บทความ
Ferrari Amalfi ม้าเล็กมาดใหม่ แต่ดีไซจ์นคล้ายรถญี่ปุ่น !

ม้าลำพอง Grand Tourer ออกแบบใหม่หมด เน้นสบายแต่นุ่มนวล เทคโนโลยีจัดเต็ม พร้อมส่งมอบลอทแรกในช่วงต้นปี 2026Highlight
ม้าลำพองตัวเล็กรุ่นใหม่ล่าสุดในชื่อ “Amalfi” พร้อมรับช่วงต่อ สปอร์ทหลังคาแข็งแทนที่รุ่นพี่ "Roma" ด้วยการปรับภาพลักษณ์ใหม่หมดจด ทั้งภายนอก และภายใน พร้อมเครื่องยนต์ 8 สูบ ที่ถูกอัพเกรดให้แรง และล้ำกว่าเดิม แน่นอนว่าเป็นรถที่ต้องการจากเศรษฐีทั่วโลก แต่ความหวือหวาครั้งนี้ไม่ใช่งานวิศวกรรมกลับเป็นที่ดีไซจ์นหน้าตาที่ชวนให้หลายคนเห็นแล้วนึกถึงรถญี่ปุ่นซะอย่างงั้น
Ferrari Amalfi สปอร์ทคูเป 2+2 ใช้แนวทางการออกแบบใหม่หมดจากรุ่น Roma ด้านหน้าใช้ไฟหน้ารูปทรงเฉียบคม เสริมด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ และดิฟฟิวเซอร์หลังใหม่พร้อมสปอยเลอร์แอคทีฟ สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรุ่นก่อนตามแนวคิด "sleek, monolithic speedform" โดยสีเปิดตัว สีเขียวอมฟ้า Verde Costiera ได้แรงบันดาลใจจากสีทะเลอมัลฟี ชายฝั่งทะเลทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี เสริมความมีชีวิตชีวาดั่งชื่อรุ่นรถ
แต่สิ่งที่กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลไม่ใช่แค่ความหล่อของ Ferrari หลายคนเปรียบเทียบหน้าตาของ Amalfi ชวนให้นึกถึงรถญี่ปุ่นค่ายดังอย่าง Toyota GR Supra จากกระจังหน้า และไฟหน้าคล้ายกัน หรือ Toyota Camry รุ่นล่าสุดที่ขายในบ้านเรา มีการวาดเส้นสาย และสัดส่วนให้ดูคล้ายกันไปอีก แม้ว่าหลายคนแซวเรื่องดีไซจ์น แต่หลายคนก็แย้งว่า Ferrari เลือกแนวทางออกแบบได้เหมาะกับยุคใหม่มากกว่าการตกแต่งหวือหวาแบบเดิมๆ
การออกแบบใหม่ทั้งด้านหน้ายาวแหลม ดูหรูหรา เพิ่มช่องอากาศแบบ “Sharknose” ฝากระโปรงที่ออกแบบให้ลู่ลม ด้านท้ายที่ยกสูงพร้อมไฟท้ายแบบใหม่ สไตล์เหมือนกับรุ่นพี่ Ferrari SF90 และ Ferrari 12Cilindri มาใช้ด้วย พร้อมแถบสีดำเชื่อมระหว่างไฟหน้า และไฟท้าย เพิ่มความรู้สึกแข็งแกร่ง เรียบง่าย และสปอร์ทได้ดี ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว พร้อมด้วยยาง Bridgestone Potenza Sport หรือ Pirelli P Zero พร้อมออพชันล้อ Forged น้ำหนักเบาก็มีให้เลือกได้
ภายในห้องโดยสารของ Amalfi ถูกออกแบบให้หรูหราแต่ใช้งานง่ายกว่าเดิมเน้นโอบล้อมการใช้งานทั้งผู้ขับขี่ และผู้โดยสารแบบ Dual-Cockpit มีช่องชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ช่องใส่กุญแจ แผงข้างประตูออกแบบเส้นสายเป็นรูปทรงใบเรือ Sail-like Forms
แน่นอนว่าจากกระแสที่เป็นด้านลบกับระบบ Touchscreen ในรุ่นก่อนหน้า คราวนี้ Amalfi จะไม่มีปุ่มสัมผัสกวนใจอีกต่อไป และนำปุ่มกดแบบ Physical Button กลับมาใช้บนพวงมาลัย พร้อมปุ่มสตาร์ทสีแดง และปุ่มปรับโหมด Manettino Dial แบบคลาสสิคอีกด้วย
ใต้ฝากระโปรงของ Ferrari Amalfi ใช้ขุมพลังเบนซิน V8 ความจุ 3.9 ลิตร ทวินเทอร์โบ วางกลาง-หน้า กระจายน้ำหนัก 50-50 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากรุ่น Roma พร้อมกับใช้กล่อง ECU ตัวล่าสุดจากรุ่นพี่อย่าง 296 GTB, Purosangue และ 12Cilindri ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 640 แรงม้า เพิ่มแรงม้าจากรุ่นเดิม 20 แรงม้า และแรงบิด 760 นิวทันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ภายใน 3.3 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 320 กม./ชม.
นอกจากการขับขี่ที่น่าตื่นเต้นแล้ว ระบบเบรคของ Ferrari Amalfi ได้พัฒนาต่อจากรุ่นเดิมให้มีการเบรคแบบ Brake-by-wire ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจาก 296 GTB และ 12Cilindri ให้ความแม่นยำในการเบรคยิ่งขึ้น รวมถึงสปอยเลอร์หลังแบบแอคทีฟใหม่ สามารถยกตัวขึ้นอัตโนมัติเมื่อความเร็วสูงสุด
เพื่อเสถียรภาพในการขับขี่ โดยในระดับที่สูงสุด สามารถสร้างแรงกด Downforce ได้ 110 กิโลกรัม ที่ความเร็วประมาณ 249 กม./ชม. โดนแรงต้านเพียง 4 % เท่านั้น รวมถึงระบบ Side Slip Control 6.1 ควบคุมทุกการเคลื่อนไหวของรถ ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน และการหมุนตัวรถ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะ และประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสถานการณ์ ยังมีระบบช่วยเหลือการขับขี่ ADAS พร้อมใช้งานได้จริงเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Adaptive Cruise Control, Auto Emergency Braking, Lane Departure Warning, Lane Keep Assist เป็นอุปกรณ์มาตรฐานไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม
สำหรับ Ferrari Amalfi ยังไม่มีข้อมูลยืนยันช่วงเริ่มการส่งมอบ แต่จะเริ่มสายการผลิตได้ภายในสิ้นปี 2025 ตามรายงานคาดว่าจะเปิดราคาเริ่มต้นใกล้เคียงกับรุ่น Roma เดิม ซึ่งมูลค่าอาจสูงถึง 300,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 11.1 ล้านบาท) ไม่รวมภาษี และราคาออพชันแบบจัดเต็มของลูกค้าชาวไทย คาดว่าเจ้าม้าลำพองรูปหล่อคันนี้อาจจะทะลุ 25-27 ล้านบาทไทย นอกจากนี้ Ferrari ได้จดทะเบียนชื่อ “Amalfi Spider” แล้วสำหรับใครที่รอเวอร์ชันเปิดประทุน ออมเงินกันไว้ได้เลย