คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) แถลงผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 ว่า ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 64,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16,475 ล้านบาท หรือ 34.4 % เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2566 จากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยจากธุรกิจการกลั่นที่มีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่จากกำไรสต๊อกน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ธุรกิจปิโตรเคมีมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ธุรกิจสำรวจ และผลิตปิโตร เลียมมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยปรับลดลง ประกอบกับมีการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุน และการจำหน่ายสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ขณะที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ กลุ่ม ปตท. มุ่งสู่การเติบโตขององค์กรระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยเป็นกำไรจากธุรกิจ Hydrocarbon 92 % และธุรกิจ Non-Hydrocarbon 8 % โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงิน ปันผลระหว่างกาล สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2567 ที่ 0.80 บาท/หุ้น เมื่อรวมกับภาษีเงินได้ ปตท. และบริษัทในเครือ นำเงินส่งรัฐรวม 35,684 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสัง คม และเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ ยังมีส่วนร่วมบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตด้านราคาพลังงาน ตั้งแต่ปี 2563 ในวงเงินกว่า 24,000 ล้านบาท เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน
ส่วนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทย และเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “Together for Sustainable Thailand, Sustainable World ” โดยเร่งสร้างความแข็งแรง และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็น Core Business ของ ปตท. ที่ ปตท. ทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดแกสเรือนกระ จก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยธุรกิจ Upstream and Power จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับ Partner มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย และกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ในส่วนของธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้ามี Mandate ให้เสริมสร้าง Reliability และ Decarbonize ให้แก่กลุ่ม ปตท. สำหรับธุรกิจ Downstream นั้น จะต้องปรับตัว และสร้างความแข็งแรงร่วมกับ Partner แสวงหาโอกาสในการสร้าง Synergy ร่วมกันเพิ่มเติม
ทั้งนี้ธุรกิจน้ำมัน และการค้าปลีกนั้นจะต้องมุ่งหน้าเป็น Mobility Partner ของคนไทย ปรับพอร์ทการลงทุนให้มี Substance และ Asset Light รวมถึงการรักษาการเป็นผู้นำตลาด ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยจะประเมินธุรกิจนี้ใน 2 มุม คือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractive) และ 2) ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง ซึ่งมีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้ 1) ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มี Touch Point อยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์ 2) ธุรกิจ Logistics ปตท. จะเน้นไปเฉพาะธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Core Business ของ ปตท. และมี Captive Demand อยู่แล้ว โดยยึดหลัก Asset-light และมี Partner ที่แข็งแรง และ 3) ธุรกิจ Life Science ปตท. จะต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-Funding) และสร้าง Goodwill ให้แก่สังคม
ทั้งนี้ ปตท. มีแผนการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับบริบทองค์กร ควบคู่กับการลดแกสเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ผ่านการผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับ และกักเก็บแกสคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage : CCS) โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัท ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม
นอกจากนี้ ปตท. ให้ความสำคัญเรื่อง Operational Excellence หรือ OpEx อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งกลุ่ม อีกทั้งมุ่งเน้นเสริมศักยภาพบุคลากรและการมุ่งรักษาพื้นฐานที่สำคัญ มุ่งเน้นธรรมาภิบาล และการกำกับกิจการที่ดี และการมีความเป็นเลิศทางด้านการเงิน (Financial Excellence) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการประ กอบธุรกิจ
ปตท. ยังคงยึดมั่นพันธกิจในการสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพทางพลังงานให้แก่ประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง บนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน จากนิตยสารฟอร์จูน เซาธ์อีสต์เอเชีย 500 (Fortune Southeast Asia 500) รวมทั้งได้รับ 4 รางวัลดีเด่นในระดับภูมิภาคอาเซียน จาก 14th Institutional Investor Corporate Awards 2024 และได้รับการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัพชันของภาคเอกชนไทย (CAC) 4 สมัยต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กลุ่ม ปตท. ยังมีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ของประเทศ โดยให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาจำนวน 20 สมาคม ภายใต้งบประมาณ 200 ล้านบาท ส่งเสริมศักยภาพคนไทยสู่สา กล ตลอดจนดำเนินโครงการเพื่อสังคมและกิจกรรม เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในปีมหามงคลนี้ ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่กำแพงเพชร 6 ริมคลองเปรมประชากร จัดสร้างเป็นสวนสาธาร ณะ จำนวน 10 ไร่ เปิดให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในการออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ การผลิตหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำเสนอโครงการตามพระบรมราโชบายพัฒ นาแหล่งน้ำ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน จำนวน 2 เรื่อง โดยมีแผนเผยแพร่อีก 5 เรื่องภายในปีนี้ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมแสดงแสง สี เสียง ลำนำนที วารีสมโภช ณ สวนสันติชัยปราการ รวมถึงกิจ กรรมปลูกป่า 72,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 68,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี และโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืนโดยพัฒนาการปลูก และการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงการหลวงเลอตอ อ. แม่ระมาด จ. ตาก ที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา
“ปตท. ให้ความสำคัญกับการบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน เป็นที่ยอมรับ และมีมาตรฐานในระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายการปล่อยแกสเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เพื่อมุ่งสู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน”