Michelin และ MotoGP ร่วมมือกันจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ Grand Prix ชิงแชมพ์โลกขึ้นอีกครั้งในประ เทศไทย การแข่งขันเต็มไปด้วยความเร้าใจ และเสร็จสิ้นไปอย่างสวยสดงดงามสำหรับสุดสัปดาห์แห่งศึก 2 ล้อที่เร็ว แรง และยิ่งใหญ่ที่สุด หรือ MotoGP รายการ OR Thailand Grand Prix 2023 ระหว่างวันที่ 27-29 ตุลาคม ที่ผ่านมา ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จังหวัดบุรีรัมย์ และนับเป็นอีกบทพิสูจน์ศักยภาพของยางรถจักรยานยนต์ Michelin ในเกมกีฬามอเตอร์สปอร์ทระดับโลก
ท่ามกลางสภาพอากาศแปรปรวนระหว่างการจับเวลารอบควอลิฟายเพื่อจัดอันดับสตาร์ท พร้อมด้วยกองเชียร์ของแฟนๆ หลายหมื่นคน ในวันแข่งรอบชิงแชมพ์ สภาพอากาศแจ่มใสกว่า ทว่าการเลือกใช้ยางยังเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งของชัยชนะซึ่งจะเห็นได้จากหลายสนามที่ผ่านมา ยางล้อของ Michelin ได้รับเลือกสำหรับใช้ในการแข่ง ขันระดับพรีเมียมคลาสส์ เพื่อช่วยให้นักขี่ และทีมแข่งทั้งหมดสามารถดึงที่สุดของศักยภาพจากรถจักรยานยนต์ของพวกเขาออกมาได้เต็มพิกัด พร้อมทั้งถ่ายทอดเทคโนโลยีจากการแข่งขันมาสู่ยาง Michelin ที่ใช้ขับขี่ในชีวิตประจำวันตามแนวคิด “From Track to Street”
Piero Taramasso ผู้จัดการฝ่ายมอเตอร์สปอร์ต ผลิตภัณฑ์ 2 ล้อ ของ Michelin กล่าวว่า ตลอดฤดูกาลที่ผ่านๆ มาเรานำยางที่ใช้สำหรับการแข่งขันเป็นจำนวนกว่า 20,000 เส้น ปีนี้เราลดจำนวนลงอีก 1,500 เส้น และนำมาให้นักแข่งได้เลือกใช้มากกว่า 30 แบบสำหรับยางหลัง แต่ในฤดูกาลนี้ลดลงมาเหลือแค่ 20 แบบ ขณะที่สำหรับยางหน้าเดิมมีให้เลือก 12 แบบ ปีนี้ลดเหลือ 10 แบบที่ล้วนคัดสรรมาเพื่อความเหมาะสมที่สุด โดยฤดูกาลที่ผ่านมาเรามีประเภทของเนื้อยางให้เลือก 3 แบบ ตั้งแต่ Soft, Medium และ Hard สำหรับฤดูกาลนี้เราลดลงโดยให้นักแข่ง และทีมเลือกจับคู่ใช้ได้ 2 แบบในแต่ละสนาม ขึ้นอยู่กับสภาพของแต่ละสนาม เช่น Soft กับ Medium หรือ Medium กับ Hard ซึ่งทั้ง 12 ทีมแข่งต่างก็เลือกใช้กันอย่างพอใจในปัจจุบัน ทั้งนี้เป็นไปตามแนวทางลดการใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่เป็นส่วนประกอบของยาง รวมถึงลดภาระในการขนส่ง ซึ่งหมายถึงการลดการใช้พลังงานที่จะส่งผลต่อการเกิดคาร์บอน และมลภาวะ ทั้งนี้มิชลินตั้งเป้าผลิตยางล้อที่ยั่งยืน 100 % ภายในปี 2593
ในเรื่องของความยั้งยืน Michelin เรียนรู้จากการแข่งขันจักรยานยนต์ไฟฟ้า MotoE โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืน (สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้) หรือวัตถุดิบจากธรรมชาติในการขึ้นรูปยางหลังได้มากถึงร้อยละ 52 ส่วนยางหน้า ที่ร้อยละ 34 ซึ่งในอีกไม่ช้าเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนดังกล่าวจะได้รับถ่ายทอดมาสู่การแข่งขัน MotoGP สำ หรับยางโครงสร้างพร้อมสูตรเนื้อยางใหม่ที่มีการทดสอบอย่างเข้มข้น และต่อเนื่องจะเริ่มใช้ในฤดูกาล 2025
“ในแต่ละสนาม เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญพิเศษถึง 25 คน โดย 10 คนประจำเตรียมยางให้พร้อมตามออเดอร์ของทุกทีมแข่ง และจะประจำอยู่ที่พิทบ๊อกของแต่ละทีมแข่ง 1 คน/2 ทีม หรือ 4 คัน แต่ละสนามเราดำเนินการขนส่งยางโดยตู้ควบคุมอุณหภูมินำมาให้นักแข่งได้ใช้มากกว่า 1,200 เส้น และถูกนำมาใช้ 500-600 เส้น/สนาม ยางทั้ง หมดผลิตจากประเทศฝรั่งเศส โดยโครงสร้าง และส่วนผสมหลักยังเหมือนเดิม เรามีนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ที่พร้อมใช้กับยางรถจักรยายนต์อยู่หลายโซลูชัน และยังคงเรียนรู้เพื่อค้นหาปรับสูตรให้ได้สมรรถนะที่สมดุลที่สุด”
Frankie Carchedi หัวหน้าทีมเทคนิคของ Gresini Racing Team ให้ความเห็นว่า สำหรับช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท มีความท้าทายอย่างมาก โดยรูปแบบของสนามจำเป็นต้องใช้เบรกหนักมากในโค้งที่ 1 และโค้ง 12 รวมถึงโค้ง 3 สุดทางตรงที่รถแข่งอยู่บนความเร็วกว่า 330 กม./ชม. แล้วต้องเบรคเพื่อลดความเร็วให้เหลือความเร็วประมาณ 75 กม./ชม. ภายในเวลาแค่ 7 วินาที ในทุกๆ รอบสนาม ขณะที่อากาศมีการถ่ายเทน้อยมาก อุณหภูมิยางจึงสูงกว่า 80-100 องศาเซลเซียส อุณหภูมิพื้นผิวทแรคซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเลือกชนิดของยางเป็นอย่างมาก ตั้งแต่รอบซ้อม รอบควอลิฟายจับเวลา รวมถึง Spin Race เราเลือกใช้ยาง Medium กับยาง Hard แม้จะคุ้นเคยและรู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพของยาง Michelin แต่ก็ต้องวางกลยุทธ์อย่างละเอียดรอบครอบ ถ้าเลือกใช้ยาง Medium ซึ่งให้การยึดเกาะได้ดีกว่า แต่ความทนทานก็ไม่เท่ายาง Hard ในทางกลับกันยาง Hard ก็ไม่สามารถให้การยึดเกาะได้เท่ากับยาง Medium สุดท้ายต้องขึ้นอยู่กับความรู้สึกของนักแข่งแต่ละทีมในเวลานั้นด้วย ยางที่ดีจึงต้องให้ความสมดุลในทุกสถาวะการขับขี่
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Michelin ภูมิใจที่ได้แสดงสมรรถนะของยางรถแข่งไปทั่วโลก เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป และการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทำให้วงการมอเตอร์สปอร์ทได้เข้าสู่จุดเปลี่ยน ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่บริษัทฯ เผชิญ คือ การพัฒนายางที่มีความยั่งยืนเพื่อตอบรับกับความต้องการของตลาด ซึ่งการออกแบบและการผลิตยางของ Michelin นั้นจะต้องช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิตยาง ลดปริ มาณการปล่อยแกส CO₂ และการใช้วัตถุดิบที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตยางใหม่ โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพยางทำ ให้แบรนด์ Michelin ประสบความสำเร็จได้
ดังนั้น การแข่งรถจึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่พิสูจน์ที่สำคัญ และเร่งให้เกิดนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมากขึ้นกว่าเดิม การขับขี่แบบหนักหน่วงที่เกิดขึ้นในกีฬามอเตอร์สปอร์ท ทำให้ Michelin มีโอกาสสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทดลองโดยการบันทึกเวลาไว้ เรียนรู้ คิดวิธีแก้ปัญหาใหม่ๆ และเร่งการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืนซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทุกคน