Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์) รถยนต์นั่งอเนกประสงค์ที่ถูกออกแบบ และพัฒนามาเพื่อส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายสำหรับครอบครัว เปี่ยมไปด้วยสมรรถนะที่ยอดเยี่ยมทั้งการขับบนถนน และแบบออฟโรด โดย Ford Everest ทุกคันถูกผลิตขึ้นที่โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) และจัดจำหน่ายไปมากกว่า 110 ประเทศทั่วโลก
การเดินทางของ Ford Everest 1 คัน จากสายการผลิตไปจนถึงส่งมอบรถถึงมือลูกค้านั้นมีขั้นตอนที่น่าทึ่งมากมาย ที่ผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย และความละเอียดแม่นยำ ตั้งแต่การควบคุมคุณภาพที่ขับเคลื่อนด้วย AI เทคนิคการประกอบรถยนต์ที่พิถีพิถัน ไปจนถึงการทดสอบสมรรถนะที่เข้มข้น และนี่คือ 10 เรื่องราวเบื้องหลังการผลิต Ford Everest ที่จะทำให้คุณรู้จักรถยนต์คันนี้ได้มากขึ้น
1. ทุกๆ 2 นาที จะมีรถ Ford Everest 1 คัน ผลิตออกมาจากสายการผลิตที่โรงงานเอเอที
2. หุ่นยนต์ที่ใช้ มีทั้งแบบหุ่นยนต์ปฏิบัติงาน 320 ตัว และหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงาน 25 ตัว ทำงานในสายการผลิต และประกอบตัวถัง เพื่อรักษาปริมาณการผลิตให้คงที่อยู่เสมอ
3. การเคลือบป้องกันสนิม ตัวถังของ Ford Everest ทุกคันมีจุดเชื่อมมากกว่า 3,600 จุด จึงต้องผ่านกระบวนการเคลือบกันสนิมด้วยการจุ่มตัวถังลงในอ่างสารเคมี 10 ครั้งก่อนเข้าสู่กระบวนการพ่นสี
4. กล้อง AI ในการผลิต มีมากกว่า 30 ตัว ทั้งในการผลิตตัวถัง และกระบวนการประกอบชิ้นส่วนห้องโดยสาร การติดตั้งแชสซีส์ และการตรวจเชครายละเอียดขั้นสุดท้ายก่อนออกจากสายการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และรับรองคุณภาพในกระบวนการผลิต
5. การทดสอบสมรรถนะ Ford Everest ทุกคันจะต้องผ่านการทดสอบการขับขี่ผ่านอุปสรรคต่างๆ อาทิ การทดสอบเสียงรบกวน และการสั่นสะเทือน การทดสอบบนถนนขรุขระ โดยรถแต่ละคันจะต้องผ่านครบทุกการทดสอบอย่างเต็มรูปแบบก่อนจึงจะได้รับการอนุมัติให้ส่งมอบรถออกไปทั่วโลกได้
6. ตรวจสอบการรั่วซึมของอากาศ รถ Ford Everest ที่ออกจากสายการผลิตทุกวันจะถูกสุ่มตรวจสอบการรั่วซึมของอากาศ โดยจะสูบอากาศเข้าไปในห้องโดยสาร และใช้เซนเซอร์ที่ติดตั้งไว้รอบตัวรถตรวจวัด เพื่อให้มั่นใจว่ารถจะไม่มีการรั่วซึมเกินกว่าที่มาตรฐานกำหนด
7. การตั้งศูนย์ล้อ และพวงมาลัย Ford ทดสอบการตั้งศูนย์ล้อ และพวงมาลัย รวมถึงตรวจเชคให้ไฟหน้าส่องสว่างในทิศทาง และระยะที่ต้องการ โดยจะสุ่มจากรถทุกรุ่นย่อยของ Ford Everest ที่ออกจากสายการผลิตทุกวัน โดยใช้เลเซอร์ และกล้องหลายตัวในการตรวจสอบการตั้งศูนย์ล้อ และไฟหน้า ขณะเดียวกันการทดสอบการตั้งศูนย์พวงมาลัยจะแสดงให้เห็นว่าพวงมาลัยตรงกับล้อ และรถเคลื่อนตัวตรงหรือไม่
8. การทดสอบด้วยน้ำ เป็นหนึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบคุณภาพที่สำคัญ ซึ่งรถ Ford Everest ทุกคันจะถูกฉีดน้ำแรงดันสูงทุกทิศทางนาน 5 นาที เพื่อจำลองสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ จากนั้นทีมงานจะตรวจสอบทุกรายละเอียด ตั้งแต่ตรวจสอบไฟท้าย ไฟหน้า และไฟตัดหมอกด้วยสายตา เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีน้ำรั่วซึมผ่านเข้าไปในรถ จากนั้นทีมงานจะเปิดประตูทุกบานเพื่อตรวจสอบขอบยางว่ามีการรั่วซึมของน้ำหรือไม่ เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นห้องโดยสารยังคงแห้งสนิท โดยจะใช้หัววัดพิเศษที่สามารถส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบความชื้น นอกจากนี้ น้ำที่ใช้ในการทดสอบไม่ได้ถูกทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะถูกนำกลับมาใช้ใหม่ในการทดสอบครั้งถัดไป
9. การตรวจสอบคุณภาพขั้นสูง Ford Everest ทุกคันจะได้รับการตรวจสอบโดยทีมงานที่ใช้กล้องความละเอียดสูง และอัลกอริธึม AI เพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องทุกจุดอย่างละเอียด เช่น การตรวจสอบสติคเกอร์ ตราสัญลักษณ์ ชิ้นส่วนที่หายไป ชิ้นส่วนที่เกินมา ชิ้นส่วนที่ไม่ถูกต้อง ชิ้นส่วนที่ประกอบไม่เรียบร้อย หรือแม้แต่สีที่ไม่ตรงตามการควบคุมคุณภาพ
10. การผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่โรงงานเอเอทีใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จากหลังคาโซลาร์เซลล์ และนวัตกรรมพลังงานแสงอาทิตย์แบบลอยน้ำที่อยู่ระหว่างดำเนินการ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2568 นี้ ซึ่งถ้าแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 14 เมกะวัตต์ และจะช่วยลดการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 10,236 ตัน/ปี ทำให้การผลิตรถ Ford Everest เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
บทความแนะนำ