ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
MG เตรียมส่ง B-Segment รุกตลาดครึ่งปีหลัง
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย นำรถยนต์ B-Segment รุ่นใหม่ทดสอบสมรรถนะการขับ ขี่ทั่วประเทศไทย โดยคณะวิศวกรจาก MG ทั้งไทย และต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา รวมระยะทางวิ่งแล้วกว่า 10,000 กม. ซึ่งใช้มาตรฐานการทดสอบระดับสากล ทั้งมาตรฐาน NEDC และ WLTP โดยเป็นการทดสอบที่ใช้องค์ประกอบจริงที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การเร่งแซง การใช้ความเร็วสูง การเปิดเครื่องปรับอากาศตามปกติ ทดสอบการประสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ตัวใหม่ล่าสุด เพื่อให้มีค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองออกมาใกล้เคียงกับการใช้งานจริงมากที่สุด
พร้อมการปรับตั้งการขับขี่ และทดสอบระบบความปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์รุ่นใหม่สามารถรองรับ การใช้งานกับทุกสภาพผิวถนน ทั้งถนนเรียบในเมือง นอกเมือง อัตราเร่งขึ้นทางชัน และทางลงเขา ทั้งยังพร้อมลุยได้ในทุกสภาพอากาศ ทั้งร้อน ฝนตก น้ำขัง หรือแม้แต่ในสภาพมีหมอกหนาทึบของประเทศไทย รวมถึงการทดสอบความคล่องตัวของรถ และอัตราเร่ง ในสนามปิด ด้วยดีไซจ์น รถที่โฉบเฉี่ยว ดูคล่องตัวเหมาะกับการขับขี่ในเมือง แม้จะพรางตัวด้วยสติคเกอร์ แต่ก็สามารถเดาได้ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นไหนที่เตรียมเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้แก่ตลาดรถยนต์ในประเทศ ไทยอีกครั้ง
Mitsubishi ประเทศไทย ยืนยัน “ไม่มีแผนหยุดผลิต Mitsubishi Mirage และ Attrage”
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ เป็นหนึ่งในผู้ผลิต และส่งออกรถยนต์ชั้นนำของประเทศไทย และถือเป็นศูนย์กลางด้านยุทธศาสตร์การเติบโตของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาด้วยกำลังการผลิตรถยนต์มากกว่า 400,000 คัน/ปี ทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ Mitsubishi (มิตซูบิชิ) ที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการส่งออกรถยนต์มากกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณการผลิตไปยัง 120 ประเทศทั่วโลก โดยล่าสุด แผนการผลิตรถ Mitsubishi Mirage (มิตซูบิชิ มิราจ) และ Mitsubishi Attrage (มิตซูบิชิ แอททราจ) ของบริษัทฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการส่งออกมากกว่าร้อยละ 90 ของปริมาณการผลิต พร้อมตอบสนองความต้องการรถอีโคคาร์ หรือรถยนต์ประหยัดพลังงาน ในตลาดประเทศไทยที่ยังคงได้รับความนิยม เพราะฉะนั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ จึงยังมิได้มีแผนที่จะหยุดการผลิต Mitsubishi Mirage และ Mitsubishi Attrage อย่างแน่นอน
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ ยังคงเดินหน้าเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการลงทุนสำคัญๆ อาทิ การลงทุนในสายการผลิตใหม่สำหรับ All-New Mitsubishi Triton (ออลล์-นิว มิตซูบิชิ ทไรทัน) ที่ประกอบด้วยหุ่นยนต์อัจฉริยะมากกว่า 250 ตัว และการผลิตเครื่องยนต์ใหม่ “ไฮเพอร์พาวเวอร์” ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อรถ All-New Mitsubishi Triton ในปี 2566 และการลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวโรงงานพ่นสีแห่งใหม่ที่แหลมฉบัง ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในปี 2565
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังวางแผนการลงทุน ด้วยงบประมาณกว่า 500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสายการผลิตที่โรงงานประกอบรถยนต์ ภายในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า XEV โดยเริ่มจาก Xpander HEV (เอกซ์แพนเดอร์ เอชอีวี) และ Xpander Cross HEV (เอกซ์แพนเดอร์ ครอสส์ เอชอีวี) ไปพร้อมกับรถยนต์อีโคคาร์ที่ผลิตอยู่เดิม
มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ มุ่งมั่นที่จะนำเสนอรถยนต์ที่พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเติมเต็มความสนุกเร้าใจในการการขับขี่ เพื่อปลุกจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ด้วยสมรรถ นะการขับขี่ที่เหนือชั้นจากเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยที่ล้ำสมัย ภายใต้ดีเอนเอของ Mitsubishi Motors-ness ด้วยปณิธานที่จะสร้างความเติบโต และพัฒนาไปพร้อมกับสังคมไทย และลูกค้าคนพิ เศษ
ตลอดระยะเวลากว่า 63 ปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย)ฯ ได้มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการพัฒนาเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทย ผ่าน 7 แกนหลัก ได้แก่ การลงทุน การส่งออก สิ่งแวดล้อม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การช่วยเหลือสังคม การจ้างงาน และการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์
ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทยฯ ฉลองผลิตรถ Ford-Mazda 4 ล้านคัน
บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย จำกัด (AAT) โรงงานร่วมทุน Ford (ฟอร์ด) และ Mazda (มาซดา) ฉลองหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จากการผลิตรถ ยนต์ครบ 4 ล้านคัน โดยรถคันที่ 4 ล้าน ที่ออกจากสายการผลิตในจังหวัดระยอง เป็นรถ Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) สีขาว
เคนอิจิโร ซารุวาตาริ ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรงงาน AAT นับว่ามีส่วนสำคัญในการสร้างมาตรฐานที่ดีเยี่ยม และขับเคลื่อนการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ด้วยการยึดมั่นในคุณภาพการผลิต ดำเนินงานตามมาตรฐานระดับโลกของบริษัทแม่ทั้ง 2 แห่ง และมีระเบียบปฏิบัติในระดับสากลตลอด 29 ปีของการดำเนินธุรกิจ เราภูมิใจที่ได้สร้างงาน และพัฒนาทักษะความรู้ความสามารถของพนักงานของเราตลอดมา ซึ่งการผลิตรถยนต์ Ford และ Mazda ครบ 4 ล้านคันในปีนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท และศักยภาพของทีมงานทุกคนในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยมจากไทยไปยังตลาดรถยนต์กว่า 171 ประเทศทั่วโลก
เคย์ ฮาร์ท ประธานกลุ่มตลาดนานาชาติ Ford Motor Company กล่าวว่า ในฐานะศูนย์กลางการผลิตหลักสำหรับ Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ในภูมิภาคนี้ และเป็นโรงงานเพียงแห่งเดียวในโลกที่ผลิตรถ Ford Everest การผลิตรถยนต์ครบ 4 ล้านคันในวันนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของทีมงาน AAT ในการสร้างความสำเร็จให้แก่ธุรกิจของ Ford ในกลุ่มตลาดนานาชาติ และทั่วโลก และยังสะ ท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดจากความมุ่งมั่นในการพัฒนา และการผลิตรถที่มีคุณภาพ
โรงงาน AAT เป็นฐานการผลิตรถยนต์ที่ครบวงจร และทันสมัยของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นใน พศ. 2538 จากการร่วมทุนระหว่างบริษัท Ford Motor Company และบริษัท มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเร ชั่น เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน สำหรับจำหน่ายทั้งในประเทศไทย และส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ นอกจากนี้ โรงงาน AAT ยังมีศักยภาพในการผลิต และจัดส่งชุดชิ้นส่วนรถกระบะขนาด 1 ตัน เพื่อสนับสนุนโรงงานของ Ford และ Mazda ในประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศ และได้ขยายฐานการผลิตสำหรับรถยนต์นั่งในปี ในปี พศ. 2550 โดยทั้ง Ford และ Mazda ได้ลง ทุนอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้มูลค่าการลงทุนร่วมของทั้ง 2 บริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 2,162 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 79,000 ล้านบาท
ข้อมูลด้านการผลิตของโรงงาน AAT
พศ. 2538 ก่อตั้งบริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด
พศ. 2541 เริ่มผลิตรถรกระบะ Ford Ranger และ Mazda Fighter (มาซดา ไฟเตอร์)
พศ. 2550 ผลิตรถยนต์ครบ 1 ล้านคัน
พศ. 2557 ผลิตรถยนต์ครบ 2 ล้านคัน
พศ. 2561 ผลิตรถยนต์ครบ 3 ล้านคัน
พศ. 2567 ผลิตรถยนต์ครบ 4 ล้านคัน
ปัจจุบันโรงงาน AAT มีกำลังการผลิตสูงสุด 270,000 คัน/ปี โดยผลิตเพื่อจำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกไปกว่า 171 ประเทศทั่วโลก โดยมีสัดส่วนการส่งออกที่ร้อยละ 65 รถรุ่นที่ผลิตในปัจจุบัน ได้แก่ Ford Ranger, Ford Everest, Mazda2 (มาซดา 2), Mazda3 (มาซดา 3), Mazda CX-3 (มาซดา ซีเอกซ์-3) และ Mazda CX-30 (มาซดา ซีเอกซ์-30) โดยตลาดหลักที่มียอดส่งออกมากที่ สุด คือ ประเทศออสเตรเลีย
Porsche เปิดตัว พแลทฟอร์ม Finder อย่างเป็นทางการในประเทศไทย
Porsche ประเทศไทย เดินหน้าสานฝันผู้หลงใหลในยนตรกรรมสปอร์ทระดับโลก เปิดตัว Porsche Finder อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ซึ่งเป็นพแลทฟอร์มค้นหารถยนต์ Porsche (โพร์เช) ทั้งรุ่นใหม่ และรถยนต์ Porsche Pre-Owned ที่เต็มเปี่ยมด้วยคุณภาพ เพื่อมอบประสบการณ์การค้นหา และเป็นเจ้าของรถยนต์ Porsche ในฝันที่ง่าย สะดวก และตรงใจผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น เพียงปลายนิ้วสัมผัส
ปีเตอร์ รอห์เวร์ กรรมการผู้จัดการ Porsche ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป กล่าวว่า Porsche Finder คือ พแลทฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์คนยุคดิจิทอล ให้ท่านสามารถเลือกซื้อรถ Porsche ได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมาโชว์รูม Porsche Finder ครบครันทุกข้อมูล พร้อมบริการทางการเงินที่ช่วยให้ท่านเป็นเจ้าของ Porscheได้ง่ายขึ้น" เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ สู่ Porsche ในฝัน เริ่มจากเลือกรถสปอร์ทรุ่นที่ท่านสนใจ พร้อมระบุรายละเอียดต่างๆ เช่น ปีที่ผลิต ระบบส่งกำลัง สี และอื่นๆ เพื่อให้ได้รถที่ตรงใจมากที่สุด จากนั้นสร้าง Porsche ในฝันของท่านด้วยการเลือกสีภายนอก ภายใน และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ตามสไตล์ที่เป็นท่าน เมื่อเจอคันที่ใช่แล้ว จองเลยง่ายๆ ผ่าน Porsche Finder ด้วยเงินมัดจำเพียง 200,000 บาท
Porsche Finder ครบครันทุกข้อมูล พร้อมบริการทางการเงินที่ช่วยให้ท่านเป็นเจ้าของรถ Porsche ได้ง่ายขึ้น เพราะเราเข้าใจว่าการออกแบบรถยนต์ Porsche ในฝัน คือ สิ่งที่ท่านตั้งใจ ดังนั้น เมื่อได้รถที่ต้องการท่านสามารถวางมัดจำจองรถยนต์ออนไลน์ได้ทันที เพื่อมั่นใจได้ว่ารถคันนี้จะเป็นของท่านอย่างแน่นอน พร้อมบริการทางการเงินจาก TTB Drive ที่จะช่วยให้ท่านเป็นเจ้าของ Porsche ได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่ TTB มอบให้เฉพาะลูกค้าที่จองรถสปอร์ทผ่าน Porsche Finder โดยบริการทางการเงิน ครอบคลุมรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นวงเงินอนุมัติสินเชื่อรวดเร็ว อัตราดอกเบี้ยพิเศษ และโซลูชันทางการเงินที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ปลดลอคประสบการณ์ใหม่ สู่ Porsche ในฝันของท่าน ง่าย ครบ จบในคลิค Porsche Finder ไม่ได้เป็นเพียงแค่พแลทฟอร์มค้นหารถยนต์ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ที่เหนือกว่าในการเป็นเจ้า ของ Porsche คันโปรดของท่านในยุคดิจิทอลนี้ เพียง 3 ขั้นตอนง่ายๆ ผ่านเวบไซท์ Porsche Finder ท่านก็สามารถค้นหา เลือก และจองรถ Porsche รุ่นที่ใช่ได้ทันที มั่นใจได้ว่ารถที่ท่านจองจะมาถึงมือท่านอย่างแน่นอน Porsche Finder คือ อีกหนึ่งความมุ่งมั่นของประเทศไทย ในการมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า โดยมุ่งเน้นการนำเสนอบริการที่สะดวกสบาย ตอบโจทย์ทุกความต้อง การ และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน
MG รุกตลาดเอมพีวี ส่ง Maxus 7 สู้ศึก
บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต และผู้จำหน่ายรถยนต์ MG (เอมจี) ในประเทศไทย ย้ำภาพผู้นำตลาดอีวี เดินหน้านำเสนอประสบการณ์การขับขี่รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 % ให้คนไทย เผยราคาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ New MG Maxus 7 (เอมจี แมกซัส 7) รถ E-MPV พลังงานไฟฟ้า 100 % แบบ 7 ที่นั่ง ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการที่ 1,769,000 บาท พิเศษ ! กับเอกซ์คลูซีฟแคมเปญ มูลค่ากว่า 120,000 บาท พร้อมส่งมอบรถถึงมือลูกค้าปลายเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป
พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า MG เล็งเห็นถึงโอกาสผนวกกับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้นในยุคปัจจุบัน จึงได้เพิ่ม “ตัวเลือกที่ลงตัว” New MG Maxus 7 เข้าสู่ตลาดอีวีไทย โดยได้เผยโฉมสู่สาธารณชนครั้งแรกในงานมอเตอร์โชว์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และมีผู้ให้ความสนใจจองรถรุ่นนี้ล่วงหน้ากว่า 300 คัน โดยเป้าหมายของรถรุ่นนี้ MG ต้องการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครอบครัวยุคใหม่ได้อย่างครอบคลุม มากที่สุดกับครอบครัวที่มีสมาชิกหลากหลายเจเนอเรชันเพื่อให้สามารถใช้เวลาร่วมกันได้อย่างมีคุณค่าด้วยราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดย MG มีรถเตรียมส่งมอบ 1,500 คันภายในปีนี้ โดยเริ่มทยอยส่งมอบในปลายเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ไม่เพียงเท่านั้น MG ยังคงมุ่งมั่นสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้งานรถอีวีด้วยสถานี MG Super Charge Station ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 147 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงขยายศูนย์บริการ 150 แห่งทั่วประเทศให้สามารถรองรับบริการรถยนต์ไฟฟ้าของลูกค้า MG เพื่อให้คนไทยอุ่นใจในการใช้รถอีวีได้ในทุกพื้นที่
ประสบการณ์การขับขี่ครั้งใหม่ กับความสุขที่ลงตัวของครอบครัว ด้วย รถ E-MPV ไซซ์กลาง New MG Maxus 7
MG ต่อยอดความสำเร็จของรถตระกูล MG Maxus สู่ New MG Maxus 7 รถ E-MPV พลังงานไฟฟ้า 100 % แบบ 7 ที่นั่ง ที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าครอบครัวสมัยใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ทั้งดีไซจ์นภายนอกที่โดดเด่นแฝงความเรียบหรูอันมีเอกลักษณ์ ทั้งกระจังหน้าใหม่ แบบ Grille less Design ประตูสไลด์ด้านข้างด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมที่เปิดประตูแบบเก็บซ่อนในตัวรถ (Hidden Door Handle) ฝากระโปรงท้ายเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า และหลังคาพาโนรามิคซันรูฟแบบ One Touch ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ออกแบบเพื่อรอง รับการใช้งานได้อย่างลงตัว ดีไซจ์นคอนโซลหน้าแบบ Double Layer พร้อมที่วางแก้ว และรองรับการชาร์จแบบไร้สาย (Wireless Charger) นั่งสบายทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง พร้อมระบบดันหลังไฟฟ้า เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง สามารถปรับระดับอุณหภูมิได้ตามความต้องการ สำหรับเบาะนั่งแถว 2 เป็นแบบ Captain Seat ปรับแบบแมนวล ที่ถูกออกแบบให้โอบรับกระชับทุกสรีระ มาพร้อมฟังค์ชันที่มอบความสะดวกสบายอย่างครบครัน ทั้งจอกลางแบบสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple Car Play และสมาร์ทโฟนระบบ Android และช่องเชื่อมต่อ USB ให้เสียงรอบด้านด้วยลำโพงมากถึง 8 จุด เพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับด้วยระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกโซนด้านหน้า และหลัง และระบบกรองอากาศ PM2.5
นอกจากนี้ New MG Maxus 7 ยังคงความโดดเด่นด้านสมรรถนะการขับขี่ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุดที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตันเมตร แบทเตอรีแบบลิเธียม-ไอออน จัดวางแบบ Cell-to-Pack ขนาดความจุ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางสูงสุด 570 กม./การชาร์จ 1 ครั้ง ตามมาตรฐาน NEDC แบทเตอรีมาตรฐานความปลอดภัย IP67 ช่วยในการป้องกันน้ำ และฝุ่น พร้อมรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 120 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยชาร์จไฟจาก 30-80 % ใช้เวลาเพียง 30 นาที และการชาร์จแบบธรรมดา รองรับการชาร์จสูงสุดที่ 11 กิโลวัตต์ชั่วโมง โดยชาร์จไฟจาก 5-100 % ในเวลาประมาณ 8 ชั่วโมงครึ่ง ทั้งนี้ ยังสามารถเปลี่ยนรถให้เป็นแหล่งพลังงานได้ด้วยระบบ V2L โดยสามารถจ่ายกระ แสไฟฟ้าได้ถึงระดับ 6.6 กิโลวัตต์ โดยสามาถชาร์จรถอีวีคันอื่นได้ในเวลาเดียวกัน พร้อมอุ่นใจในทุกการเดินทางด้วยระบบความปลอดภัยที่ครบครัน มาตรฐาน Advanced Synchronized Protection System พร้อมระบบ ADAS รวมมากถึง 25 ระบบ ได้รับมาตรฐาน 5 ดาว ทั้ง Euro NCAP และ ANCAP
New MG Maxus 7 นับเป็นรถ E-MPV ไซซ์กลาง โดยมีสีตัวถังให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีขาว (Pearl White) สีดำ (Black Knight) มาพร้อมสีภายในดูเรียบหรูด้วยโทนสีดำ และสีน้ำตาล ทั้งยังมีสีพิเศษอย่าง สีเขียว (Emerald Green) มาพร้อมสีภายในโทนสีขาว และสีพิเศษทูโทนเทาหลังคาดำ (Grey/Black) เพิ่ม 20,000 บาท จัดจำหน่ายในราคาที่เน้นให้คนไทยเป็นเจ้าของได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเพียง 1,769,000 บาท มาพร้อมข้อเสนอพิเศษมูลค่ากว่า 120,000 บาท ดังนี้
ฟรี MG Home Charger จำนวน 1 ชุด มูลค่า 42,057 บาท
ฟรี ค่าติดตั้ง MG Home Charger มูลค่า 18,692 บาท
ฟรี อุปกรณ์จ่ายกระแสไฟ V2L (Vehicle to Load) จำนวน 1 ชุด มูลค่า 10,000 บาท
ฟรี ประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. คุ้มครอง 1 ปี
พิเศษ ! เงื่อนไขการรับประกันแบทเตอรี 8 ปี หรือ 200,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
พิเศษ ! ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพรถยนต์ 5 ปี หรือ 160,000 กม. (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
ฟรี บริการช่วยเหลือฉุกเฉินไม่จำกัดจำนวนครั้ง และไม่จำกัดระยะทาง พร้อมบริการรถ Limousine Service กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ตลอด 5 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
กรุงศรี ออโต้ แชร์ "เทคนิค" ขับขี่ปลอดภัย อุ่นใจบนท้องถนนยามฝนตก
ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่หน้าฝนตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา "ฝน" อาจเป็นอุปสรรคของการขับรถที่เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายที่ผู้ใช้รถต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และอุบัติเหตุบนท้องถนนที่มีสาเหตุมาจากสภาพอากาศก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ พายุฝนเป็นสาเหตุให้ถนนลื่น และทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง ฉะนั้น การเรียนรู้เทคนิคการขับรถในช่วงฤดูฝนจึงไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ แต่ยังช่วยเสริมความมั่นใจในเดินทางได้อีกด้วย วันนี้ "กรุงศรี ออโต้" ผู้นำธุรกิจสินเชื่อยานยนต์ครบวงจร เครือธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ขอแชร์วิธีขับรถฝ่าหน้าฝนเพื่อให้ทั้งผู้ขับขี่ และผู้ใช้รถเดินทางอย่างปลอดภัยบนท้องถนน
1. เปิดไฟหน้ารถทั้งกลางวัน และกลางคืน เพราะเส้นทางข้างหน้านั้นยากลำบาก เวลาที่เกิดฝนตกหนัก หรือพายุเข้า วิสัยทัศน์จะแย่ลง ทำให้มองเห็นได้ยาก จะเห็นเพียงเส้นสายฝนหนาๆ เท่านั้น จึงจำเป็นจะต้องเปิดไฟหน้ารถให้สว่างยิ่งขึ้น หรืออีกวิธี คือ เปิดไฟตัดหมอก ก็จะช่วยได้เช่นเดียวกัน
2. ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน เพราะเวลาเปิดไฟฉุกเฉิน จะไม่สามารถเปิดไฟเลี้ยวซ้าย และขวาได้ อาจสร้างความสับสนให้แก่รถคันอื่น ทำให้รถที่ขับรถตามหลังมา รวมถึงผู้ร่วมใช้ถนนอื่นๆ ไม่สามารถรับรู้ถึงความต้องการของเรา และทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุได้
3. ไม่ขับรถเร็วจนเกินไป เนื่องจากเวลาฝนตก ถนนจะลื่นเป็นอย่างมาก การขับรถเร็วเกินไปเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุรถลื่นไถล ทำให้เสียการทรงตัว เมื่อเจอหลุมบ่อที่มีน้ำขัง ยิ่งต้องขับช้าๆ เพื่อชะลอแรงกระแทก ที่อาจทำให้รถเสียการควบคุม ก่อนออกจากบ้านควรเชคยางให้ดีว่ายางยังสามารถรีดน้ำได้ดีหรือไม่
4. เว้นระยะห่างจากคันหน้า เนื่องจากถนนลื่นทำให้ระบบเบรคอาจมีปัญหา ไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจ อาจเกิดการไหลของรถได้ ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณ 2 คัน เพื่อลดการเกิดอุบัติ เหตุ
5. ห้ามหลบรถแบบกะทันหันเมื่อเจอแอ่งน้ำขัง เวลาเจอแอ่งน้ำลึก ให้ชะลอรถไว้ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเลนเพื่อหลบแอ่งน้ำ เวลาเจอแอ่งน้ำตื้น สามารถขับผ่านไปได้ สามารถทำได้โดยการขับช้าๆ ใช้ความเร็วต่ำ เพื่อไม่ให้น้ำกระเด็นใส่ผู้อื่น
6. จดจ่อในการมองข้างหน้า ต้องมีสติ และสมาธิในการขับรถมากกว่าปกติ เพราะวิสัยทัศน์ที่ไม่ดี ทำให้เส้นทางข้างหน้าไม่สามารถคาดเดาได้ อาจจะมีอะไรโผล่มาแบบไม่ทันคาดคิด เพราะต่างคนต่างมองไม่เห็นกัน รวมถึงต้นไม้ หรือสิ่งของต่างๆ ที่ออกมาอยู่บนถนน เราจึงต้องมีสมาธิในการขับขี่ให้มากๆ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
นอกจาก 6 วิธีขับขี่ปลอดภัยในหน้าฝนแล้ว สิ่งสำคัญ คือ การไม่ประมาท และการมีสติระหว่างการขับขี่อยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ ดังนั้น ความรอบรู้เรื่องรถ และเทคนิคการขับขี่อย่างปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่ควรศึกษา กรุงศรี ออโต้ ขอแนะนำแอพพลิเคชัน GO by Krungsri Auto เหมาะกับผู้ใช้รถคนไทยทุกคน เพราะมีทั้งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการใช้รถ บริการทางการเงิน ประกันรถยนต์ สมัครขอสินเชื่อออนไลน์ ข้อมูลด้านยานยนต์ ค้นสถานีชาร์จรถไฟฟ้าจากผู้ให้บริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้าชั้นนำของไทย ยังมีบริการต่างๆ สำหรับผู้ใช้รถอีกมากมาย รวมถึงสิทธิพิเศษ และส่วน ลดมากมายตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ในยุคนี้ สนใจโหลดใช้งานได้ ที่นี่ https://kautolink.com/ujo42Z
สมาคมประกันวินาศภัยไทย เชค “รายชื่อ Black List บริษัทประกัน (รถยนต์)”
ดร. สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อความเกี่ยวกับรายชื่อบริษัทประกัน (รถยนต์) ที่ถูก Black List เนื่องจากสถานะทางการเงิน และการไม่ปฏิ บัติตามสัญญาประกันภัยทางโซเชียลมีเดียนั้น สมาคมประกันวินาศภัยไทยได้ทำการตรวจสอบข้อความดังกล่าวพบว่า เป็นข้อความเก่าที่เคยถูกส่งต่อกันมาแล้วหลายครั้ง และล่าสุดปี 2567 ได้ถูกนำกลับมาเผยแพร่ซ้ำอีกครั้ง โดยข้อความดังกล่าวเป็นข้อความเดิมที่เป็นเท็จ สร้างความเสียหายต่อบริษัทประกันภัย และกระทบต่อภาพลักษณ์ของธุรกิจประกันวินาศภัย รวมถึงทำลายความเชื่อมั่นของผู้เอาประกันภัย และประชาชนเป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมา สมาคมฯ และสํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ร่วมกันเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อสร้างการรับรู้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อทุกช่องทาง พร้อมเตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อ และแชร์ข้อมูลเท็จดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายความผิดฐานนำเข้าข้อมูลเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ อีกทั้งบริษัทประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากข้อความที่มีการส่งต่อกันนี้ได้มีการดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่สร้างข่าวลือ และบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งผู้กระทำผิดก็ได้ออกมาแถลงขอโทษแล้ว แต่ถึงปัจจุบันยังคงมีผู้หลงเชื่อ และทำการเผยแพร่ข้อความโดยการส่งต่อ หรือแชร์ในโซเชียลมีเดียอยู่อย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น เพื่อเป็นการย้ำเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่มีเจตนาไม่ดีที่ต้องการสร้างความเข้าใจผิดเพื่อสร้างความเสียหาย สมาคมฯ จึงขอแจ้งข้อมูลที่ถูกต้องให้ประชาชนรับทราบ ดังนี้
1. ปัจจุบันบริษัทประกันภัยที่ถูกกล่าวถึงนั้น ได้ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย จำนวน 6 บริษัท ได้แก่
(1) บริษัท พาณิชย์การประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2548
(2) บริษัท สัมพันธ์ประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2552
(3) บริษัท ลิเบอร์ตี้ประกันภัย จำกัด ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2554
(4) บริษัท พัชรประกันภัย จำกัด ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.ธนสินประกันภัย เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2547 และเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น บมจ.ยูเนี่ยน อินเตอร์ ประกันภัย และถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557
(5) บริษัท สินทรัพย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2564
(6) บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2565
2. บริษัทประกันภัยที่ถูกกล่าวถึง และยังคงดําเนินการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
(1) บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 77 โดยมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 295 ถนนสี่พระยา แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพฯ โทร. 0-2640-7777 Hotline 1741
(2) บริษัท เอราวัณประกันภัย จำกัด (มหาชน) ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อินชัวร์เวิร์ส จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2566 ซึ่งดำเนินธุรกิจเข้าสู่ปีที่ 42 โดยมีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 1115 อาคารทิพยประกันภัยฯ (สำนักงานใหญ่) ชั้นที่ 24 ถนนพระราม 3 แขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 โทร. 0-2118-4750
“ปัจจุบันมีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดียเป็นจำนวนมาก ดังนั้น ประชาชนต้องรู้เท่าทันกลลวงของผู้ที่มีเจตนาไม่ดีแอบแฝง โดยเชคข้อมูล และแหล่งที่มาให้ชัวร์ก่อนแชร์ หรือส่งต่อข้อความใดๆ มิเช่นนั้นอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้ไม่หวังดี และอาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายในที่สุด”
ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบข้อมูลในการประกอบธุรกิจประกันภัยของบริษัทต่างๆ ผ่านช่องทางของบริษัทประกันวินาศภัยโดยตรง หรือทางเวบไซท์ของ สํานักงานคณะกรรมการกํากับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) www.oic.or.th และเวบไซท์ของสมาคมประกันวินาศภัยไทย www.tgia.org หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน คปภ. 1186 หรือสมาคมประ กันวินาศภัยไทย โทร. 0-2108-8399
MotoGP ประเทศไทย พร้อมกระหึ่ม ตค. นี้
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดจำหน่ายบัตรศึกรถจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมพ์โลก หรือ MotoGP ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพสนามที่ 18 พร้อมเปิดตัวสปอนเซอร์ใหม่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยีจำกัด (มหาชน) หรือ PTG ภายใต้ชื่อรายการ "PT Grand Prix of Thailand 2024" เตรียมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ระดับเวิร์ลด์คลาสส์ นำเสนอัตลักษณ์ความงดงามแบบไทย พร้อมเสิร์ฟประสบการณ์มอเตอร์สปอร์ทเฟสติวัลเต็มรูปแบบ ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จ. บุรีรัมย์ ระหว่าง 25-27 ตุลาคม 2567 ถ่ายทอดความยิ่งใหญ่ไปกว่า 200 ประเทศทั่วโลก สู่ผู้ชม 800 ล้านคน
ดร. พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทย และคนไทย ถือว่าตลอด 4 ปีของการจัดการแข่งขันศึกรถจักรยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง MotoGP บนผืนแผ่นดินไทย ประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างภาพจำ "MotoGP วิถีไทย" สื่อสารถึงความเป็นไทยที่เต็มไปด้วยความงดงาม อ่อนช้อย ศิลปวัฒน ธรรม สู่มหกรรมกีฬาแห่งความสุข สร้างความประทับใจ มอบประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้แก่ผู้ชม ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายหนึ่ง ในแผนที่มอเตอร์สปอร์ท ในหัวใจแฟนความเร็วทั่วโลกที่อยากมาเยือนสักครั้งในชีวิต
"การจัด MotoGP ในประเทศไทยเป็น Mega Event ฟันเฟืองสำคัญ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามนโยบาย Sport Tourism ในปีที่ผ่านมามียอดผู้ชมการแข่งขันสูงถึง 179,811 คน นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มมากถึง 11 % สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากกว่า 4,493 ล้านบาท จากการใช้จ่าย ทั้งค่าเดินทาง ค่าที่พัก ค่าอาหารเครื่องดื่ม ค่าของที่ระลึก ฯลฯ "
ดร. ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การจัดการแข่งขัน MotoGP ในประเทศไทยในปีนี้มีกระแสค่อนข้างแรง จึงเปิดจำหน่ายบัตรเร็วขึ้นกว่าทุกปี รวมทั้งภารกิจของคณะผู้จัดฯ ยากขึ้นทุกปีเช่นกัน เนื่องจากได้สร้างมาตรฐานไว้สูงมาก ตั้งแต่การจัดงานในครั้งแรก โดยพันธกิจสำคัญของการกีฬาแห่งประเทศไทย คือ การพัฒนานักฬาไทยเพื่อยกระดับขึ้นไปเทียบเท่าระ ดับสากล ปีที่ผ่านมา "ก้อง" สมเกียรติ จันทรา สร้างประวัติศาสตร์คว้าโพเดียม Moto2 สุดยิ่งใหญ่ได้สำเร็จ สร้างความภูมิใจให้คนทั้งประเทศ และในปีนี้มีนักแข่งสายเลือดไทยทั้ง "ก้อง-สมเกียรติ จัน ทรา" ในรุ่น Moto2 และ "ก๊อง-ธัชกร บัวศรี" ในรุ่น Moto3 ที่ลงทำการแข่งขันตลอดฤดูกาล และสร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอย่างมาก
นฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาจังหวัดบุรีรัมย์ใช้กีฬาเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างแท้จริง โดยการจัดการแข่งขัน MotoGp ในปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการสร้างงานของคนในพื้นที่กว่า 6,426 ตำแหน่ง สร้างเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจให้แก่พี่น้องในจังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดใกล้เคียง สำหรับปีนี้ จังหวัดพร้อม 100 % แน่นอนในการรองรับนักท่องเที่ยว นักแข่ง ทีมแข่ง สื่อมวลชน รวมทั้งบุคลากรฝ่ายจัดการแข่งขัน รวมกว่า 2 แสนคน ตลอด 3 วัน ปรับปรุง และพัฒนาทุกส่วน เพื่อให้มอบประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ 1 ปีมีสนามเดียวในโลกที่ "ชัตเติ้ลแต๋น" สินทรัพย์ และภูมิปัญญาไทยของพี่น้องเกษตรกร จะได้อวดโฉมรับ-ส่งผู้มาเยี่ยมเยือนจากทั่วโลก
เฟร์ราน จงกา ผู้อำนวยการอาวุโสด้านผู้สนับสนุนระดับโลก Dorna Sports กล่าวว่า Dorna Sports มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้สนับสนุนหลักในการแข่งขัน MotoGP หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ทำงานร่วมกัน เพื่อส่งเสริม MotoGP ประเทศไทยที่แสนพิเศษนี้ให้พิเศษขึ้นไปอีก ในปีนี้ผมมั่นใจว่าการแข่งขันสนามประเทศไทย ที่จังหวัดบุรีรัมย์ จะเป็นสุดสัปดาห์ที่ยอดเยี่ยมสนุก เข้มข้น เร้าใจ ทั้งยังมีกิจกรรมที่รอสร้างความประทับใจให้แก่แฟน MotoGP ที่เข้ามาชมในสนามมากมาย
รังสรร พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG กล่าวว่า PT มีความยินดี และภูมิใจอย่างมากที่ได้เข้ามาเป็นครอบครัว ThaiGp หนึ่งใน Grand Prix ที่ดีที่สุดสนามหนึ่งของโลก ด้วยฝีมือคนไทย ยิ่งใหญ่ อลังการ สมบูรณ์แบบ โดยคว้าโอกาสสนับสนุนต่อเนื่องถึง 3 ปี ตั้งแต่ 2024-2026 โอกาสนี้ มอบสิทธิ์ในการซื้อบัตรราคาพิเศษ สำหรับสมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25 %
นอกจากนี้ ยังสามารถรับส่วนลด 20 % เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือบัตร PT Max Card ณ จุดจำหน่ายบัตร รวมทั้งจัดเตรียมกิจกรรมสุดพิเศษ และยิ่งใหญ่ จากสถานีบริการน้ำมัน PT และธุรกิจในเครือ ไม่ว่าจะเป็นกาแฟพันธุ์ไทย, Coffee World รวมถึงศูนย์บริการรถยนต์ Autobacs และอื่นๆ อีกมากมายไว้บริการในวันแข่งขัน
บัตรเข้าชม MotoGP 2024 เป็นบัตรชมงานแบบ 3 วัน แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1. Grand Stand 5,000 บาท (เห็นทุกโค้งทั่วสนาม) ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 3,750 บาท
2. Side Stand 2,000 บาท (ราคาสบายกระเป๋า) หักส่วนลดสุงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท
3. Rider Stand สำหรับกองเชียร์นักแข่ง 3 คน ได้แก่ มาร์เกซ สแตนด์, กวาร์ตาราโร สแตนด์, จันทรา สแตนด์ สำหรับแฟน ก้อง-สมเกียรติ จันทรา ราคา 3,000 บาท หลังหักส่วนลดสูงสุดเหลือเพียง 2,250 บาท พร้อมของที่ระลึก ลิขสิทธิ์แท้จากนักแข่งที่ชื่นชอบ และ 4. Brand Stand ในปีนี้พิเศษสุด มีการปรับผังที่นั่ง เพิ่มประเภทสแตนด์ หรืออัฒจันทร์ เพื่อดึงดูดใจให้ผู้ชมกระจายตัวสู่รอบสนาม โดยจัดให้มีสแตนด์สำหรับกองเชียร์จากค่ายรถจักรยานยนต์ชั้นนำ พร้อมรับของรางวัลจากผู้สนับสนุน และรับสิทธิ์ลุ้นรางวัลจากผู้สนับสนุนมากมายได้แก่ Honda Stand, Yamaha Stand ราคา 2,000 บาท ราคาหลังหักส่วนลดสูงสุด 25 % เหลือเพียง 1,500 บาท ส่วน "Ducati Stand" รับส่วนลดสูงสุด 20 % จากราคา 2,000 บาท เหลือเพียง 1,600 บาท
ราคาจำหน่ายบัตรในประเทศไทย จัดว่าถูก และคุ้มค่าที่สุดสนามเดียวในโลก เนื่องจากทุกภาคส่วนจัดเต็มมหกรรมความบันเทิงทั้งใน และนอกสนาม คอนเสิร์ท มวย ชอพ ชิม สำหรับแฟนๆ สามารถซื้อบัตรชม PT Grand Prix of Thailand 2024 ได้แบบสบายกระเป๋า ด้วยส่วนลดสุดปัง สมาชิก PT Max Card Plus เพียงแค่แสดงบัตรรับส่วนลดทันที 25 %
นอกจากนี้ ยังสามารถรับส่วนลด 20 % เมื่อแสดงบัตร PT Max Card Prestige หรือ บัตร PT Max Card หรือใช้สิทธิ์ส่วนลดจากผู้สนับสนุน ได้แก่ Chang International Circuit Friend Club, กุญ แจรถจักรยานยนต์ Honda (ฮอนดา) กุญแจรถจักรยานยนต์ Yamaha (ยามาฮา) ส่วนกุญแจรถจักรยานยนต์ Ducati (ดูคาติ) ใช้เป็นส่วนลด 20 % ได้เฉพาะ Ducati Stand เท่านั้น (สงวนสิทธิ์เลือกใช้ส่วนลดได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง)
"Yamaha Stand" ซื้อบัตรทุกที่นั่ง ลุ้นรับรถจักรยานยนต์ Yamaha R15M Connected ABS (ยามาฮา อาร์ 15 เอม คอนเนคเทด เอบีเอส) รุ่นปี 2024 จำนวน 1 คัน มูลค่า 138,000 บาท และ "Honda Stand" จะได้รับ Cheering kit มูลค่ากว่า 800 บาททุกที่นั่ง ประกอบด้วยเสื้อยืด Collection ก้อง สมเกียรติ, หมวก, กระเป๋า, กระบองลม และพัด ส่วน “Ducati Stand" รับ Ducati Fan Kits มูลค่า 500 บาท, หมวก Ducati, สายคล้องคอ Ducati Tribuna, กระบองลม
ซื้อบัตรได้ที่ Counter Service All Ticket ในร้าน 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ allticket.com แลกบัตรพลาสติคได้ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม-10 ตุลาคม 2567