ธุรกิจ
Bentley เผยโฉม New Continental GT Speed
ครูว์-Bentley Motors เผยโฉม New Continental GT Speed (คอนทิเนเทอล จีที สปีด) ใหม่ สุดยอด Grand Tourer โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 หลังจาก 21 ปีแห่งการถือกำเนิดอัครยนตรกรรมตระ กูล Continental GT พร้อมกำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานสมรรถนะระดับซูเพอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับงานฝีมือ และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับ
สำหรับการเปิดรับคำสั่งจอง New Continental GT Speed Bentley Bangkok โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้า และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ Bentley (เบนท์ลีย์) อย่างเป็นทาง การแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบขอเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์ Bentley รุ่น New Continental GT Speed ดังนี้:
รุ่น New Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท
รุ่น New Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 29.5 ล้านบาท
ผู้ครอบครองรถยนต์ Bentley จาก Bentley Bangkok โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด รับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบทเตอรีไฮบริดที่ นานที่สุด ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต และบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชม. (24-Hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี
การออกแบบภายนอก และภายในห้องโดยสารใหม่ทั้งหมดมาพร้อมกับรายละเอียดที่ร่วมสมัยตามดีเอนเอการออกแบบใหม่ของรุ่น Bentley Bacalar (เบนท์ลีย์ บาคาลาร์) และ Bentley Batur (เบนท์ลีย์ บาตูร์) สมรรถนะที่โดดเด่นมาจากขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ มอบพละกำลังกว่า 782 แรงม้า แรงบิด 1,000 นิวตันเมตร จากเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 190 แรงม้า ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ใน 3.2 วินาที โดยมีพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนกว่า 81 กม. ระยะทางรวมกว่า 859 กม. ตอกย้ำความเป็นซูเพอร์คาร์ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ประสิทธิภาพแห่งขุมพลังเครื่องยนต์ยังมาพร้อมกับระบบแชสซีส์ใหม่ด้วยถุงลมคู่ใหม่ที่จับคู่กับแดมเพอร์วาล์วคู่ใหม่ พร้อมด้วย Bentley Dynamic Ride (ระบบควบคุมการเข้าโค้งแบบแอคทีฟด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลท์) เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (ELSD) และระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง พร้อมด้วยประสิทธิภาพในการขับขี่ที่น่าทึ่ง และความสบายในการขับขี่ที่ดีที่สุดในปัจจุบันอันเป็นผลลัพธ์มาจากการถ่ายเทน้ำหนักของรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบ 49:51 ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของรถยนต์
ชูเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยมอบความประสิทธิภาพในการขับขี่ที่เหนือชั้นเพื่อให้ทุกการเดินทางเป็นประสบการณ์ที่ราบรื่นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสาร และการเชื่อมต่อระบบภายในรถยนต์
การออกแบบภายนอกใหม่ถือเป็นการปฏิวัติการออกแบบอัครยนตรกรรม Bentley ในอนาคตด้วยผลิกโฉมการออกแบบ Continental GT ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษ และถือเป็นอัครยนตร กรรมรุ่นเรือธงรุ่นแรกที่มีไฟหน้าแบบเดี่ยวนับตั้งแต่ปี 2493
มากไปกว่านั้น การออกแบบภายในห้องโดยสารด้วยวัสดุ คุณภาพ และงานฝีมือชั้นสูงยังคงมาพร้อมกับการนำเทคโนโลยีเบาะนั่งเพื่อสุขภาพ ระบบฟอกอากาศแบบใหม่ พื้นผิวหนังขึ้นรูปแบบ 3 มิติ การควิลท์แบบร่วมสมัย และการตกแต่งทางเทคนิค เช่น โครเมียมเฉดสีใหม่มาเติมเต็มความเป็นที่สุดให้กับอัครยนตรกรรมรุ่นนี้
ระบบไฟฟ้าขนาด 400 โวลท์ใหม่ และเทคโนโลยีขุมพลังที่ล้ำสมัยที่สุดที่ในปัจจุบันมีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำที่สุดเพียง 29 กรัม/กม. พร้อมพิสัยการเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้ากว่า 81 กม. (WLTP)
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ Bentley ที่อัครยนตรกรรมแบบคูเป รุ่น Continental GT และรุ่น Continental GTC (คอนทิเนนทอล จีทีซี) แบบเปิดประทุนจะเปิดตัวพร้อมกันเพื่อให้ลูกค้าได้มีโอกาสเลือกครอบครองอัครยนตรกรรมที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
New Continental GT และ New Continental GTC จะถูกประกอบขึ้นด้วยช่างฝีมือทั้งหมด ณ Bentley’s Dream Factory เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มต้นสายการผลิต และการส่งมอบภาย ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ขุมพลัง The Ultra Performance Hybrid
สำหรับ Continental GT Speed โฉมใหม่ มาพร้อมกับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ที่ได้รับการพัฒนา โดยขุมพลังดังกล่าวผสานเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรใหม่ที่สามารถผลิตพละกำลังกว่า 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 190 แรงม้า มอบพละกำลังสูงสุด 782 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 335 กม./ชม.
แรงบิดได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับ Continental GT Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่น W12 จาก 900 เป็น 1,000 นิวตันเมตร พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 19 % จาก 659 เป็น 782 แรงม้า ซึ่งทำให้ Continental GT Speed ใหม่เป็นอัครยนตรกรรม Bentley ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเหนือกว่ารุ่น Supersports รุ่นที่ 2 และอัครยนตรกรรมออกแบบพิเศษรุ่น Batur
สำหรับพละกำลังจะถูกส่งผ่านระบบส่งกำลังแบบคลัทช์คู่ 8 จังหวะ และเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (ELSD) ไปยังล้อทั้ง 4 เพื่อการจ่ายกำลังที่ยอดเยี่ยมและการยึดเกาะถนนที่มั่นคงที่สุดในทุกสภาพถนน
ระบบจะควบคุมการไหลของพลังงานตามโหมดที่เลือก สำหรับโหมดไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มพลังงานไฟฟ้า การเบรกแบบจ่ายพลังงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดสำหรับรุ่น Continental GT Speed ใหม่ คือ โหมดชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อ และชาร์จแบทเตอรีในเวลาเดียวกัน
ขุมพลังใหม่มอบสมรรถนะขั้นสูงสุด ทำให้ Continental GT รุ่นล่าสุดแตกต่างจากยนตรกรรมสปอร์ทหรูรุ่นอื่นๆ ด้วยแรงม้า และแรงบิดที่มากขึ้น พร้อมประสิทธิภาพในการลดการปล่อยแกสคาร์บอน ไดออกไซด์ และอัตราการลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 ใน 10 ของเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ในทางกลับกัน เครื่องยนต์แบบไฮบริดสมรรถนะสูงจะมอบความสามารถในการขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่สมรรถนะขั้นสูงสุดไปจนถึงการขับขี่เงียบสงบด้วยพลังงานไฟฟ้า
ผลจากการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์รุ่น V8 และพลังงานไฟฟ้า Continental GT โฉมใหม่จึงสามารถส่งมอบพละกำลัง และแรงบิดที่ได้รับการพัฒนาตลอดทุกช่วงรอบ ซึ่งรวมถึงการเสริมพลัง งานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการเร่งความเร็วที่มีเสถียรภาพตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำ และตลอดช่วงกลาง พร้อมด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ที่ย่านความเร็วที่สูงขึ้น
สำหรับการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า โหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เงียบสงบ และต่อเนื่อง โดยในโหมดไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตพละกำลังได้ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กม./ชม. และสามารถชาร์จแบทเตอรีเต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยการพัฒนาขั้นสูงของเครื่องชาร์จและความจุของแบทเตอรีด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์
แชสซีส์ที่มีประสิทธิภาพสูง
New Continental GT Speed และ New Continental GTC Speed รุ่นใหม่มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการขับขี่จาก Bentley Performance Active Chassis แชสซีส์ใหม่ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการโคลงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลท์ หรือ Bentley Dynamic Ride และซอฟท์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังได้รับการติดตั้งระบบแดมเพอร์วาล์วคู่ใหม่ และถุงลมคู่ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัครยนตรกรรมสปอร์ทคูเปรุ่นใหม่ที่ผสมผสานสมรรถนะ ประสิทธิภาพในการควบคุม และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประทับใจ
ความสามารถด้านไดนามิคโดยรวมและประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์ของรถแบบ 50:50 ซึ่งเป็นผลมาจากการวางตำแหน่งที่มีประสิทธิ ภาพของแบทเตอรีไฮบริด การกระจายน้ำหนักทำให้รถมีความสมดุลระหว่างการขับขี่แบบไดนามิค และช่วยให้สามารถเข้าถึงรูปแบบการขับขี่ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และด้วยระบบ ESC ขั้นสูงที่ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ New Continental GT Speed สามารถควบคุมการยึดเกาะถนนเพื่อยับยั้งการโอเวอร์สเตียร์ นอกจากนี้ ระบบ ESC ยังสามารถปิดได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถปรับท่าทางในการเข้าโค้งของตัวรถให้สมดุลเพื่อให้ได้ประสบการณ์การขับขี่ที่ไดนามิกที่สุด
สำหรับระบบแชสซีส์ใหม่จะทำให้การใช้โหมดความสะดวกสบายนั้นสะดวกสบายยิ่งขึ้น และโหมดสปอร์ทก็สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การออกแบบที่เน้นเส้นสายแห่งพลังและความร่วมสมัย
New Continental GT Speed ใหม่ยังคงรักษาเอกลักษณ์เส้นสายการออกแบบหลัก 3 เส้นสายตั้งแต่การออกแบบรุ่น R-Type Continental ในปี 2495
New Continental GT Speed เจเนอเรชันที่ 4 ดำเนินรอยตามดีเอนเอการออกแบบอัครยนตรกรรมแบบ 2 ประตูยุคใหม่ด้วยแรงบรรดาลใจจากท่าทางของสัตว์ดุร้ายที่กำลังพักผ่อน เส้นสายของกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลาย ความมั่นใจ ความเข้มแข็ง และทรวดทรงของบั้นท้ายที่แข็งแกร่ง และความชัดเจนที่บ่งบอกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยภาพที่นักออกแบบของ Bentley นึกถึง คือ เสือหมอบที่สงบนิ่งและสุขุม แต่พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังอันเหลือเชื่อได้ทุกเวลาเมื่อออกล่า
ด้านหน้าของตัวรถได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามของม้า ซึ่งตอกย้ำความเป็นสุดยอด Grand Tourer สุดหรูรุ่นนี้ พร้อมกับฝากระโปรงหน้าแบบทอดยาวตลอดแนวหลังคาที่จะสร้างเส้นแนวนอนที่แข็งแกร่งผ่านตัวรถ บ่งบอกถึงเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูง และความเร็วที่แท้จริง
ตัวรถทั้งคันได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างหมดจด ด้วยรอยต่อบนพื้นผิวที่น้อยลง ทำให้เผยให้เห็นถึงทรวดทรง และรูปร่างที่ประณีตยิ่งขึ้น ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ ตั้งแต่ชุดแต่งตัวถังไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับรุ่น Continental GT นั้นก็คือ การตกแต่งด้วยไฟหน้าแบบเดี่ยว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รูปลักษณ์ของ Continental GT ใหม่มีการแสดงออกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากการแสดงออกที่ชัดเจนของเสือนักล่า
New Continental GT มาพร้อมกับไฟหน้าในลักษณะ "คิ้ว" แนวนอนใหม่ พร้อมด้วยเอฟเฟคท์เพชรเจียระไนด้านบนกรอบไฟ และหลอดไฟสำหรับการส่องสว่างด้านล่างที่ไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์ประกอบไปด้วยไฟ LED แยกกันจำนวนกว่า 120 ดวงที่ได้รับการควบคุมแบบดิจิทอลสำหรับไฟต่ำไปจนถึงการเพิ่มกำลังไฟสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟโดยที่ลำแสงหลักจะขยายขอบเขตการส่องสว่างให้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีการหรี่แสงที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การเปลี่ยนจากบริเวณที่มีแสงสว่างไปยังบริเวณที่ไม่มีแสงสว่างค่อยเป็นค่อยไป การมองถนนเบื้องหน้าจึงมีความเป็นธรรม ชาติมากขึ้น และให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลายโดยปราศจาก "หลุมดำ" ในขอบเขตของการมองเห็น
ด้านท้ายตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้าย ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิคเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ในขณะที่ตัวรถยังดูสะอาดตา และมีการตกแต่งที่น้อยลง
ไฟท้ายมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่น่าทึ่งด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง ขอบไฟยื่นออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ พร้อมกับภายในที่ตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง โดยเมื่อส่องสว่าง ส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟคท์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว
ล้ออัลลอยขนาด 22 นิ้วใหม่มีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแรงบันดาลใจจากเสือ โดยมี "กรงเล็บ" ของล้ออัลลอยที่จะสัมผัสไปตามพื้นถนน รูปแบบล้ออัลลอยแบบใหม่มีให้เลือกทั้งในโทนเฉดสีเข้มแบบมัน-เงา เฉดสีดำเงา หรือเฉดสีเงิน
บรรทัดฐานใหม่ของการออกแบบภายในห้องโดยสาร
อัครยนตรกรรมในตระกูล Continental GT มีการตกแต่งภายในที่สวยงามที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสุดยอดหัตถศิลป์จากทีมช่างฝีมือมากทักษะ ณ โรงงาน Bentley Motors เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษ
ภายในห้องโดยสารของ Grand Tourer โฉมใหม่ตกแต่งด้วยลวดลายการควิลท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นแบบร่วมสมัยบริเวณเบาะโดยสาร และประตูห้องโดยสาร และด้วยการแกะสลักงานควิลท์ การปรุสีซีด และการปักควิลท์แบบใหม่ บรรยากาศภายห้องโดยสารจึงเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของรังไหมให้ทุกการเดินทางพิเศษกว่าที่เคย
สำหรับเบาะโดยสารแบบปรับได้ 20 ทิศทางใน Continental GT โฉมใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มยนตรกรรมหรูมาอย่างยาวนานในด้านความสะดวกสบาย และความประณีต ซึ่งเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพที่มาพร้อมกับระบบปรับท่าทาง และระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติสำหรับเบาะโดยสารคู่หน้านี้จะช่วยลดความเมื่อยล้า และมอบความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง
อีกทั้ง การตกแต่งแบบ Dark Chrome จะมอบความสวยงามที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น และทำให้ห้องโดยสารดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตกแต่งในบริเวณมือจับประตู สวิทช์ หน้ากากของลำโพง และพื้นที่บริเวณโดยรอบห้องโดยสาร ซึ่งแผนก Mulliner (มูลินเนอร์) แผนกออกแบบพิเศษของ Bentley Motors สามารถรังสรรค์คุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยให้อัครยนตรกรรมรุ่นล่าสุดมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นได้
ระบบเสียงใน Continental GT โฉมใหม่ มีให้เลือก 3 แบบด้วยกันกับระบบเสียงมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 10 ตัว ขนาด 650 วัตต์ และระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 16 ตัว ขนาด 1,500 วัตต์ ตกแต่งด้วยหน้ากากลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแนวไลฟ์สไตล์ และปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก Naim ขนาด 2,200 วัตต์ พร้อมด้วยลำโพงจำนวน 18 ตัว และเครื่องแปลงความถี่เสียง Active Bass Transducers ที่ติดตั้งอยู่ภายในเบาะโดยสารคู่หน้า และโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กระจกกันเสียงแบบลามิเนทยังติดตั้งสำหรับกระจกบังลมและหน้าต่างด้านข้างเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งสามารถลดลงได้ 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระจกแบบธรรมดา
Continental GT ใหม่ ยังคงนำเสนอนวัตกรรมหน้าจอแสดงผลแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล 3 ด้านที่ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนะลอกสุดคลาสสิค 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ที่งดงาม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว
ระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ยังตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟคท์แบบรังไหม โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี
การรังสรรค์ด้วยเฉดสีที่โดดเด่น
สำหรับการรังสรรค์ New Continental GT ตัวเลือกใหม่สำหรับเฉดสีภายนอก และภายในห้องโดยสารจะถูกเพิ่มเข้าไปในชุดสีเดิมที่หลากหลายอยู่แล้วเพื่อการรังสรรค์อัครยนตรกรรมได้อย่างไร้ข้อจำกัด
เฉดสีที่โดดเด่นรวมถึงหนังเฉดสีเทา Gravity Grey ใหม่ ซึ่งมาพร้อมกับเฉดสีภายนอกแบบเมทัลลิคสุดลึกล้ำที่ดูแข็งแกร่ง พร้อมเผยให้เห็นเฉดสีทองแดงแบบเมทัลลิคเมื่อกระทบกับแสงแดด
สำหรับ Continental GT โฉมใหม่เปิดตัวในเฉดสีเขียว Tourmaline Green ซึ่งเป็นการตีความสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ของ Bentley ที่สดใสและร่วมสมัย ทั้งยังเป็นการเผยความโดดเด่นของ Bentley ยุคใหม่
เทคโนโลยีสุดล้ำสมัย
Continental GT และ GTC Speed รุ่นใหม่ได้รับการติดตั้งระบบไฟฟ้าเจเนอเรชันล่าสุด ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญในด้านเทคโนโลยีความบันเทิงภายในรถยนต์ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ชุดเทคโนโล ยีเหล่านี้ถือเป็นเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในกลุ่มยนตรกรรมหรู และมีการแข่งขันสูงในกลุ่มลูกค้าจากแบรนด์ในระดับเดียวกันที่หันมาสนใจในแบรนด์รถยนต์ Bentley
การแสดงสภาพแวดล้อมบนแผงหน้าปัดสำหรับคนขับสามารถรองรับ และเปิดใช้งานการขับขี่ในโหมดกึ่งช่วยเหลือ โดยระบบจะให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้ขับขี่ว่าควรจะตอบสนองต่อรถคันอื่นอย่างไร การรับรู้ของตัวรถเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจะช่วยเสริมกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบจอดรถด้วยตนเองรุ่นล่าสุดพร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็ว อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในด้านการขับขี่เท่านั้น แต่ระบบปรับอากาศยังได้รับการพัฒนาเพื่อคุณภาพของอากาศภายในห้องโดยสารด้วยเครื่องฟอกอากาศ ตัวกรองอนุภาคแบบใหม่ และจอแสดงผลที่แสดงคุณ ภาพอากาศทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร โดยคุณสมบัติด้านความสะดวกสบายเหล่านี้จะทำให้ทุกการเดินทางได้รับประสบการณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น และสามารถปรับแต่งให้สะท้อนถึงความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ นอกจากนี้ ระบบของตัวรถยังเชื่อมต่อกับการนำทางด้วยดาวเทียม โดยสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อใดที่จำเป็นต้องปรับคุณภาพอากาศภายในห้องโดยสารด้วยการหมุนเวียนอา กาศ
New Continental GT Speed ได้รับการพัฒนาคุณสมบัติที่สำคัญ อาทิ Apple Car Play, Android Auto และการอัพเดทแผนที่แบบ Over-the-air นอกเหนือจากคุณสมบัติเหล่านี้แล้ว ผู้ขับขี่จะยังได้เพลิดเพลินไปกับการเชื่อมต่ออื่น อาทิ การเชคสถานะการชาร์จระยะไกลที่จะช่วยให้สามารถตรวจสอบ และควบคุมการชาร์จรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย ระบบช่วยจอดระยะไกลที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถจอดรถ หรือเรียกรถจากระยะไกลผ่านโทรศัพท์ได้ การปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารล่วงหน้าจากระยะไกลเพื่อให้มั่นใจว่าสภาพอากาศภายในห้องโดยสารพร้อมสำหรับการออกเดินทาง
ในแต่ละปี Bentley Motors มาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ อย่างเช่น ระบบปรับความเร็วให้พอดีกับสัญญาณไฟ หรือเทคโนโลยีที่จะช่วยเหลือผู้ขับขี่ให้ขับขี่ผ่านไฟเขียวไปตลอดเส้นทาง
Continental GT รุ่นที่ 4 ยังมาพร้อมกับการเปิดตัว My Bentley App Studio ใหม่ที่จะเป็นส่วนสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์ และผู้ขับขี่ โดยผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงแอพพลิเคชันต่างๆ ของรถ ยนต์ Bentley และแอพพลิเคชันจากภายนอกที่สามารถดาวน์โหลดได้โดยตรงผ่าน My Bentley App Studio ที่จะรวมถึงแอพพลิเคชันต่างๆ สำหรับเพลง วีดีโอ เกม แผนที่นำทาง การจอดรถ และการชาร์จ เป็นต้น โดยแอพพลิเคชันต่างๆ สามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบความบันเทิงภายในห้องโดยสารได้อย่างราบรื่น และสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยในขณะขับรถ ซึ่งรายการแอพพลิเคชันจะได้รับการปรับให้เหมาะสมตามแต่ละภูมิภาคโดยเฉพาะ
The Continental GTC Speed
นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของอัครยนตรกรรมตระกูล Continental ที่รุ่น GTC แบบเปิดประทุนจะเปิดตัวพร้อมกับรุ่น GT แบบคูเป สำหรับ New Continental GTC มีตัวเลือกสำหรับเฉดสีภาย นอกของหลังคาผ้าใบถึง 7 เฉดสีที่รวมถึงผ้าทวีด โดยสามารถเปิดประทุนได้ภายในระยะเวลา 19 วินาทีในขณะที่รถยนต์วิ่งด้วยความเร็งสูงสุด 48 กม./ชม.
สมรรถนะของ Continental GTC Speed ถือว่าน่าทึ่งสำหรับยนตรกรรมแบบ Grand Tourer แบบเปิดประทุนด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในระยะเวลาเพียง 3.4 วินาที โดยความเร็วสูงสุดจะถูกจำกัดด้วยระบบอีเลคทรอนิคส์ไว้ที่ 285 กม./ชม.
New Continental GT Speed ถือเป็นอัครยนตรกรรมที่จะกำหนดนิยามใหม่ของ Grand Tourer ที่สมบูรณ์แบบด้วยการออกแบบที่ร่วมสมัย โดดเด่น ทรงพลัง และเส้นสายที่สง่างาม อัครยนตรกรรมสปอร์ทคูเป เจเนอเรชันที่ 4 จึงอยู่เหนือทุกคู่แข่งในแง่ของเทคโนโลยีความสะดวกสบายในการขับขี่ งานฝีมือที่วิจิตรงดงาม และการรังสรรค์ในแบบเฉพาะตัว
สำหรับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่อันน่าทึ่งจะมอบการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะขั้นสุดยอด และประสิทธิภาพจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ผู้ขับขี่จะได้สัมผัสกับประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือชั้น พร้อมกับเทคโนโลยีอันล้ำสมัยที่จะทำให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินในทุกเส้นทาง