ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Great Wall Motor เร่งเครื่องดันไทยเติบโต
Great Wall Motor (กเรท วอลล์ มอเตอร์) ขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 12,000 ล้านบาท ขยายกำลังการผลิต อะไหล่ การตลาด และขาย พร้อมส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ลุยตลาดสร้างยอดขาย ย้ำประเทศไทยเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อม และมีศักยภาพสูงในการเป็นศูนย์กลางสำหรับการผลิต และส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาสู่ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ล่าสุดได้เร่งเดินหน้ามุ่งสู่เป้าหมายนี้ผ่านแนวคิด Local Excellence to Global Success ด้วยการเสริมศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแบบรอบด้าน
ปาร์คเกอร์ ฉี ประธาน Great Wall Motor ตลาดต่างประเทศ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ Great Wall Motor ในการขยายธุรกิจสู่ระดับโลกภายใต้กลยุทธ์ “Ecological Globalization” เนื่องจากเป็นพื้นที่เปี่ยมด้วยศักยภาพสูงในหลายๆ ด้าน ทั้งภูมิประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมของห่วงโซ่อุปทาน และทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะความรู้ความสามารถ ที่เอื้อต่อการเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต และการดำเนินธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมรถยนต์ นอกจากนี้ เรามีการนำพันธมิตรของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมาลงทุนในประเทศไทย สร้างระบบนิเวศยานยนต์พลังงานใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม Great Wall Motor มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าภายใต้การดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ Local Excellence to Global Success จะทำให้การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และการก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 ของ Great Wall Motor เดินหน้าด้วยความมั่นคง และยั่งยืน
ที่ผ่านมา Great Wall Motor ลงทุนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 12,000 ล้านบาท และเราวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนเป็น 2 เท่า ด้วยการลงทุนเพิ่มอีก 12,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต รอง รับตลาด ทั้งในส่วนของการขยายเครือข่ายพาร์ทเนอร์ การตลาด การขาย อะไหล่
“บทบาทต่อจากนี้ของเรา คือ การผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิต และส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาสู่ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญเชิงกลยุทธ์ผ่านการลงทุนระยะยาว รวมถึงปรับเปลี่ยนการดำเนินงานหลากหลายด้านผ่านกลยุทธ์ด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และการแข่งขันสูง ผมขอยืนยันว่าเราจะยังคงดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว นำเสนอผลิตภัณฑ์ และบริการที่ยอดเยี่ยมให้แก่คนไทยอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน Great Wall Motor มีการผลิตรถพวงมาลัยขวาไปจำหน่ายทั่วโลก ประมาณปีละ 1-2 แสนคัน ส่วนประเทศไทยเริ่มส่งออกไปยังเวียดนาม และอินโดนีเซีย ปีนี้ 10,000 คัน และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 20,000 คัน ปัจจุบันโรงงานในประเทศไทยที่จังหวัดระยองมีกำลังการผลิตปีละ 80,000-120,000 คัน ทั้งนี้ ในส่วนของยอดขายในประเทศไทยปีนี้คาดว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 9,000-10,000 คัน ส่วนปีหน้าตั้งเป้ายอดขายที่ 20,000 คัน
สำหรับในตลาดโลก หลังจากประสบผลสำเร็จในการจำหน่ายแล้วกว่า 14 ล้านคันทั่วโลก Great Wall Motor International ตั้งเป้ายอดยอดขายทั่วโลกปีนี้ไว้ที่ 1,200,000-1,250,000 คัน และปีหน้าตั้งเป้ายอดขายทั่วโลกที่ 1,500,000-1,800,000 คัน
เจมส์ หยาง รองประธาน Great Wall Motor ตลาดต่างประเทศ
พร้อมกันนี้ Great Wall Motor ประเทศไทย เตรียมปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นในปัจจุบัน ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ภายใต้แนวคิด Local Excellence to Global Success เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน สร้างการเติบโต ขยายฐานลูกค้า รวมถึงขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำหรับการผลิต และส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาสู่ผู้ใช้งานทั่วทุกมุมโลก ประ กอบด้วย
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมขั้นสูงที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้บริโภค Great Wall Motor มุ่งเน้นการปรับตำแหน่งการตลาดของผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการปรับแผนผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริงในราคาที่เหมาะสมที่แข่งขันได้ นอกจากนี้ ยังเตรียมนำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของประเภทเครื่องยนต์ เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ผ่านการรับฟังเสียงของผู้บริโภค (User-Centric) เพื่อนำไปพัฒนา และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้อย่างมีประ สิทธิภาพ
สำหรับปีนี้ Great Wall Motor เตรียมแนะนำ Tank 300 (แทงค์ 300) และ 500 รวมถึง Sahar (ซาฮาร์) เครื่องยนต์ดีเซล ออกสู่ตลาด และในปี 2568 Great Wall Motor เตรียมเปิดตัว Haval H6 HEV (ฮาวัล เอช 6 เอชอีวี) และ PHEV ไมเนอร์เชนจ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งภายใต้กลยุทธ์เดียวกันนี้ และภายในงาน Motor Expo 2024 ปลายปีนี้ Great Wall Motor จะนำนวัตกรรมใหม่มาจัดแสดง พร้อมสร้างเสียงฮือฮาถึง 2 รุ่น ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่ม SUV ที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ Great Wall Motor พร้อมลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อผลักดันให้โรงงานอัจฉริยะที่จังหวัดระ ยอง เป็นศูนย์กลางของการผลิต และส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาระดับโลก
วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธาน Great Wall Motor ประเทศไทย
กลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขาย (After-Sales Service Strategy) Great Wall Motor ตั้งเป้าหมายในการส่งมอบบริการหลังการขายที่รวดเร็ว ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเน้นการบริหารจัดการอะไหล่ที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการสร้างศูนย์กระจายอะไหล่ขนาดใหญ่สำหรับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน ซึ่งจะมีพื้นที่กว่า 30,000 ตรม. รวมถึงการเพิ่มจำนวนการเก็บชิ้นส่วนอะไหล่กว่า 1,000 SKUs ในประเทศไทย โดยมี Part Fill Rate ที่ 97 % รวมถึงการพัฒนาโครงการศูนย์สี และซ่อมตัวถังที่ได้มาตรฐานครบวงจร (Certified Body & Paint) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และขยายสู่ต่างจังหวัดให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
นอกจากนี้ Great Wall Motor ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาการให้บริการผ่าน GWM Smart Service เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย และอุ่นใจให้แก่ลูกค้าในการใช้งาน ให้รองรับการใช้งานที่หลากหลาย และครบถ้วนมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเร่งพัฒนาความรู้ และความสามารถของช่างเทคนิคอย่างเข้มข้น ผ่านหลักสูตรที่เข้มข้นของศูนย์ฝึกอบรม (GWM Training Center) ที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อให้สามารถมอบบริการที่ดี และมีคุณภาพให้แก่ลูกค้า รวมถึงการรับฟังเสียงของลูกค้าเพื่อนำไปปรับปรุงบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่ดี และความพึงพอใจสูงสุดในทุกครั้งที่ใช้บริการ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าในการเป็นเจ้าของรถยนต์ของ Great Wall Motor
กลยุทธ์ด้านการขาย (Sales Strategy) ผ่านการสร้างการเติบโต และการบริหารเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายเพื่อการขายที่มีประสิทธิภาพ โดย Great Wall Motor มุ่งเน้นการทำงานพูดคุยกับพาร์ท เนอร์อย่างใกล้ชิด เพื่อพัฒนาการดำเนินงานให้มีความเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโต และการแข่งขันที่สูงขึ้นของตลาด นอกจากนี้ Great Wall Motor ยังมุ่งมั่นในการขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น พร้อมเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับพันธมิตรผู้จำหน่าย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยในปัจจุบัน Great Wall Motor มีพาร์ทเนอร์ สโตร์ ครอบคลุมทั่วประเทศทั้งหมด 70 แห่ง
นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในฐานะ Authorized Fleet Partner ทั่วประเทศ เพื่อเดินหน้าขยายธุรกิจฟลีทให้ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้าองค์กร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งบริษัทรถเช่า ลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ ลูกค้าธุรกิจขนาดกลาง และขนาดเล็ก (SME) และการเข้าร่วมประมูลของหน่วยงานภาครัฐ ยิ่งไปกว่านั้น Great Wall Motor จะขยายธุรกิจรถยนต์ใช้แล้วภายใต้ GWM Certified Pre-Owned (CPO) เป็นบริการซื้อขายรถยนต์ใช้แล้วที่ผ่านการรับรองคุณภาพจาก Great Wall Motor เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหารถยนต์ใช้แล้วคุณภาพดีที่ได้มาตรฐานอีกด้วย
ไมเคิล ฉง กรรมการผู้จัดการ Great Wall Motor ประเทศไทย
กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์ (Brand Building) ให้แตกต่างสู่การเป็นแบรนด์ในใจของคนไทย และทั่วโลก Great Wall Motor เน้นการสร้างแบรนด์ในระยะยาวโดยมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง (User-Centric) ผ่านกิจกรรมระดับโลกต่างๆ มากมาย นอกจากนี้ Great Wall Motor จะขยายการรับรู้ของแบรนด์เพื่อเข้าถึง และสร้างการจดจำในกลุ่มลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้ได้มากยิ่งขึ้น ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีความทันสมัย และสร้างความแตกต่างมากยิ่งขึ้น ผ่านการสื่อสารเทคโนโลยีอันล้ำสมัยต่างๆ ที่มอบทั้งความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของ Great Wall Motor ทั้งที่เป็น First-in-Class และ Best-in-Class ด้านกิจกรรมเพื่อสังคม
Great Wall Motor จะมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมให้มากยิ่งขึ้น สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเข้า ไปมีส่วนร่วมในวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชนมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น Great Wall Motor จะยังคงมุ่งมั่นในการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเดิม ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณค่า และจงรักภักดีกับแบรนด์ โดยส่งเสริมการแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีที่มีต่อแบรนด์สู่เพื่อน ครอบครัว และบุคคลรอบข้าง สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นำไปสู่การเติบโตของชุมชนผู้ใช้งานของ Great Wall Motor อย่างยั่งยืนในอนาคต
Isuzu ส่งรถ “Isuzu D-Max MHEV” ลงตลาด
Isuzu ส่งรถพิคอัพ “Isuzu D-Max MHEV (อีซูซุ ดี-แมกซ์ เอมเอชอีวี)” ทางเลือกใหม่…เพื่อโลกที่ดีขึ้น กับเทคโนโลยี Mild Hybrid ตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านการออกตัว การประหยัดน้ำ มัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องยนต์ 1.9 DDI Blue Power รุ่น “Isuzu D-Max Hi-Lander 1.9 DDI MHEV (อีซูซุ ดี-แมกซ์ ไฮ-แลนเดอร์ 1.9 ดีดีไอ เอมเอชอีวี)” เกรด M เกียร์อัตโนมัติ สีขาว Pearl Dolomite ราคา 1,145,000 บาท เริ่มจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 พร้อมสานต่อ “นโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับโลก และระดับประเทศ” ผ่าน “โซลูชันอันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Multi-Pathways to Carbon Neutrality)
ทาคาชิ ฮาตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เผยว่า “จากนโยบายส่งเสริม “โซลูชันอันหลากหลายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน” หรือ Multi-Pathways to Carbon Neutrality ที่ Isuzu (อีซูซุ) ประกาศไว้เมื่อเดือนมีนาคม ในครั้งนี้ Isuzu ได้เดินหน้าผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ทางเลือกรูปแบบใหม่ กับ “Isuzu D-Max MHEV” เทคโนโลยี Mild Hybrid ทางเลือกใหม่…เพื่อโลกที่ดีขึ้น ซึ่งผ่านการทดสอบภายใต้สภาพการใช้งานจริงทั่วประเทศมาแล้ว เหมาะสำหรับกลุ่มคนในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ที่ใช้งานส่วนตัว หรือใช้งานในเมืองเป็นหลัก รวมถึงลูกค้าที่ชื่นชอบเทคโน โลยีใหม่ๆ ตอบสนองการขับขี่ที่ดีขึ้น ทั้งด้านการออกตัว การประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเครื่องยนต์ 1.9 DDI Blue Power รุ่น “Isuzu D-Max Hi-Lander 1.9 DDI MHEV” เกรด M เกียร์อัตโนมัติ สีขาว Pearl Dolomite ราคา 1,145,000 บาท เริ่มจำหน่ายวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567
Isuzu เชื่อมั่นว่ารถเพื่อการพาณิชย์ทางเลือกรูปแบบใหม่นี้ และพโรเจคท์ความเป็นกลางทางคาร์บอนต่างๆ ของเรา อาทิ การพัฒนาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่ โดยการทดสอบการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ผสม HVO น้ำมันไบโอดีเซลเจเนอเรชันใหม่สังเคราะห์จากน้ำมันพืชใช้แล้ว และการส่งเสริมการทดลองโซลูชันการสับเปลี่ยนแบทเตอรีในประเทศไทย จะช่วยให้ Isuzu สามารถสร้างประ โยชน์สูงสุดแก่ผู้ใช้รถ ควบคู่ไปกับการส่งมอบความสุขที่ยั่งยืนในการเข้าสู่สังคมความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการรับมือกับโลกยานยนต์อนาคต
Isuzu D-Max MHEV เทคโนโลยี Mild Hybrid ตอบโจทย์การขับขี่ในยุคปัจจุบัน และตอบรับกับโลกแห่งอนาคต ในรุ่น “Isuzu D-Max Hi-Lander 1.9 DDI MHEV” เกรด M เกียร์อัตโนมัติ สีขาว Pearl Dolomite ราคา 1,145,000 บาท มาพร้อมกับ เครื่องยนต์ 1.9 DDI MHEV มาตรฐาน Euro 5 พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าเสริมการขับเคลื่อนรถยนต์ที่ช่วยในการออกตัว และขณะที่เร่งเครื่อง และระ บบแปลงพลังงานที่สูญเสียในขณะถอนคันเร่ง หรือเบรคเป็นพลังงานไฟฟ้า (Regenerative Braking System)
แบทเตอรีไฟฟ้า ขนาด 48 โวลท์ 8.4 แอมป์ ความจุ 370 วัตต์-ชั่วโมง เพื่อช่วยลดการปล่อยไอเสีย และสามารถปั่นไฟเพื่อชาร์จพลังงานเมื่อถอนคันเร่ง (Engine Brake) ตามมาตรฐาน Euro 5
หน้าจอ Integrated MID ขนาดใหญ่ 7 นิ้ว พร้อมสัญลักษณ์การชาร์จแบทเตอรี แสดงข้อมูลได้หลากหลายรูปแบบ ปรับเปลี่ยนดีไซจ์นหน้าจอได้ 2 สไตล์ และเชื่อมต่อข้อมูลกับ Infotainment Dis play สะดวกยิ่งขึ้น
การรับประกัน
เครื่องยนต์ 1.9 DDI 3 ปี หรือ 100,000 กม.
แบทเตอรี Mild Hybrid 10 ปี หรือ 350,000 กม.
ระบบ Mild Hybrid 5 ปี หรือ 175,000 กม.
BMW แต่งตั้งผู้บริหารใหม่
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการมอบความเป็นเลิศด้านการบริการลูกค้า แต่งตั้ง ชนินทร์ ฐิติจารุไพศาล ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลา คม 2567 โดย ชนินทร์ จะเข้ามารับบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขาย และยกระดับประสบการณ์การเป็นเจ้าของรถยนต์ระดับพรีเมียม รับตำแหน่งต่อจาก สเตฟาน สโลโบดา ซึ่งจะยังคงสานต่อปรัชญาการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรกของ BMW (บีเอมดับเบิลยู) ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า ณ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นก้าวสำ คัญในความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ในการยกระดับขั้นสูงสุดของการบริการลูกค้าในตลาดรถยนต์หรู
ด้วยประสบการณ์กว่า 19 ปี กับ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ชนินทร์ ได้สั่งสมความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และครอบคลุมแนวการดำเนินธุรกิจด้านการขาย และการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า โดยดำรงตำ แหน่งสำคัญหลายตำแหน่งในฝ่ายขายของ BMW และ BMW Motorrad (บีเอมดับเบิลยู มอเตอร์ราด) ก่อนจะย้ายมารับตำแหน่งล่าสุดในฐานะผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขาย จึงมีประสบการณ์ ความเชี่ยว ชาญ และความรู้ความเข้าใจทั้งในด้านการบริหารเครือข่ายผู้จำหน่าย และความต้องการของลูกค้าในตลาดรถยนต์พรีเมียมประเทศไทยเป็นอย่างดี
สำหรับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้า ชนินทร์ จะดูแลบริหารธุรกิจด้านบริการหลังการขายทั้งหมดของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้แก่ การให้บริการหลังการขาย การบริ หารจัดการด้านเทคนิค การจัดการด้านอะไหล่ และการตลาดของบริการหลังการขาย เพื่อรักษาความมุ่งมั่นในความเป็นเลิศด้านการบริการของ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย รวมถึงการสร้างความภักดีของลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และการเสริมสร้างความร่วมมือกับผู้จำหน่ายเพื่อรักษามาตรฐานการบริการให้อยู่ในระดับสูงสุด
เรเน แกร์ฮาร์ด ประธาน และซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า การบริการหลังการขายที่เป็นเลิศ เป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสมอมา ซึ่งสิ่งนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่น และความไว้วางใจของลูกค้า ในนาม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ผมจึงขอขอบคุณ สเตฟาน สโลโบดา ที่ได้แสดงถึงความสามารถในการบริหารงานด้วยการบริการที่สร้างความประ ทับใจให้แก่ลูกค้าตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ได้จากการวัดดัชนีความพึงพอใจของลูกค้าในด้านการบริการหรือคะแนน Net Promoter Score ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการบริหารจัด การด้านมาตรฐานการรับประกัน และการบำรุงรักษาในระดับสากล ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเท และความสามารถในฐานะผู้นำอย่างแท้จริง ผมเชื่อว่า สโลโบดา จะนำความสำเร็จเช่นเดียว กันนี้สู่ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศญี่ปุ่นในตำแหน่งใหม่ด้วยเช่นกัน”
“ขณะเดียวกัน เราก็มีความยินดีเป็นอย่างที่ได้ต้อนรับ ชนินทร์ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายบริการลูกค้าคนใหม่ ตลอดระยะเวลาเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ชนินทร์ ได้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหล และความมุ่งมั่นในการส่งมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้แก่ลูกค้า รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการ และทุ่มเทเพื่อเป้าหมายแห่งความสำเร็จ ผมมั่นใจว่าความเป็นผู้นำของ ชนินทร์ จะไม่เพียงแต่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทีมของเรา แต่ยังจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของเรากับเครือข่ายผู้จำหน่าย และลูกค้าทั่วประเทศไทยด้วยเช่นกัน”
เอเอเอส กรุ๊ป เตรียมจัดงาน Porsche World Road Show 2024
Porsche ประเทศไทย โดย เอเอเอส กรุ๊ป เชิญชวนแฟนพันธุ์แท้ Porsche (โพร์เช) เตรียมพบกับความเร็ว ความแรง ดุดัน ระดับเวิร์ลด์คลาสส์ ในงาน “Porsche World Roadshow 2024” กิจกรรม Driving Experience ที่จะพาคุณไปสัมผัสกับบรรยากาศการทดสอบสมรรถนะการขับขี่อย่างเร้าใจของยนตรกรรมสปอร์ท Porsche ทุกรุ่น ให้คุณได้ท้าทายทุกความกล้า เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการเดินทางครั้งใหม่ให้คุณ โดยงานนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 16-25 พฤศจิกายน 2567 ณ สนามปทุมธานี สปีดเวย์
เมื่อทัพยนตรกรรมสปอร์ทสุดยอดในตำนานมาบรรจบครบครันทุกรุ่นสายการผลิต กว่า 27 คัน ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดจากขุมพลังระดับ Iconic Porsche 911, 718 สู่ยนตรกรรมที่สะท้อนความโฉบเฉี่ยวอย่าง Panamera (พานาเมรา), Cayenne (คาเยนน์) รวมไปถึงยนตรกรรมสปอร์ทพลังงานไฟฟ้า ที่ไม่ได้คราฟท์แค่ดีไซจ์น แต่พร้อมตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต และกิจกรรมที่เป็นคุณ อย่าง Macan (มาคัน) และ Taycan (ไทย์คาน) พร้อมกับ Certified Porsche Instructor นักขับมืออาชีพ ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่จะมอบทักษะ และประสบการณ์ผ่านโปรแกรมต่างๆ ให้ผู้เข้าร่วมกิจ กรรมจะได้สัมผัส โลดแล่นสู่การเดินทางที่สร้างตำนานด้านหลังพวงมาลัยของท่านเอง ด้วยโปรแกรมการขับขี่ที่ดีไซจ์นออกมาเพื่อตอบโจทย์ครบทุกสถานี อาทิ Handling, Braking & Moose Test, Slalom และ Road Tour
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ออกไปสัมผัสความเหนือระดับของขุมพลังที่ไร้ขีดจำกัดของสมรรถนะ Porsche ในสถานี Taxi Labs ที่ขับโดย Certified Porsche Instructor ที่มีประสบการณ์จริงจากสนามแข่งเตรียมเสิร์ฟความตื่นเต้นให้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม ด้วยการพาพุ่งทยานลงสนามไปนั่งทดสอบสมรรถนะความแรงของรถ Porsche อย่างดุดัน เร้าใจ
อย่าพลาดโอกาสสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษนี้ ! สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมนี้ได้ โดยมีค่าใช้จ่าย 25,000 บาท ในวันธรรมดา (วันจันทร์-ศุกร์) และ 30,000 บาท ในวันเสาร์-อาทิตย์ (พร้อมผู้ติดตาม 1 ท่าน) มีอาหารเช้า อาหารกลางวัน และของว่างรับรองตลอดวัน สามารถสมัครเข้าร่วมงานได้ตั้งแต่วันนี้ที่ศูนย์บริการรถยนต์ Porsche ทุกสาขา ให้ Porsche เป็นตัวเลือกการเดินทางครั้งใหม่ ที่มากกว่าคำว่าผจญภัย Porsche คันโปรดของคุณ จะเอาอยู่แค่ไหน เตรียมไปลองกัน
รายชื่อรถยนต์ Porsche ในกิจกรรม Porsche World Roadshow 2024
Porsche 911 Carrera
Porsche 911 GT3 RS
Porsche 911 Targa 4 GTS
Porsche 911 Turbo S Cabriolet
Porsche 911 Turbo Coupe
Porsche 911 C2 Coupe
Porsche 911 C2 Cabriolet
718 Boxster Spyder RS
718 Cayman GT4 RS
Taycan 4S
Taycan 4 Cross Turismo
Taycan 4S Cross Turismo
Taycan Turbo
Taycan Turbo S Cross Turismo
Cayenne S E-Hybrid Coupe
Cayenne Turbo
Cayenne GTS
Macan 4 BEV
Macan Turbo BEV
Panamera 4
Panamera 4 E-Hybrid
Panamera 4 E-Hybrid Platinum Edition
Panamera Turbo
Panamera Turbo S
กรมการขนส่งทางบก ประกาศยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชัน ThaID
กรมการขนส่งทางบก ยกระดับความปลอดภัยระบบการจองคิวผ่านแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue และเวบไซท์ https://gecc.dlt.go.th/ ต้องยืนยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชัน ThaID ก่อนเข้าระบบจองคิว เพื่อความปลอดภัยด้านข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ เริ่ม 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
เสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาระบบจองคิวล่วงหน้า ผ่านแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue และเวบไซท์ https://gecc.dlt.go.th/ เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนที่ต้องการเข้ารับบริการด้านใบอนุญาตขับรถ และบริการด้านทะเบียนรถ ซึ่งระบบดังกล่าวได้ช่วยให้ประชาชนได้รับบริการที่รวดเร็ว รวมถึงวางแผนการเดินทางเข้ารับบริการ ณ สำนักงานขนส่งได้สะดวกมากขึ้น โดยกรมการขนส่งทางบกได้ยกระดับความปลอดภัยสำหรับการใช้บริการแอพพลิเคชัน และเวบไซท์ดังกล่าว โดยใช้การยืน ยันตัวตนผ่านแอพพลิเคชัน ThaID ก่อนเข้าระบบจองคิวในแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue และเวบไซท์ https://gecc.dlt.go.th/ เพื่อเป็นการพิสูจน์ และยืนยันตัวบุคคลตามมาตรฐานของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พศ. 2562 หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) และป้องกันการแอบอ้างเพื่อเข้ารับบริการ และการดำเนินการอื่นๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับข้อ มูลส่วนบุคคล หรือสูญเสียทรัพย์สินได้
สำหรับการยืนยันตัวตนสามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชัน ThaID ผ่านระบบ IOS หรือ Android เพื่อลงทะเบียนระบบการพิสูจน์ และยืนยันตัวตนทางระบบดิจิทอล DOPA-Digital ของกรมการปก ครอง กระทรวงมหาดไทย สามารถดำเนินการลงทะเบียนด้วยตนเอง โดยการถ่ายภาพบัตรประจำตัวประชาชน และภาพใบหน้า ผ่านแอพพลิเคชัน ThaID ในโทรศัพท์มือถือของตนเอง (ดูขั้นตอนการลงทะเบียนยืนยันตัวตนอย่างละเอียดได้ที่ https://www.bora.dopa.go.th/app-thaid/) โดยจะเริ่มให้มีการยืนยันตัวตนก่อนจองคิวในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 เป็นต้นไป
ขั้นตอนการจองคิวผ่านแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue และเวบไซท์ https://gecc.dlt.go.th/ ที่ต้องยืนยันตัวตนผ่าน ThaID
1. เข้าแอพพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเวบไซท์ https://gecc.dlt.go.th/
2. กรณีเป็นคนไทยให้เลือกเมนูเข้าระบบด้วย ThaID หลังจากนั้นระบบจะเข้าสู่หน้ายืนยันตัวตน ให้ทำการยืนยันตัวตนโดยสแกน QR Code ผ่านแอพพลิเคชัน ThaID กรณีเป็นชาวต่างชาติให้เลือกเมนูสำหรับชาวต่างชาติ และลงทะเบียนเข้าใช้ตามปกติ
3. ทำการเลือกธุรกรรมที่ต้องการจองคิว พร้อมเลือกวัน เวลา และสำนักงานขนส่งที่สะดวกในการเข้ารับบริการ
4. เมื่อทำการจองคิวสำเร็จระบบจะโชว์ข้อมูลการจองคิว เช่น ชื่อผู้จอง เลขบัตรประจำตัวประชาชน ประเภทการจองวัน เวลา และสำนักงานขนส่งที่จองคิว และใบจองคิวรูปในแบบ QR Code
กรมการขนส่งทางบกขอเตือน !! ระวังสูญเสียเงิน สูญเสียเอกสารสำคัญ มิจฉาชีพหลอกขโมยข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้อื่นไปใช้ในทางมิชอบ หรือใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมในลักษณะหลอกลวง หรือโจรกรรมข้อมูลส่วนบุคคล (Identity Theft) ไปใช้หาประโยชน์ในทางมิชอบ
ทางเลี่ยง บางบัวทอง-สุพรรณบุรี ช่วงก่อสร้าง ยาว 3 ปี
เปิดเส้นทางเลี่ยงถนน 340 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี หลังปิดก่อสร้าง นาน 3 ปี
ยกระดับการเดินทางสู่ภาคเหนือ
ทางหลวงหมายเลข 340 สายบางบัวทอง-สุพรรณบุรี เป็นเส้นทางหลักที่ประชาชนใช้เดินทางจากกรุงเทพฯ ผ่านสุพรรณบุรี ชัยนาท มุ่งสู่ภาคเหนือหลายจังหวัด เเต่เส้นทางดังกล่าวมีการใช้งานมานานกว่า 30 ปี ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณการจราจรเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมทำให้เกิดความชำรุดเสียหายหลายแห่ง
ทั้งนี้ กรมทางหลวง (ทล.) จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 340 สายบ้านสาลี-สุพรรณบุรี (ช่วงป้อมตำรวจทางหลวงสาลี ถึงปั๊ม ปตท. เลี่ยงเมืองสุพรรณบุรี) ระหว่าง กม. ที่ 48+841-65+600 รวมระยะทาง 16.459 กม. พื้นที่ อ. บางปลาม้า และ อ. เมืองสุพรรณบุรี จ. สุพรรณบุรี เพื่อยกระดับเส้นทางสายหลักเชื่อมโยงระหว่างภาค และเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางสู่ภาคเหนือ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 ตอน คือ
1. โครงการก่อสร้าง ทล. 340 สายบ้านสาลี-สุพรรณบุรี ตอน 1 ระหว่าง กม. ที่ 48+841-57+250 ระยะทาง 8.409 กม.
2. โครงการก่อสร้าง ทล. 340 สายบ้านสาลี-สุพรรณบุรี ตอน 2 ระหว่าง กม. ที่ 57+250-65+600 ระยะทาง 8.350 กม.
ทางหลวงหมายเลข 340 สายบ้านสาลี-สุพรรณบุรี เป็นโครงการก่อสร้างขยายช่องจราจรจากเดิม 4 ช่องจราจร เป็น 6 ช่องจราจร (ไป-กลับ) พร้อมการก่อสร้างสะพานคอนกรีทเสริมเหล็ก จำนวน 3 แห่ง คือ กม. ที่ 52+972 ความยาว 300 ม., กม. ที่ 54+550 ความยาว 100 ม. และ กม. ที่ 57+633 ความยาว 296 ม.
ขยายผิวจราจร สร้างสะพาน รถยังวิ่งผ่านได้ ?
การก่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 340 สายบ้านสาลี-สุพรรณบุรี ใช้เวลา 3 ปี เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยกรมทางหลวงจะต้องปิดถนนสาย 340 ช่วงแรกก่อน จะปิดทีละข้าง ช่วงแรกจะปิดทางด้านฝั่งขวามือ คือ เส้นจากสุพรรณบุรีเข้ามากรุงเทพฯ ตั้งแต่ปั๊ม ปตท. ปลาใหญ่ มาจนถึงแยกสาลี ที่จะไปพระนครศรีอยุธยา ช่วงนี้จะใช้เวลาปิดประมาณ 1 ปี ซึ่งรถทุกคันจะถูกโยกมาทางฝั่งซ้าย คือ ฝั่งที่วิ่งจากกรุงเทพฯ ไปสุพรรณบุรี จะเป็นการวิ่งแบบสวนกัน โดยมีแบริเออร์กั้นอยู่ตรงกลาง หลังจากผ่านไป 1 ปี แล้ว จะสลับข้างกัน
การก่อสร้างครั้งนี้ จะมีการเปลี่ยนแบบสะพานทำให้สะพานกว้างขึ้น มีความยาวมากขึ้น ลดความโค้งชันของแต่ละสะพาน ทำให้เกิดความสะดวกสบาย และปลอดภัยของผู้ใช้รถมากขึ้น ดังนั้น กรมทางหลวงจึงแนะ 3 เส้นทาง เพื่อเลี่ยงการก่อสร้างดังกล่าวเพราะหากยังวิ่งเส้นทางเดิม อาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิม เพราะถนนจะเหลือเพียงเลนเดียวทั้งขาไป และขากลับ ทำให้เกิดปัญหารถติดสะสม
3 เส้นทางเลี่ยง ช่วงก่อสร้าง
เส้นทางเลี่ยงที่ 1
เริ่มจากเดินทางจากดอนเมือง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 ถึงทางต่างระดับบางปะอิน เบี่ยงซ้ายเข้าสู่ ทล. 32 มุ่งหน้าตรงถึงแยกเข้าป่าโมก (กม. 37+900) ให้เลี้ยวซ้ายใช้ ทล. 33 ตรงเข้าสุพรรณ บุรี รวมระยะทาง 109 กม.
เส้นทางเลี่ยงที่ 2
เริ่มจากเดินทางออกจากบางใหญ่ ใช้ทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ถึงทางต่างระดับ สามโคกเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล. 311 มุ่งหน้าตรงถึงแยกเสนา (กม. 35+500) ให้ตรงไปใช้ ทล. 3454 ถึง กม. 86+300 (แยกหน้าโคก) เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล. 33 ตรงเข้าสุพรรณบุรี รวมระยะทาง 106 กม.
เส้นทางเลี่ยงที่ 3
เริ่มออกเดินทางจากทางต่างระดับ บางบัวทอง เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ ทล. 340 มุ่งหน้าตรงถึงแยกลาดบัวหลวง (กม. 29+00) ให้เลี้ยวซ้ายใช้ ทล. 3422 ถึง กม. 20+00 (แยกบางสาม) เลี้ยวขวาเข้าสู่ ทล. 3351 ถึงแยกเก้าห้อง (กม. 0+00) ตรงไปใช้ ทล. 3318 ตรงเข้าสุพรรณบุรี รวมระยะทาง 89.5 กม.
สอบถามข้อมูลได้ที่สำนักงานทางหลวงที่ 12 แขวงทางหลวงสุพรรณบุรีที่ 1 หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชม.)
ทัพหน้า MotoGP ถึงไทย ! แล้ว
โค้งสุดท้ายสู่สัปดาห์แห่งประวัติศาสตร์ มอเตอร์สปอร์ทโลกที่จะระเบิดศึกบนผืนแผ่นดินไทย กับความมันส์เต็มขั้นของศึก MotoGP สนามประเทศไทย รายการ “PT Grand Prix of Thailand 2024” ที่จะดวลกันวันที่ 25-27 ตค.นี้ ที่สนามช้างฯ จ. บุรีรัมย์ ทุกฝ่ายเร่งระดมจัดการความเรียบร้อยแบบองค์รวม เตรียมเปิดประตูบานใหญ่ต้อนรับแฟนความเร็วทั่วโลกอย่างเต็มระบบ พร้อมเผยยอดค้นหาที่พักบุรีรัมย์พุ่ง 45 % รับศึกจักรยานยนต์ชิงแชมพ์โลก
ฝ่ายจัดการแข่งขัน ได้มีการเผยภาพขบวนตู้คอนเทนเนอร์ MotoGP ศึก 2 ล้อที่เร็วที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกชุดแรกที่เริ่มทยอยนำอุปกรณ์ต่างๆ มาติดตั้งที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์ กิท จ. บุรีรัมย์ ส่วนรถแข่งต่างๆ จะเดินทางมาถึงในช่วงสัปดาห์หน้า หลังจบการแข่งขัน สนาม 17 รายการ Australian Grand Prix ระหว่างวันที่ 18-20 ตุลาคมนี้ ที่ สนาม ฟิลลิป ไอส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย
ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการแข่งขัน ร่วมกับจังหวัดบุรีรัมย์ระดมจัดการความเรียบร้อยแบบองค์รวม ใส่ใจรายละเอียดในทุกส่วน เพื่อให้พร้อมที่สุดในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ในการจัดการแข่งขัน MotoGP Thailand รายการ “PT Grand Prix of Thailand 2024” ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ สนามที่ 18 ที่จังหวัดบุรีรัมย์
ล่าสุด สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท มีการจัดอบรมทีมมาแชล อบรมทีมแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงาน MotoGP อย่างเข้มข้น นอกจากนี้ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยหน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดบุรีรัมย์ แขวงทางหลวงบุรีรัมย์ แขวงทางหลวงชนบทจังหวัดบุรีรัมย์ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังร่วมกันทำความสะอาด สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท สถานที่จัดการแข่งขันอีกด้วย
ทั้งนี้ คณะทำงานฝ่ายต่างๆ นำเสนอความก้าวหน้าของคณะทำงานฝ่ายต่างๆ อาทิ “ที่พัก และอาหาร” ได้จัดทำแอพลิเคชันที่มีข้อมูลครบถ้วน ทั้งตรวจสอบราคาโรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว จุดให้บริการสถานพยาบาล, เตรียมพร้อมด้านการแพทย์ฉุกเฉิน, มีการประสานขอใช้รถ Low Floor EV จุดรับส่ง นักท่องเที่ยว, การจัดระเบียบการจราจร การรักษาความปลอดภัยตามสถานที่ต่างๆ, เตรียมพร้อมด้านอาสาสมัคร Ask me, อาสาสมัครดูแลรักษาความสะอาด GU เก็บ, จัดเตรียมสถานที่การแข่งขัน และเตรียมรถประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว, รถสุขาเคลื่อนที่, การจัดพาวิลเลียนด้านการท่องเที่ยว, จุดประชาสัมพันธ์การแข่งขัน, สนับสนุนระบบสาธารณูปโภค เตรียมพร้อมด้านสัญญาณเครือข่ายสื่อสาร-อินเตอร์เนทพร้อมรองรับผู้ใช้งานจำนวนมาก, การอำนวยความสะดวก ณ ท่าอากาศยานบุรีรัมย์, การแสดงต้อนรับและจัดแสดงสินค้า OTOP ฯลฯ
ด้านอโกดา พแลทฟอร์มดิจิทอลด้านการท่องเที่ยว เผยข้อมูลการค้นหาที่พักในจังหวัดบุรีรัมย์เพิ่มขึ้น 45 % ในช่วงวันที่ 25-27 ตุลาคม 2024 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมพ์โลกที่กำลังจะจัดขึ้นในสนาม ณ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยข้อมูลนี้อ้างอิงจากการค้นหาที่พักในเดือนแรกหลังจากเปิดจำหน่ายบัตรการแข่งขัน โดยเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
ข้อมูลจากการค้นหายังพบว่า นักท่องเที่ยวจากสหราชอาณาจักรครองตำแหน่งอันดับ 1 ในกลุ่มประเทศที่มีความสนใจเดินทางไปจังหวัดบุรีรัมย์ ตามมาด้วยออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ และ สวิสเซอร์แลนด์ การค้นหาที่พักในจังหวัดบุรีรัมย์จากทั่วโลก แสดงให้เห็นถึงความสนใจของการแข่งขันครั้งนี้ ซึ่งแพร่หลายในระดับสากล