ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีระบบช่วยการขับขี่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทำให้รถใหม่มีต้นทุนสูงขึ้น รถใหม่ และรถใช้แล้วมีราคาสูงขึ้น จากการศึกษาของ AAA (American Automobile Association) พบว่ายังมีค่าใช้จ่ายซ่อนอยู่อีก ในอุบัติเหตุรถชนแม้ไม่ได้ชนหนัก แต่มีตัวเลขค่าซ่อมสูงมาก
AAA พบว่า โดยเฉลี่ย 37.6 % ของค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม เป็นการซ่อม และปรับค่ามาตรฐานของเซนเซอร์ รวมถึงกล้องของระบบช่วยการขับขี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน" และ "ระบบป้องกันการออกนอกเลน" ที่มีเรดาร์ และกล้องเป็นอุปกรณ์หลัก แม้แต่เทคโนโลยีเก่าอย่าง "เซนเซอร์ถอยหลัง" ก็ส่งให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน
รวมถึงกรณี NHTSA (National Highway Traffic Safety Administration) ได้กำหนดให้มีระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ ทำให้รถใหม่ในสหรัฐฯ ต้องติดตั้งระบบช่วยการขับขี่ที่ซับซ้อนมากขึ้น เจ้าของรถควรทราบด้วยว่าค่าใช้จ่ายในการซ่อมจะสูงขึ้นตามความซับซ้อนของเทคโนโลยี หากเจ้าของรถละเลยการซ่อมแซม หรือซ่อมแซมไม่เหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตได้
AAA ได้ประเมินค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการซ่อมรถรุ่นปี 2566 จำนวน 3 คัน ที่ติดตั้งระบบช่วยการขับขี่ระดับก้าวหน้า โดยคิดค่าใช้จ่ายจากการซ่อม และปรับค่ามาตรฐานของเรดาร์เซนเซอร์ ที่ 500-1,300 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.74-4.52 หมื่นบาท) เซนเซอร์ระบบอุลทราโซนิค “ช่วยนำรถเข้าจอด” ราคา 300-1,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.05-3.48 หมื่นบาท) และกล้องติดกระจกหน้ารถ 900-1,200 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.13-4.18 หมื่นบาท) ทั้งหมดเป็นราคาของอุปกรณ์ระบบเทคโนโลยีเท่านั้น
แม้แต่กระจกข้าง ที่มีระบบมุมมองรอบทิศ และเตือนจุดบอด รวมถึงกล้องที่กระจกข้าง มีค่าใช้จ่าย 740 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2.57 หมื่นบาท) และ 1,600 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 5.57 หมื่นบาท) สำหรับการซ่อมแซมระบบ คิดเป็น 70.8 % ของค่าเปลี่ยนกระจกข้าง
แม้เทคโนโลยีของระบบต่างๆ จะทำให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่นับว่าไม่มากเลย ถ้าเทียบกับการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลจาก IIHS (Institute for Highway Safety) ยังพบว่ารถพิคอัพที่ติดตั้ง “ระบบเบรคฉุกเฉินอัตโนมัติ” ประสบอุบัติเหตุการชนท้าย ลดลงถึง 43 % และเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บ ลดลงถึง 42 %
บทความแนะนำ