รถล่าสุด
เปิดตัว MINI Cooper SE (1,699,000 บาท) และ Countryman SE (3,399,000 บาท) รถยนต์ไฟฟ้า 2 สไตล์จาก “MINI” !
มินิ ประเทศไทย เหยียบคันเร่งเต็มสปีดเข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ ลุยเปิดตัว MINI ใหม่ ล่าสุด ในเจเนอเรชันที่ 5 แบบครบเครื่องทั้งความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดีไซจ์นสไตล์มีนีมอลที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทอล และสมรรถนะการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ ตอบโจทย์นักขับทุกสไตล์ ทั้งยังต่อยอดพันธกิจของแบรนด์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ตลาดยนตรกรรมไฟฟ้าแบบเต็มตัวภายในปี 2030 นำทัพโดย MINI Cooper SE (มีนี คูเพอร์ เอสอี) ใหม่ พลิกประวัติศาสตร์ของความสนุกบนท้องถนนกว่า 60 ปี
นอกจาก MINI Cooper SE ใหม่ ในรุ่น 3 ประตูแล้ว MINI ยังเปิดตัวอีก 2 รุ่นในตระกูล Countryman ที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติเอาใจสายแอดเวนเจอร์ กับ MINI Countryman SE (มีนี คันทรีแมน เอสอี) ใหม่ ในระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า 100% เป็นครั้งแรก พร้อมด้วย MINI JCW Countryman (มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน) โฉมใหม่ล่าสุดของครอสโอเวอร์ตัวแรงสำหรับสายสปอร์ทผจญภัยที่แฟนๆ MINI ชื่นชอบ และ มินิ ประเทศไทย ยังได้เผยโฉม MINI Aceman SE (มีนี เอศแมน เอสอี) ใหม่ สู่แฟนๆ ชาวไทยเป็นครั้งแรก กับสมาชิกใหม่ของแบรนด์ MINI ในรูปแบบคอมแพกต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่ผสมผสานความรู้สึกการขับขี่แบบ “Go-Kart feeling” ในสไตล์ MINI เข้ากับความคล่องตัวแบบสารพัดประโยชน์ โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การดีไซจ์นที่แปลกใหม่จากทุกมุมมอง
MINI Cooper SE ใหม่
ราคาจำหน่าย: 1,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
MINI Cooper SE ใหม่ ในเจเนอเรชันที่ 5 นี้ ได้นำดีไซจ์นดีเอนเอดั้งเดิมของความเป็น MINI มาผสมผสานเข้านวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 100 % กับเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างลงตัว ต่อยอดประสบการณ์การขับขี่ในรูปแบบ "Electrified Go-Kart" ที่ได้สร้างความตื่นเต้นให้กับนักขับมาแล้วทั่วโลก ด้วยรูปลักษณ์ใหม่ในแบบมีนีมอลสุดล้ำ และนวัตกรรมดิจิทัลที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ซึ่งตัวถังของ MINI เจเนอเรชันใหม่นี้ ได้รับการออกแบบมาสำหรับระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าโดยเฉพาะ และมีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตรเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ดีไซจ์นที่เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์
เมื่อแรกเห็น MINI Cooper SE ใหม่ มีส่วนหน้ารถที่สั้น ฐานล้อยาว และล้อขนาดใหญ่ที่เติมบุคลิกความสปอร์ตแบบเต็มพิกัด ในขณะที่โฉมใหม่ในสไตล์มีนีมอลของ MINI Cooper SE รุ่นนี้ยังสามารถสังเกตเห็นได้จากมือจับประตูที่กลมกลืนกับพื้นผิวของตัวรถ เช่นเดียวกับซุ้มล้อ และขอบด้านข้างรถที่เสมอกับผิวตัวถังรอบคัน ซึ่งเป็นไปตามแบบฉบับของ MINI รุ่นคลาสสิก ทำให้รถดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ในขณะที่ด้านหน้าของรถยังคงโดดเด่นด้วยไฟหน้าทรงกลมอันเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ประจำตัว และยังสามารถสร้างสีสันที่สะท้อนสไตล์ และตัวตนของผู้ขับขี่ได้เด่นชัดยิ่งกว่าเดิมด้วยโหมดไฟซิกเนเจอร์ที่มีให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Classic, Favoured และ JCW ดูสะดุดตาเคียงข้างกับกระจังหน้าทรง 8 เหลี่ยมโฉมใหม่ที่ขับเน้นความสปอร์ทจากกรอบสีเงิน Vibrant Silver
สไตล์ความมีนีมอลในงานออกแบบยังเห็นได้จากด้านข้างตัวถังที่ไม่มีแถบสีดำ เข้าคู่กับตัวถังที่เพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.28 เหนือกว่ารถยนต์รุ่นอื่นๆ ในเซกเมนท์เดียวกัน ส่วนด้านท้ายสวยสะอาดตา มีสัดส่วนและเส้นสายของตัวรถที่ดูทรงพลัง และคาดกลางด้วยแถบสีดำแนวนอนบริเวณกึ่งกลางฝากระโปรงท้ายตอบรับการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกองค์ประกอบ
ห้องโดยสารของ MINI Cooper SE ใหม่ ยังได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความเรียบง่าย และความยั่งยืนควบคู่กัน โดยแผงหน้าปัด แผงประตู และฝาปิดช่องเก็บของต่างๆ ภายในรถล้วนผลิตจากเส้นใยโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล 90 % ส่วนเบาะนั่งสไตล์สปอร์ทยังคงความหรูหรา และนุ่มสบายเช่นเคยด้วย Vescin สีน้ำเงิน Nightshade ซึ่งเป็นวัสดุหนังสังเคราะห์แบบใหม่ของ MINI ที่นำมาใช้แทนหนัง ซึ่งเป็นการเลือกใช้วัสดุที่ทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยังมีความสวยงาม และคุณภาพที่ยอดเยี่ยม และแม้แต่ภายนอก ล้อของ MINI Cooper SE ใหม่ก็ยังตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนด้วยการใช้อลูมิเนียมรีไซเคิล MINI รุ่นล่าสุดนี้จะมาพร้อมกับชุดแต่ง Favoured Trim เพิ่มความโฉบเฉี่ยวด้วยล้อขนาด 18 นิ้วแบบ Slide spoke ในดีไซจ์นทูโทน ส่วนพื้นผิวหน้าแผงคอนโซลหุ้มด้วยผ้าถักลายตารางแบบทูโทน ในขณะที่กล่องเก็บของที่บุด้วยผ้าถักจากวัสดุพิเศษ พร้อมสายผ้าสำหรับใช้ช่วยเปิดที่เก็บของให้สะดวกง่ายดายยิ่งขึ้นจอแสดงผล OLED ทรงกลมความละเอียดสูงเป็นครั้งแรกของวงการยานยนต์
สำหรับฟีเจอร์ที่โดดเด่นในห้องโดยสารของ MINI Cooper SE ใหม่ ที่สะท้อนตัวตนของ MINI เวอร์ชันต้นตำรับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1959 คือหน้าจอ MINI Interaction Unit ทรงกลมขนาดใหญ่ที่แผงคอนโซลด้านหน้า ซึ่งเป็นจอแสดงผล OLED ความละเอียดสูง นำเสนอประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกสบายในแบบฉบับที่ไม่ต่างจากการใช้สมาร์ทโฟน โดยส่วนบนของหน้าจอจะเป็นพื้นที่แสดงข้อมูลสำคัญของตัวรถ เช่น ความเร็วรถ และสถานะแบทเตอรีในขณะที่ส่วนที่เหลือของจอแสดงผลทรงกลมยังสามารถปรับเปลี่ยนให้แสดงข้อมูลการนำทาง เพลงและความบันเทิงอื่น ๆ รวมถึงฟีเจอร์ด้านการเชื่อมต่อต่าง ๆ ได้อย่างครบครันและสะดวกง่ายดาย
นอกจากนี้ ระบบ Head-up Display ก็ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นข้อมูลสำคัญของตัวรถได้โดยไม่ต้องละสายตาจากท้องถนนอีกด้วยหน้าจอ MINI Interaction Unit ยังถือเป็นหัวใจสำคัญของโหมดการใช้งาน MINI Experience ฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยปรับแต่งประสบการณ์การขับขี่ และเติมสีสันให้กับทุกเส้นทางได้ตามใจชอบ ด้วย 7 โหมดที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นโหมดขับขี่ของตัวรถ เสียงจำลองที่ช่วยเสริมบรรยากาศการขับขี่ และสีสันจากหน้าจอรวมทั้งระบบไฟภายในห้องโดยสาร โดยในโหมดมาตรฐาน ‘Core Mode’ ห้องโดยสารจะได้รับการตกแต่งด้วยหน้าจอและไฟในโทนสี Laguna ที่เป็นหนึ่งในสีประจำตัวของ MINI พร้อมการขับขี่โหมด Comfort และเสียงจำลองแบบมาตรฐานที่ทั้งผู้ขับขี่และบุคคลภายนอกจะได้ยินไปด้วยกัน เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่การขับขี่และคนเดินถนน ‘Go-Kart Mode‘ จะเปลี่ยนชุดสีหน้าจอเป็นสีดำ Anthracite ผสมกับสีแดง และระบบไฟ ambient light สีแดง เติมความดุดันให้เข้ากับการขับขี่ในแบบสปอร์ตด้วยเสียงเครื่องยนต์จากรุ่น John Cooper Works-JCW ที่ปรับแต่งมาเพื่อสร้างความเร้าใจโดยเฉพาะ ส่วน ‘Green Mode‘ จะตั้งค่ารถเป็นโหมดการขับขี่แบบมีประสิทธิภาพที่สุด เพื่อเพิ่มระยะทางการขับขี่สูงสุด ขณะที่หน้าจอและระบบไฟส่องสว่างจะมาในสีเขียวนวลตา
นอกเหนือจาก 3 โหมดหลักนี้ MINI Interaction Unit ยังมาพร้อมกับบุคลิกและลูกเล่นที่โดดเด่นมากขึ้นในอีก 4 โหมด นับตั้งแต่ความสามารถในการซิงค์แสงไฟภายในกับภาพปกอัลบั้มของเพลงที่กำลังเล่นใน ‘Vivid Mode’ จากการใช้เทคโนโลยีลูกเล่นสี “Color Grabber” และการรองรับภาพพื้นหลังที่เลือกเองได้ใน ‘Personal Mode’ ไปจนถึงการสะท้อนภาพประวัติศาสตร์สุดคลาสสิกของ MINI ผ่านทั้งภาพและเสียงใน ‘Timeless Mode’ หรือบรรยากาศความเรียบง่าย สงบ สบายใน ‘Balance Mode’ ด้านล่างของหน้าจอ MINI Interaction Unit ซึ่งติดตั้งอยู่บนคอนโซลด้านหน้า ผู้ขับจะได้พบกับแผงควบคุม Toggle Bar ดีไซจ์นใหม่ อีกหนึ่งองค์ประกอบที่หวนคืนมาจาก MINI รุ่นคลาสสิก โดย Toggle Bar ใหม่นี้ จะช่วยให้ผู้ขับขี่เข้าถึงฟังก์ชันสำคัญต่าง ๆ ในการขับขี่ได้อย่างสะดวกง่ายดาย ทั้งเบรกมือ สวิทช์เลือกเกียร์ สวิทช์หมุนสตาร์ท/ดับเครื่อง สวิทช์สลับโหมด MINI Experience หรือปุ่มการควบคุมระดับเสียงเพลงครบครันด้วยบริการด้านดิจิทอล และผู้ช่วยขับขี่อัจฉริยะ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ใน MINI Cooper SE ใหม่ ที่จะมาปฏิวัติวงการไม่ต่างจากหน้าจอ OLED ก็คือผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกในไทย พร้อมตอบสนองทุกคำสั่ง เพียงออกเสียงเรียกว่า “Hey MINI!” หรือจะเลือกกดปุ่มสั่งการด้วยเสียงบนพวงมาลัยก็สะดวกไม่แพ้กัน ซึ่งนอกจากแค่การรับคำสั่ง MINI Intelligent Personal Assistant ยังสามารถปรากฏตัวทักทายคุณบนหน้าจอ MINI Interaction Unit ในรูปของรถ “MINI” ที่เป็นหน้าตาแบบมาตรฐาน หรืออาจเลือกอัพเกรดผ่านแพคเกจ MINI Connected ให้เป็นน้องหมา “Spike” ที่แฟน ๆ ต้องหลงรักก็ได้
เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ ล้วนขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 แพลตฟอร์มซอฟท์แวร์ที่พัฒนาด้วยมือของทีมงาน บีเอมดับเบิลยู กรุ๊ป บนพื้นฐานของ Android Open Source Project (AOSP) เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายดายด้วยระบบสัมผัส แสดงผลด้วยภาพกราฟิกเคลื่อนไหวที่สวยงามในทุกหน้าจอ และทำงานร่วมกับฟังค์ชันอื่นๆ ได้หลากหลาย เช่น เชื่อมต่อกับแพ็คเกจ MINI Navigation ขณะขับขี่เพื่อช่วยนำทางด้วยระบบคลาวด์ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายแบบ 5G ในตัว และยังสามารถแสดงภาพ 3 มิติเพื่อช่วยนำทางผ่านจุดเลี้ยวที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจ ส่วน MINI Connected Store ยังมอบแอพพลิเคชันที่หลากหลาย ครบครันทั้งแอพเพื่อการใช้งาน และความบันเทิง รวมถึงเกม แอพสตรีมเพลง และวิดีโอ
MINI Cooper SE ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่หลากหลาย รวมถึงฟังค์ชันจอดรถอัตโนมัติอย่าง Parking Assistant และแพ็คเกจ Driving Assistant ซึ่งสามารถเลือกอัพเกรดเป็น Driving Assistant Plus ที่มาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) โดยลูกค้าสามารถเลือกสมัครได้ในแบบ 1 เดือน 1 ปี 3 ปี และตลอดอายุการใช้งาน ส่วนฟีเจอร์กุญแจรถดิจิทอล MINI Digital Key Plus ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายอีกระดับ ด้วยการเปลี่ยนสมาร์ทโฟน และสมาร์ทวอชให้เป็นกุญแจรถ ซึ่งสามารถเปิดใช้งาน Welcome Light ได้โดยอัตโนมัติเมื่อเจ้าของรถอยู่ในระยะ 3 ม. จากตัวรถ และสามารถปลดล็อคประตูอัตโนมัติเมื่อเดินเข้ามาในระยะ 1.5 ม. รวมไปถึงการสตาร์ทเครื่องยนต์เมื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งพร้อมจะออกเดินทาง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อ Digital Key ให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวได้อย่างง่ายดาย และปลอดภัยยกระดับอารมณ์การขับขี่แบบ Go-Kart ด้วยเทคโนโลยีระบบการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%
ในด้านสมรรถนะรถ MINI Cooper SE ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมกำลังระบบไฟฟ้ารุ่นล่าสุดที่ผ่านการเสริมสมรรถนะมาอย่างรอบด้าน ส่งกำลัง 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า และแรงบิด 330 นิวทันเมตร/33.7 กก.-ม. ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.7 วินาที ทั้งยังทำงานผสานกับช่วงล่างที่ปรับแต่งมาเพื่อการควบคุมที่คล่องตัว ด้วยจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ ฐานล้อที่ยาวขึ้นและขยับไปชิดมุมรถทั้ง 4 ด้าน (Short overhang) ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น คงไว้ซึ่งสไตล์การขับขี่แบบโกคาร์ทไว้ได้อย่างครบถ้วน การบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ แบทเตอรีแรงดันสูง 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมงใน MINI Cooper SE ใหม่ พร้อมส่งพลังงานสำหรับการเดินทางที่ระยะทางสูงสุด 402 กม. ตามมาตรฐาน WLTP นอกจากนี้ ตำแหน่งการติดตั้งแบทเตอรีในพื้นรถยังทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ส่งผลให้รถมีความสามารถในการยึดเกาะและการควบคุมที่ยอดเยี่ยม
แบทเตอรี่ของ MINI Cooper SE ใหม่ รองรับการชาร์จไฟแบบ AC สูงสุด 11 กิโลวัตต์ ในขณะที่การชาร์จไฟแบบ DC ทำได้สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ โดยในโหมด DC จะสามารถชาร์จจาก 10-90 % ในเวลาเพียงไม่ถึง 30 นาที นอกจากนี้ แบทเตอรีรุ่นนี้ยังรองรับการตั้งค่าการชาร์จต่าง ๆ เช่น เวลาชาร์จ ระดับแบทเตอรีที่ต้องการ และอื่น ๆ พร้อมการเข้าถึงข้อมูลแบทเตอรีจากหน้าจอมือถือผ่าน MINI App
MINI Cooper SE ใหม่ พร้อมให้นักขับชาวไทยเป็นเจ้าของได้แล้วที่ราคา 1,699,000 บาท พร้อมแพ็คเกจ MSI Standard โดยมี 6 สีให้เลือก ได้แก่ Blazing Blue, Nanuq White, Melting Silver ที่มาพร้อมกับหลังคาสีดำ Jetblack และ British Racing Green, Sunny Side Yellow, Chili Red II ที่ให้ลูกค้าเลือกหลังคาดำ Jetblack หรือสีขาว Glazed White
ข้อเสนอพิเศษสำหรับ MINI Cooper SE ใหม่*
• สำหรับลูกค้าที่จอง MINI Cooper SE ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ผ่านช่องทางออนไลน์ที่ https://minionlinesales.com/ และมีกำหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 จะได้รับแพ็คเกจ MINI Connected ฟรี 1 ปี*
• ลูกค้าที่จอง MINI Cooper SE ใหม่ และทำสัญญาทางการเงินกับ MINI ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม โดยมีกำหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 รับข้อเสนอผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 11,555 บาท/เดือน*
• สำหรับลูกค้าเก่าและลูกค้าปัจจุบันที่มีสัญญาทางการเงินกับ MINI ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย เมื่อจอง MINI Cooper SE ใหม่ และทำสัญญาทางการเงินกับ MINI ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม โดยมีกำหนดรับมอบรถภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2567 รับข้อเสนอขยายแพ็คเกจรับประกัน MINI Extended Protect (Extended warranty) สูงสุด 2 ปี (มูลค่ารวม 25,970 บาท)*
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ MINI Contact Center 1397
MINI Countryman SE ใหม่
ราคา: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard 4 ปี ไม่จำกัดระยะทาง)
*รถคันที่จัดแสดงในงานไม่ใช่สเป็คที่จะจำหน่ายในประเทศไทย
รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นแรกของตระกูลคันทรีแมน ด้วย MINI Countryman SE ใหม่ ที่มาพร้อมกับเอกลักษณ์ด้านการออกแบบใหม่ล่าสุด ผสานความโดดเด่นของรถยนต์แบบออฟโรดอเนกประสงค์ รถยนต์สำหรับครอบครัว และความสนุกสนานของประสบการณ์การขับขี่ที่ไร้มลพิษเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัวในคันเดียว
MINI Countryman SE ใหม่ สืบทอดบุคลิกที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ด้วยพื้นผิวตัวถังที่เฉียบคม แต่ยังคงกลิ่นอายขององค์ประกอบด้านการออกแบบสุดคลาสสิคของ MINI ทั้งช่วงล้อหน้า และฝากระโปรงหน้าที่สั้น ตัดกับฐานล้อที่ยาว ขนาดมิติตัวถัง และฐานล้อมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยมีความยาว 4,445 มม. กว้าง 1,843 มม. สูง 1,635 มม. และฐานล้อ 2,692 มม. โดดเด่นด้วยกระจังหน้ารูปทรง 8 เหลี่ยมดีไซจ์นใหม่ พร้อมไฟหน้า LED และระบบปรับเปลี่ยนรูปแบบแสงไฟตามโหมด Signature ต่างๆ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย Windmill Spoke ดีไซจ์นทูโทน โดดเด่นด้วยหลังคาในสีใหม่ Vibrant Silver พร้อม Panorama Glass Roof เข้ากับกรอบกระจังหน้า ฝาครอบกระจกข้าง ล้อ เสา C รวมถึงชิ้นส่วนภายนอกอื่น ๆ ในสีเดียวกัน
ภายในของ MINI Countryman SE ใหม่ โดยบริเวณแผงแดชบอร์ดหุ้มด้วยผ้าถักในสี Dark Petrol รับกับเบาะ John Cooper Works Sport Seats สี Vintage Brown มาพร้อมระบบเสียง Harman Kardon surround sound เพื่อความบันเทิงที่เต็มอิ่มในทุกการเดินทาง พร้อมองค์ประกอบหลัก และฟีเจอร์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์หน้าจอแสดงผล OLED ทรงกลม MINI Interaction Unit โหมดการใช้งาน MINI Experience ที่มีอีกหนึ่งโหมดพิเศษเพิ่มมาจาก 7 โหมด คือ โหมด Trail ที่เน้นความเร้าใจสำหรับสายแอดเวนเจอร์ มาพร้อมฟังก์ชั่นอย่าง เข็มทิศ และกราฟิกต่าง ๆ ในระบบ Navigation เสริมฟีลลิงแบบออฟโรด และยังมีระบบผู้ช่วยอัจฉริยะ MINI Intelligent Personal Assistant และฟีเจอร์ซอฟท์แวร์อันหลากหลายบนระบบปฏิบัติการ MINI Operating System 9 รวมถึงแผงควบคุมดีไซจ์นใหม่ในแบบ Toggle Bar ที่รวบรวมทุกฟังค์ชันสำคัญของการขับขี่เอาไว้ในจุดเดียวเพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าถึงได้ง่าย และครบครันด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่าง ระบบช่วยจอด Parking assistant Plus, Drive Recorder, กล้องรอบคัน Surround view และอื่น ๆ อีกมากมาย
นอกจากนี้ เพื่อรองรับกับตัวถังที่มีขนาดใหญ่ และกว้างขวางขึ้น ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% จึงได้รับการปรับแต่งให้ส่งพละกำลังสูงสุดถึง 230 กิโลวัตต์ / 313 แรงม้า ส่งแรงบิดสูงสุด 494 นิวทันเมตร/50.4 กก.-ม. สู่ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.6 วินาที และยังทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กม./ชม. แบทเตอรีได้รับการยกระดับความจุให้เป็น 66.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง พร้อมรองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 130 กิโลวัตต์ และมีระยะทางขับขี่สูงสุดถึง 432 กม.ต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP
MINI JCW Countryman ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard 3 ปี หรือ 60,000 กม.)
MINI JCW Countryman ใหม่ มาให้แฟนๆ ชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนจำกัดเพียง 5 คัน ผสมผสานสมรรถนะการขับขี่อันทรงพลังในแบบฉบับของ John Cooper Works เข้ากับจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของรถ MINI ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยกระดับทุกประสบการณ์การเดินทางให้พิเศษ และเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณสปอร์ต ด้วยขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุดที่ 233 กิโลวัตต์ / 317 แรงม้า ส่งแรงบิดสูงสุด 400 นิวทันเมตร/40.8 กก.-ม. สู่ล้อทั้ง 4 ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ALL4 มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเพียง 0.26 เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเป็นการขับบนท้องถนนหรือเส้นทางออฟโรด ส่งผลให้ MINI JCW Countryman ใหม่ มีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 5.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กม./ชม.
MINI JCW Countryman ใหม่ ยังโดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่บ่งบอกถึงบุคลิกที่ดูสปอร์ตและดุดัน สะท้อนให้เห็นจุดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและความอเนกประสงค์ของตัวรถ โดยแผ่นสะท้อนแสงแนวตั้งบริเวณด้านหน้ารถ ยังช่วยเน้นย้ำถึงความกว้างของตัวรถ ไฟหน้า LED แบบ MINI ดีไซจ์น ใหม่ พร้อมแถบไฟแนวนอนอันเป็นเอกลักษณ์จากโหมด JCW Signature ยิ่งช่วยเสริมความโดดเด่นให้กับรูปลักษณ์ของรถยนต์แบบ Sports Activity Vehicle ส่วนกระจังหน้าดีไซจ์นใหม่รูปทรงแปดเหลี่ยมที่ตกแต่งด้วยสีดำ High-gloss Black และโลโก้ JCW ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ช่วยเสริมให้ดีไซจ์นมีความทันสมัย แต่ยังคงไว้ซึ่งความมีนีมอลที่ทั้งเรียบง่ายแต่โดดเด่น สะกดทุกสายตาบนท้องถนน
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมสีตัวถังสีพิเศษ Legend Grey ซึ่งตัดกันอย่างโดดเด่นกับหลังคาสีแดง Chili Red ที่มาพร้อมกระจก Panorama และกระจกมองข้างสีแดงที่บ่งบอกถึงคาแรคเตอร์อันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่น JCW ในขณะที่ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว ลาย John Cooper Works Flag Spoke ในแบบทูโทน ก็ช่วยดึงความโดดเด่นให้กับตัวรถ ส่วนท้ายรถยังมาพร้อมกับไฟท้าย LED ดีไซจ์นใหม่ในโหมด JCW Signature อันเป็นเอกลักษณ์ สอดรับกับตัวถังด้านหลังทรงตั้งตรงที่ช่วยตอกย้ำถึงความกว้างของตัวรถ
ห้องโดยสารของ MINI JCW Countryman ใหม่ ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อตอกย้ำถึงความกว้างขวาง และโอ่อ่า ตกแต่งด้วยสีแดง และสีดำบริเวณคอนโซล แผงประตู และเบาะนั่งแบบสปอร์ท ที่หุ้มด้วยหนังวีแกน Vescin และเนื้อผ้า ผสมผสานกันออกมาอย่างลงตัว และสะท้อนถึงจิตวิญญาณรถแข่งของ JCW โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับเก็บได้เพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระสูงสุดตั้งแต่ 505-1,530 ลิตร MINI JCW Countryman ใหม่ ยังมาพร้อมกับหน้าจอกึ่งกลางคอนโซลแบบ OLED ทรงกลม ความละเอียดสูง อันเป็นเอกลักษณ์ของ MINI เจเนอเรชันที่ 5 รองรับโหมดการใช้งาน MINI Experience และแผงควบคุมดีไซจ์นใหม่ในรูปแบบ Toggle Bar ที่รวบรวมทุกฟังก์ชันสำคัญสำหรับการขับขี่เอาไว้ในที่เดียว รวมทั้งยังสามารถสั่งงานด้วยเสียง เพื่อควบคุมฟังค์ชันสำคัญต่าง ๆ เช่น ระบบนำทาง โทรศัพท์ และระบบความบันเทิงต่าง ๆ ในรถได้เช่นกัน
MINI Aceman SE ใหม่
ราคา: รอการประกาศอย่างเป็นทางการ
เพื่อตอกย้ำทิศทางใหม่ของยนตรกรรม MINI ในเจเนอเรชันที่ 5 มินิ ประเทศไทย ยังได้เผยโฉม MINI Aceman SE เป็นครั้งแรกสำหรับตลาดประเทศไทย ในฐานะรถยนต์ครอสโอเวอร์พลังงานไฟฟ้า 100% ขนาดกะทัดรัดที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อความคล่องตัวในการใช้ขับขี่ภายในเมือง มาเติมเต็มอีกหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่มองหาอีกหนึ่งตัวเลือกระหว่าง MINI Cooper และ MINI Countryman โดดเด่นด้วยการออกแบบขนาดตัวรถที่เน้นประโยชน์พื้นที่ใช้สอยสูงสุด ในขนาดที่ไม่ใหญ่ และไม่เล็กจนเกินไป และดีไซจ์นที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่ MINI บนท้องถนนให้สนุกเหนือระดับยิ่งกว่าที่เคย
MINI Aceman SE พกพาทั้งความคล่องตัวของครอสโอเวอร์ขนาดเล็กด้วยความยาวตัวรถเพียง 4,070 มม. แต่ยังเพียบพร้อมด้วยประโยชน์ใช้สอยสำหรับทุกสถานการณ์แบบรถ 5 ที่นั่ง ปรัชญาการดีไซจ์นยังคงความเรียบง่ายแต่มากสเน่ห์เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ในเจเนอเรชันใหม่ แต่มีองค์ประกอบที่ไม่ซ้ำใครอย่างรูปทรงไฟหน้า การออกแบบเส้นสายบริเวณซุ้มล้อ กราฟิกไฟท้ายเฉพาะสำหรับรุ่น Aceman รวมถึงการออกแบบชิ้นส่วนกรอบสีดำบริเวณกันชนท้ายช่วยตอกย้ำเอกลักษณ์ของ MINI Aceman ยิ่งขึ้น ส่วนการออกแบบภายใน ยังเน้นย้ำประสบการณ์ดิจิทอลล้ำสมัยผ่านจอ OLED ทรงกลมเช่นเดียวกับ MINI รุ่นอื่น ๆ พร้อมแผง Toggle Bar และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่แบบครบครัน
MINI Aceman SE ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีขนาด 54.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้พละกำลังสูงสุด 160 กิโลวัตต์ / 218 แรงม้า ส่งแรงบิดสูงสุด 330 นิวทันเมตร / 33.7 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7.1 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 170 กม./ชม. และมีระยะทางขับขี่สูงสุดที่ 405 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ AC กำลังไฟ 11 กิโลวัตต์ ชาร์จจาก 0-100% ได้ในเวลา 5.45 ชม. และการชาร์จแบบกระแสตรง DC สูงสุดที่ 95 กิโลวัตต์ ที่ทำความเร็วในการชาร์จจาก 10-80% ได้ในเวลา 31 นาทีเท่านั้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
เบอร์โทร: 1397
เวบไซท์ www.mini.co.th