอะมากหากเทียบกับเวลานี้
การทำงานหนัก 5 ปี ยูไนเต็ด โอโตเซลส์ฯ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้จำหน่ายรถเก๋งอันดับ 6 ของประเทศได้ จนกระทั่งมีจำนวนการขายมากพอจึงมีการประกอบรถ CKD ของ Hyundai ขึ้นในประเทศไทย
การเข้ามาของ Hyundai ครั้งนั้น ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เพราะเป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้ค่ายญี่ปุ่นปรับตัวหันมาติดตั้งระบบหัวฉีดในเครื่องยนต์ และเพิ่มออพชันต่างๆ รวมถึงระบบความปลอดภัย
จุดหักเหของ Hyundai นั้น เกิดจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ เนื่องจาก วิกฤตการเงินในเอเชีย ปี 2540 เกิดการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรม สภาพแวดล้อมทางการตลาดของ Hyundai ในไทยเปลี่ยนไป รถญี่ปุ่นซึ่งอยู่นานกว่า แสดงความแข็งแรง ต้านลมได้แรงกว่า เกาหลีเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานสู้ไม่ไหว ทั้งความแข็งแรง ความชำนาญทางเทคนิค PNA เวลานั้น มีทางเลือก 2 ทาง คือ ยืนสู้ท่ามกลางความพลิกผัน หรือเลือกที่จะปล่อยมือ ซึ่งสุดท้าย PNA เลือกปล่อยมือด้วยภาพที่ไม่สวยนัก
Hyundai ยุคใหม่
ดีเลอร์ที่เคยร่วมลงทุนทำโชว์รูมกับ PNA ต้องทิ้งโชว์รูมให้ซบเซารกร้าง บ้างก็ย้ายไปขายแบรนด์อื่นๆ จนกระทั่งมีคนนำ Hyundai กลับมาอีกครั้ง ด้วยการจัดการของ “เย็บ ซู ชวน” ชาวมาเลเซีย โดยร่วมทุนกับญี่ปุ่น ทำตลาดภายใต้ชื่อ บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ HMTH (ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2549)
ถือเป็นยุคที่ 2 สำหรับรถยนต์ Hyundai แม้จะใช้ชื่อว่า Hyundai Motor Thailand แต่โครงสร้างการถือหุ้น Hyundai Motor เกาหลี ไม่ได้ถือหุ้นด้วย Hyundai Motor Thailand เกิดจากการร่วมทุนระหว่าง Sojitz Corporation ซึ่งเป็นบริษัททเรดิง ประเทศญี่ปุ่น กับบริษัท อาปิโก ไฮเทค จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ของ เย็บ ซู ชวน
การกลับมาทำตลาดไทยอีกครั้ง Hyundai ต้องแบกภาระภาษีรถนำเข้าเพราะรถทั้งหมดเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูป (CBU) ซึ่งแน่นอนมีภาระภาษีที่สูง Hyundai เลือกเล่นในตลาดรถเอมพีวี ที่มีภาระภาษีต่ำกว่าการนำเข้ารถเก๋ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี
จนถึงเวลานี้ เป็นเวลา 17 ปีที่ HMTH รับผิดชอบดูแลการขาย การตลาด และการบริการหลังการขายของแบรนด์ Hyundai มาโดยตลอด ในปี 2564 HMTH มีรายได้รวม 5,285 ล้านบาท มีกำไร 499 ล้านบาท และ 1 มีนาคม 2566 เป็นวันสุดท้ายที่หมดสัญญา ส่วนผลิตภัณฑ์ Hyundai จะได้รับการดูแลต่อโดย บริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ จำกัด ที่มีทุนจดทะเบียน 601 ล้านบาท สำนักงานตั้งอยู่ที่ 388 อาคาร Exchange Tower ชั้นที่ 18 ยูนิท 1801, 1802, 1804 ถนนสุขุมวิท แขวง/เขตคลองเตย Hyundai ยุคใหม่ในมือบริษัทแม่ เป้าหมาย คือ การทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะโครงสร้างภาษีที่เอื้อต่อการนำเข้ารถ และการสนับสนุนของรัฐบาลไทย แบรนด์ Hyundai จากนี้ไปจะเปลี่ยนไปอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป
Daewoo ไปแล้วไม่กลับมา
สำหรับ Daewoo ที่เกาหลีนั้น ไม่แข็งขันเท่า Hyundai ด้วยเวลานั้น Daewoo ถูก GM สหรัฐอเมริกาถือหุ้นใหญ่ ซึ่งการออกสู่ตลาดต่างประเทศก็เป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลเกาหลีใต้ Daewoo ในเมืองไทย ปรากฏตัวครั้งแรกในฐานะรถแทกซี โดยบริษัท มอเตอร์ แอนด์ ลีเซ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าอิสระ ที่มีสำนักงานอยู่ฝั่งธนบุรี นำเข้ารถ Daewoo Racer ซึ่งมีหน้าตาเหมือน Opel Kadett แท้ๆ มาจำหน่ายเป็นลอท จนกระทั่ง บริษัท ไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ จำกัด ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ฯ เกิดจากการร่วมทุนของนักลงทุนโรงทอผ้า กับนายทุนใหญ่ตระกูลบุญวิสุทธิ์ คือ บุญเลิศ บุญวิสุทธิ์ ดีเลอร์ผู้จำหน่าย Toyota รายใหญ่ และรถยนต์อีกหลายยี่ห้อ แถมยังเป็นอดีตตัวแทนจำหน่าย Renault ในประเทศไทยอีกด้วย ซึ่งเวลานั้นเสี่ยบุญเลิศไม่ต้องการออกหน้า เพราะว่าไม่ต้องการขัดแย้งกับรถยี่ห้ออื่นๆ ที่ตัวเองบริหารอยู่
สำนักงานใหญ่แห่งแรกของ ไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ฯ เริ่มต้นที่ถนนรามคำแหง ก่อนจะขยับขยายไปอยู่ที่โชว์รูม Renault เก่า ถนนพระราม 9 ตัดใหม่ รถรุ่นแรก คือ Daewoo Fantasy มีแบบตัวถัง 3 ประตู และ 5 ประตู จากนั้นก็นำเข้ารุ่น Nexia และมีรถใหญ่รุ่น Esprero เครื่อง 1.8 และ 2.0 ลิตร จากนั้นมีรุ่น Nubira ซึ่ง Daewoo เริ่มมาใช้ออฟฟิศ Renault เก่า ถนนพระราม 9 แล้ว มีรถเข้ามาทดลองตลาดประมาณ 10 คัน ถือเป็นรถรุ่นสุดท้ายก่อนจะเลิกกิจการ
Daewoo เข้ามาวางกลยุทธ์ “ราคาสมเหตุสมผล” หรือราคาค่อนข้างต่ำ Daewoo เคยมีแผนจะประกอบรถพวงมาลัยขวาในไทย โดยมีการเตรียมพื้นที่โรงงานทอผ้าไว้ก่อนสร้างโรงงงาน ยอดขายของ Daewoo มีการตอบรับที่ดี ยอดขายไต่ระดับมาตั้งแต่ 1,000 คัน/ปี จนถึง 5,000 คัน/ปี รวม แล้ว Daewoo มีประชากรรถในตลาดเมืองไทยประมาณ 20,000 คันเศษ ด้วยปัจจัยจากต่างประเทศ ที่ไม่สามารถซัพพลายรถมาเมืองไทยได้ และ Daewoo บริษัทแม่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ Daewoo จึงไม่มีโอกาสประกอบรถตามแผน และไม่มีโอกาสกลับมาเมืองไทยอีกเลย
(Daewoo ภาคอวตาร)
อย่างไรก็ตาม สำหรับท่านที่ศึกษาติดตาม แม้ชื่อ Daewoo ไม่กลับมา แต่รถนั้นไม่ได้หายไปไหน Daewoo ภาคอวตาร หรือภาค 2 ของ Daewoo ในไทยนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับมาของรถยนต์ Daewoo ภาคพิสดาร เพราะเราเห็นรถที่มีหน้าตาเหมือน Daewoo เข้ามาทำตลาดไทย ในนาม Chevrolet เพราะเวลานั้น GM เข้าถือหุ้น Daewoo Motor และ Chevrolet ที่เข้ามาเปิดตลาดไทยก็นำเอารถซึ่ง ไทยแดวูมอเตอร์เซลส์ฯ เคยทำการศึกษา และวางแผนการนำเข้าไว้ มาทำตลาดต่อในชื่อของตัวเองหลายๆ รุ่นนั่นเอง
ปฐมบทของ Kia เริ่มต้นที่พวงมาลัยซ้าย
รถยนต์ Kia ปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองไทยกับ บริษัท กมลสุโกศล จำกัด ผู้แทนจำหน่าย Mazda แห่งยุค ต้องย้อนไปถึงความสัมพันธ์ ในเกาหลี ค่าย Kia, Ford และ Mazda ถือเป็นพันธมิตรกัน มีการซื้อเทคโนโลยี Mazda มาพัฒนารถรุ่นต่างๆ ซึ่งรถยนต์ Kia Master จึงถูกนำเข้ามาจำหน่ายในไทยเป็นครั้งแรก โดยเป็นรถกระบะครึ่งตัน เช่นเดียวกับ Mazda Familia ข้อแตกต่างระหว่าง Kia Master กับกระบะ Mazda คือ Kia Master เป็นกระบะพวงมาลัยซ้าย Mazda เป็นพวงมาลัยขวา กมลสุโกศลฯ นำมาทดลองตลาด และวางราคาต่ำกว่ากระบะ Mazda ซึ่งก็ขายได้ไม่กี่ 10 คัน ด้วยเหตุผลที่คนซื้อก็งง ยกเว้นแต่คนที่รับได้ในการขับรถพวงมาลัยซ้าย ประวัติศาสตร์ยานยนต์ไทยจึงจารึกไว้ว่า Kia คันแรกจากแดนโสมบนแผ่นดินสยาม คือ รถกระบะครึ่งตันพวงมาลัยซ้าย สำหรับ Kia Master เป็นรถเก่ามือสองยาก เพราะขึ้นแท่นรถคลาสสิค
แบรนด์ Kia นั้นรับรู้ในวงกว้างอย่างยิ่ง เมื่อ Kia Motor แต่งตั้ง Premiere Kia Motor บริษัทในเครือ Premiere เป็นผู้ได้สิทธิ์ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย ด้วยบรรยากาศที่คึกคักของเศรษฐกิจไทย ณ เวลานั้น ทุนไหนได้แบรนด์รถยนต์มาทำตลาดถือเป็นเกียรติประวัติแก่วงตระกูล Premiere บริษัทยักษ์ใหญ่ของวงการสินค้าบริโภค มีเครือข่ายกระจายสินค้าทั่วประเทศ ก็เบนเข็มเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์เช่นเดียวกัน มือปืนผู้รับจ้างบริหารในเวลานั้น คือ กิตติวุฒิ ศิริรัตน์คุ้มวงศ์ ที่ย้ายบ้านออกมาจาก ยูไนเต็ด โอโตเซลส์ฯ ทีม Kia บริหารงานอย่างรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด คอนเนคชันที่แข็งแกร่งในวงการค้าของ Premiere ทำให้การแต่งตั้งดีเลอร์ ทำได้รวดเร็วแบบสายฟ้าแลบ ในช่วงต้นการขยายตลาดของ Kia จึงเร็วมาก และเป็นที่มาของปัญหาหลายๆ อย่าง ทั้งภายนอก และภายใน เช่น ลูกค้าแย่งกันจองคิวรถ ทุนท้องถิ่นแย่งกันเป็นดีเลอร์ Kia เร่งซัพพลายรถโดยทำ PDI หละหลวม รถมีปัญหาต้องตามแก้กันพักใหญ่ อย่างไรก็ตาม ภาวะของตลาดที่มีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย อะไรก็ขายได้ รถรุ่นแรกที่จำหน่าย คือ รถเอสยูวีขนาดเล็ก รุ่น Sportage โดยนำเข้ามาจำหน่ายคู่กับรถเก๋งขนาดเล็ก Sephia มีราคาจำหน่ายอยู่ที่ 669,000 บาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่หลังจากนั้น Kia ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกับรถเกาหลีอื่นๆ คือ Kia ถูกรวบกิจการกับ Hyundai เพราะปัญหาเศรษฐกิจ
Kia กลับมาอีกครั้ง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2542 โดย บริษัท ยนตรกิจเกียมอเตอร์ จำกัด เริ่มประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของ Kia โดย ยนตรกิจเกียมอเตอร์ฯ นั้นเลือกทำตลาดเฉพาะรุ่นที่เหมาะสมกับคนไทย และมีราคาสูงมาก แม้ Kia จะไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่ลูกค้าที่ใช้ต่างยอมรับในคุณภาพของรถยุคใหม่ จึงถือว่าเป็นจุดขายของ Kia
รถยนต์อีกค่ายของเกาหลี คือ Ssangyong หรือ Mercedes-Benz เกาหลี รถยนต์ Ssangyong นั้นเป็นการร่วมมือระหว่าง Mercedes-Benz ในยุคแรกที่เข้าสู่ตลาดเมืองไทย จึงใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่าง Mercedes-Benz และบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด จำหน่าย Ssangyong Musso ราวปี 2557 หรือเมื่อ 27 ปีที่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีรุ่น Korando หลุดจากมือของ ธนบุรีประกอบรถยนต์ฯ ไปเงียบๆ ด้วยเหตุผลเดียวกับรถเกาหลีอื่นๆ ปัจจุบัน Ssangyong ยังมีตัวแทนจำหน่าย คือ บริษัท ซังยอง มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด มีรถยนต์จำหน่ายหลายรุ่นตามสภาพ เพราะมีโชว์รูม และศูนย์บริการแห่งเดียว ในขณะที่รถยนต์ที่จำหน่ายก็เป็นรถยนต์นำเข้า ซึ่ง Ssangyong ในต่างประเทศมีความเคลื่อนไหวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์น้อยมาก และล่าสุด คือ อยู่ระหว่างการยื่นคุ้มครองกิจการกับศาล
สรุปว่า ค่ายรถยนต์เกาหลีในตลาดไทย มี 2 ยุค เกาหลียุคเก่า เรียกว่า ยุคกอดคอกันมา กอดคอกันไป ส่วนเกาหลียุคใหม่ เหลือเพียง Hyundai, Kia เท่านั้นที่ยังคงมีพลังเดินหน้าลุยตลาดรถ ทั้งระดับโลก และตลาดเมืองไทย
ABOUT THE AUTHOR
จ
จอมยุทธ์
หนุ่มน้อยผู้ชื่นชอบดนตรี กีฬา และยานยนต์ โปรดปรานของหวาน เพราะช่วงบ่ายน้ำตาลตกบ่อย
ภาพโดย : อินเตอร์เนทคอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้