ที่จริงระบบนี้มีแต่ข้อดี กับทั้งผู้ผลิต และคนขับ ซี่งระบบ Steer-by-Wire เป็นส่วนหนึ่งของระบบ Drive-by-wire ซึ่งประกอบไปด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้าที่ถูกนำมาใช้งานหลายปีแล้ว ซึ่งมีข้อดีตั้งแต่กระบวนการผลิต ที่ไม่มีระบบไฮดรอลิคที่ซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง
ระบบบังคับเลี้ยวมีระบบผ่อนแรงพวงมาลัยด้วยไฟฟ้ามานานแล้ว มีเพียงระบบเบรคที่ยังใช้ระบบไฮดรอลิคอยู่ ทั้งที่บริษัทผู้ผลิตหลัก มีความพร้อมในการผลิตระบบเบรคไฟฟ้าเป็นเวลาหลายปีแล้ว
แนวคิดนี้ สามารถพลิกโฉมกระบวนการผลิตระบบรองรับ ขั้นแรกจะเตรียมการประกอบระบบรองรับเป็นชุดก่อน และเมื่อถึงขั้นตอนการประกอบตัวรถ เพียงนำชุดระบบรองรับยึดเข้ากับตัวรถ และเชื่อมต่อระบบอีเลคทรอนิคเท่านั้น โดยไม่มีระบบไฮดรอลิค
สำหรับ Steer-by-Wire แบบเต็มระบบมีการทำงานที่เรียบง่ายกว่าเดิม พวงมาลัยจะเชื่อมต่อโดยตรงกับหน่วยควบคุมเหมือนอุปกรณ์เกม และมอเตอร์ติดตั้งบนแรคระบบบังคับเลี้ยวเพื่อบังคับทิศทางโดยตรง
การเชื่อมต่อทั้ง 2 ระบบ ผ่านระบบสมองกลที่รับสัญญาณที่คนขับควบคุมพวงมาลัย และส่งสัญญาณไปยังระบบบังคับเลี้ยว ระบบสมองกลจะวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อควบคุมการทำงานของระบบบังคับเลี้ยวแทนคนขับ ทั้งยังลดการหมุนพวงมาลัยให้น้อยลง เหมือนกับพวงมาลัยของ Toyota และ Lexus ที่คนขับบังคับเลี้ยวโดยหมุนพวงมาลัยแต่ละทิศทางมากที่สุดไม่เกิน 150 องศา เมื่อนำรถเข้าจอดด้วยความเร็ว
เมื่อใช้ความเร็วสูงขึ้น อัตราทดการเลี้ยวจะลดลง โดยเฉพาะเมื่อขับด้วยความเร็วสูงบนมอเตอร์เวย์ การปรับมุมเลี้ยวจะช้าลง เพื่อหลีกเลี่ยงโอกาสเสียการทรงตัว
Steer-by-Wire ทำงานเหมือนกับระบบอัตราทดพวงมาลัยแปรผัน ทั้งยังสามารถทำงานร่วมกันกับระบบขับกึ่งอัตโนมัติเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ ระบบสามารถช่วยบังคับเลี้ยวในขณะที่คนขับไม่สามารถตอบสนองสถานการณ์ได้รวดเร็วพอ
ข้อได้เปรียบของ Steer-by-Wire คือ เปิดโอกาสให้กับคนขับความสามารถต่ำ (Less Able Drivers) ได้ขับรถที่ใช้พวงมาลัยขนาดเล็ก หรือจอยสติคเหมือนกับระบบ Fly-by-Wire ที่ใช้ในการควบคุมเครื่องบิน ที่มีมานานมาก ทั้งในเครื่องบินพลเรือน และกองทัพ ซึ่งระบบดังกล่าวมีระบบสำรองเข้าทำงานแทน หากระบบหลักล้มเหลว
อีกไม่นานระบบ Steer-by-Wire เริ่มใกล้เข้ามามากขึ้น พร้อมกับระบบขับอัตโนมัติ ที่ใช้ในรถรุ่นใหม่มากขึ้น 
