ธุรกิจ
Lamborghini เผยข้อมูล LB744
Sant’Agata Bolognese-Lamborghini เผยข้อมูลเชิงลึกด้านไดนามิคการขับขี่ ก่อนการเปิดตัวรอบปฐมฤกษ์ของรถยนต์ซูเพอร์สปอร์ท ระบบไฮบริด ซึ่งเป็นรถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด เครื่องยนต์ V12 สมรรถนะสูงรุ่นแรก (High Performance Electrified Vehicle: HPEV) โดยนวัตกรรมยานยนต์ซึ่งใช้ชื่อรหัส LB744 ถูกออกแบบ และพัฒนาขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์สุดเร้าใจ และการควบคุมที่สมบูรณ์แบบในทุกสภาพถนน และโหมดการขับขี่ สร้างความรู้สึกที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับรถยนต์ พร้อมยกระดับความมั่นใจที่ไม่มีนักขับคนไหนเคยสัมผัสมาก่อน
นวัตกรรมที่ถูกนำมาติดตั้งใน LB744 ล้วนเป็นสุดยอดเทคโนโลยีของแต่ละด้าน ซึ่งรวมถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้าง และดุลยภาพยานยนต์ ผ่านแนวทางที่ล้ำหน้าในการใช้โครงแชสซีส์ และการออกแบบอากาศพลศาสตร์ขั้นสูง ไปจนถึงระบบส่งกำลังแบบไฮบริดรุ่นใหม่ ที่ช่วยเสริมกำลังให้มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนสามารถสร้างโหมดการขับขี่ใหม่ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ปล่อยไอเสียเป็น 0 (Zero-Emission 4WD) เพื่อมอบสุดยอดประสบการณ์การเดินทางที่แตกต่างกันได้มากถึง 13 รูปแบบ
LB744 ใช้เลย์เอาท์การวางตำแหน่งเครื่องยนต์ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยติดตั้งเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ขนาด 6.5 ลิตร บริเวณกลางตัวรถ และมีมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวแรก จะอยู่ที่เพลาขับคู่หน้า และอีก 1 ตัว จะถูกติดตั้งอยู่กับชุดเกียร์ดับเบิลคลัทช์ 8 จังหวะ รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชุดเกียร์ถูกติดตั้งอยู่หลังเครื่องยนต์ โดยเป็นการติดตั้งแนวขวางอยู่ด้านหลังเครื่องยนต์สันดาป V12 เป็นครั้งแรก ส่วนพื้นที่ของอุโมงค์เกียร์ที่มีมาตั้งแต่รุ่น Countach นั้นถูกแทนที่ด้วยแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนพลังสูง เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า
สถาปัตยกรรมโครงสร้างรูปแบบใหม่ ทำให้สามารถกระจายน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม (44 % ที่ส่วนหน้า และ 56 % ที่ส่วนท้าย) ทำให้มีน้ำหนักเข้าใกล้จุดศูนย์ถ่วงมากที่สุด และยังลดความยาวของฐานล้ออีกด้วย ส่งผลให้ การกระจายน้ำหนักมีความสมดุล และมีความสมบูรณ์แบบ ทำให้ LB744 มีความคล่องตัวสูง และขับขี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งบนพื้นถนนทั่วไป และในสนามแข่งอันคดเคี้ยว ทั้งยังเสริมคุณสมบัติการกระจายน้ำหนักด้วยการเพิ่มระดับความแข็งของเหล็กกันโคลง (+11 % ด้านหน้า และ +50 % ด้านท้าย) และลดอัตราทดเฟืองพวงมาลัย (-10 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae) ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้งานจนประสบความสำเร็จมาแล้วในรุ่น Huracan STO นอกจากนี้ LB744 ยังยกระดับขีดความสามารถด้วยระบบบังคับเลี้ยว ซึ่งช่วยเพิ่มสัมผัสการควบคุมที่ฉับไว ตอบสนองเร็วทันใจ และเปี่ยมด้วยความคล่องตัวสูง โดยยังรู้สึกได้ถึงความเสถียร และแม่นยำในทุกจังหวะการขับขี่ รวมถึงจากการใช้ยาง Bridgestone Potenza Sport ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ ที่มอบพื้นที่ด้านหน้าที่กว้างขึ้น (+4 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae)
ด้วยการติดตั้งใช้งานเพลาไฟฟ้า (E-Axle) กับ LB744 ทำให้ Lamborghini สามารถนำระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ามาใช้งานเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dinamica Veicolo 2.0 อย่างเป็นทางการครั้งแรก
ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้า ช่วยเพิ่มความฉับไวให้แก่ตัวรถเมื่อต้องเข้าโค้งที่แคบ รวมถึงเพิ่มเสถียรภาพเมื่อต้องเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง โดยช่วยกระจายแรงบิดในแต่ละล้อได้อย่างดีเยี่ยม และยังทำงานสอดคล้องกับระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ นอกจากนี้ ระบบกระจายแรงบิดไฟฟ้ารุ่นใหม่ยังแตกต่างจากแบบเดิม โดยระบบจะเข้ามาช่วยเบรคเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และเสริมการขับขี่ที่เป็นธรรมชาติ ตลอดจนสมรรถนะที่สูงขึ้น โดยเมื่อทำการเบรค เพลาไฟฟ้า (E-Axle) และมอเตอร์ไฟฟ้าตัวท้ายจะช่วยชะลอความเร็ว ลดแรงกดบนเบรคไปพร้อมๆ กับการชาร์จแบทเตอรีในเวลาเดียวกัน
โครงแชสซีส์ที่เลือกใช้ ยังช่วยยกระดับพลศาสตร์ของตัวรถได้อย่างมาก โดย LB744 เป็นรถยนต์รุ่นแรกของ Lamborghini ที่ใช้สถาปัตยกรรมตัวถังแบบ Monocoque ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากอุตสาหกรรมการบิน โดยผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด (เบากว่าโครงแชสซีส์รุ่น Aventador ถึง 10 %) ผสานกับระบบขับเคลื่อนพลังงานประสิทธิภาพสูง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทานต่อแรงบิด (+25 % เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventa dor) ทำให้ LB744 มีความเสถียรเป็นเลิศ พร้อมช่วยเสริมความคล่องแคล่ว และการตอบสนองที่ฉับไวให้แก่ตัวรถในภาพรวม
การออกแบบอากาศพลศาสตร์แบบ active มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการยกระดับประสิทธิภาพการขับขี่ และแรงกดสู่มาตรฐานใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 61 % และ 66 % ตามลำดับ ภายใต้สถานการณ์แรงโหลดสูงเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น Aventador Ultimae ซึ่งเกิดจากการติดตั้งสปลิทเตอร์หน้า และการออกแบบส่วนหลังคารถที่ช่วยให้อากาศไหลเวียนไปยังสปอยเลอร์หลังประสิทธิภาพสูง ซึ่งการออกแบบอากาศพลศาสตร์นี้ทำงานสอด คล้องกับระบบกันสะเทือนปีกนก แบบ Semi-Active ซึ่งควบคุมโดยระบบ Lamborghini Vertical Control ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรุ่น LB744 โดยเฉพาะ ทำหน้าที่จัดสรรการแลกเปลี่ยนแรงกระทำแนวดิ่งด้วยระ บบไฟฟ้า อาทิ เมื่อเกิดการถ่ายแรงแบบฉับพลันขณะวิ่งบนลู่แข่ง โดยจะทำการปรับระบบกันสะเทือน และการเคลื่อนไหวของสปอยเลอร์หลังให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์
ระบบเบรค และการระบายความร้อนเบรค ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์สถานการณ์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด โดยคาลิเพอร์เบรคหน้าซึ่งใช้ลูกสูบเบรคถึง 10 ตัว แทนที่จะเป็น 6 ตัว ถูกติตตั้งร่วมกับจานเบรคขนาด 410x38 มม. (แทนที่ขนาด 400x38 มม. ของรุ่นก่อนอย่าง Aventador Ultimae) ส่วนคาลิเพอร์เบรคหลังใช้ลูกสูบเบรค 4 ตัว และจานเบรคขนาด 390x32 มม. (แทนที่ขนาด 380x38 มม. ของรุ่นก่อน) ซึ่งการออก แบบอากาศพลศาสตร์ยังช่วยเสริมการทำงานของระบบเบรคด้วย โดยแผ่นกันสะเทือนคู่หน้า และตะแกรงด้านในซุ้มล้อ ได้ถูกออกแบบใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่เพียงสำหรับการระบายความร้อนเบรคหน้า โดยที่แผ่นนี้จะช่วยพาอากาศจากดิฟฟิวเซอร์หน้าไปที่เบรคเท่านั้น แต่ยังมีรูปทรงที่ช่วยลดแรงต้านภายในล้อได้เช่นกัน จึงช่วยจำกัดระดับการบีบอัด และเพิ่มแรงโหลดในส่วนหน้า นอกจากนี้ ท่อดักอากาศคู่ (NACA) บริเวณด้านหน้าของล้อหลังทั้ง 2 ข้าง ยังคอยเก็บลมจากใต้ท้องรถ และส่งตรงไปยังท่อระบายความร้อนของเบรคหลังให้อีกด้วย
สิ่งที่เปิดตัวพร้อมกับระบบไฮบริด ก็คือ 3 โหมดการขับขี่รูปแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ ได้แก่ Recharge, Hybrid และ Performance เพื่อใช้ร่วมกับโหมดเดิมอย่าง Città (City), Strada, Sport และ Corsa ซึ่งสามารถเลือกปรับได้ด้วยการใช้โรเตอร์ 2 ตัว บนพวงมาลัย ที่ออกแบบใหม่ ซึ่งเมื่อรวมทั้งหมดจะสามารถตั้งค่าไดนามิคได้ถึง 13 รูปแบบ เพื่อให้ LB744 แสดงบุคลิก และศักยภาพที่แตกต่างกันไปตามสถานการณ์ และสภาพพื้นถนน หรือแม้แต่บนสนามแข่งขันที่รถยนต์กำลังพุ่งทะยานอยู่
ยกตัวอย่างเช่น โหมด Citta ถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่ประจำวันในย่านกลางเมือง ด้วยอัตราการปล่อยไอเสียเป็นศูนย์ ซึ่งเมื่อแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนที่คอยให้พลังงานแก่มอเตอร์ไฟฟ้า จำเป็นต้องได้รับการชาร์จไฟ แต่พื้นที่แถบนั้นไม่มีสถานีชาร์จ เครื่องยนต์ V12 จะเข้ามาทำงานเพื่อชาร์จไฟจนเต็ม (เข้าสู่โหมด Recharge) ในเวลาไม่กี่นาที ซึ่งทำให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถแล่นเข้าไปในพื้นที่ที่มีกฎระเบียบควบคุมการปล่อยแกสมลพิษได้ด้วยการใช้โหมดไฟฟ้า โดยที่ระบบกันสะเทือน ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และชุดเกียร์ จะมอบความสบายสูงสุดในการขับขี่ ซึ่งแรงต้านอากาศที่น้อยลงยังทำให้โหมด Città มีประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีที่สุดโดยจำ กัดกำลังเครื่องสูงสุดที่ 180 แรงม้า
โหมด Strada เหมาะที่สุดสำหรับการขับขี่ประจำวันที่เน้นสัมผัสแบบไดนามิค และการวิ่งทางไกล ซึ่งผสานการขับขี่แบบสบายๆ เข้ากับสัมผัสแนวสปอร์ท ด้วยกำลังเครื่องสูงสุดที่ 886 CV โดยเครื่องยนต์ V12 จะทำงานตลอดเวลาเพื่อทำการชาร์จไฟแบทเตอรีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะไปช่วยเสริมการขับขี่ในโหมด Recharge ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนเพลาไฟฟ้าด้านหน้า (e-axle) ด้านหน้ารองรับระบบกระจายแรงบิด และการทำงานของระ บบอากาศพลศาสตร์แบบ Active เพื่อมอบเสถียรภาพสูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง เช่น บนทางหลวง
เมื่อเลือกโหมด Sport จะทำให้ LB744 เปลี่ยนสมรรถนะไปอย่างสิ้นเชิง โดยรถจะถูกปรับค่าเพื่อสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจให้คุณโลดแล่นไปอย่างสนุกสนาน พร้อมกำหนดรูปแบบการตอบสนองในแต่ละโหมดการขับขี่ 3 แบบที่ทำงานร่วมกัน คือ Recharge, Hybrid และ Performance โดยเครื่องยนต์สันดาปซึ่งควบคุมโดยระบบไฮบริดจะทำงานกับทั้ง 3 สถานการณ์การขับขี่และมอบกำลังเครื่องสูงสุดที่ 907 CV พร้อมเสียงคำรามอันกึกก้องของเครื่องยนต์ V12 อันน่าหลงใหล ส่วนชุดเกียร์จะตอบสนองการทำงานในระดับสูงสุด ในขณะที่ระบบกันสะเทือน และระบบอากาศพลศาสตร์จะช่วยยกระดับความคล่องตัวที่ฉับไว ให้คุณเข้าโค้งได้อย่างสนุกเร้าใจมากขึ้น
หากต้องการสุดยอดแห่งประสบการณ์ไดนามิค และพลังที่เต็มเปี่ยม ทั้งในแง่ประสิทธิภาพการขับขี่ และพลังเสียง ต้องเลือกโหมด Corsa ที่ออกแบบมาเพื่อเน้นย้ำถึงศักยภาพด้านสุดยอดไดนามิคบนสนามแข่งขันของ LB744 โดยในโหมด Performance ระบบส่งกำลังจะแสดงพลังสูงสุดด้วยกำลังเครื่องถึง 1,015 แรงม้า และการควบคุมระบบไฮบริดจะถูกปรับให้รีดศักยภาพของเพลาไฟฟ้า (E-Axle) ออกมาทั้งหมด ทั้งในด้านเวคเตอร์แรงบิด และการขับเคลื่อนในทุกล้อ เพื่อสร้างประสบการณ์ขับขี่ระดับ Ultra-Sport ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ โดยในโหมด Corsa Recharge นักขับสามารถเน้นการชาร์จไฟแบทเตอรีให้มากที่สุด สำหรับนักขับที่เชี่ยวชาญก็สามารถเลือกปิด ESC เพื่อสัมผัสประสบการณ์แห่งพลังได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องมีระบบช่วยขับ และเร้าใจได้ตั้งแต่ออกสตาร์ทด้วยกำลังเครื่องสูงสุดผ่านฟังค์ชัน “Launch Control” ซึ่งเปิดทำงานได้ด้วยการกดค้างปุ่มตรงกลางโรเตอร์ตัวซ้าย
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
บรรณาธิการข่าวธุรกิจและสังคม รักการอ่าน ขอบงานเขียน ชอบพบปะผู้คน ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ผู้บริหารในวงการยานยนต์ไทย ท่องเที่ยว เป็นประสบการณ์ที่ดี พร้อมได้ เปิดโลก ได้พัฒนาตัวในแวดวงสื่อสารมวลชน
ภาพโดย : บริษัทผู้ผลิตคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)
คำค้นหา