ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
Ford แนะนำ Ranger Extra Pack
Ford ประเทศไทย สร้างสีสันให้แก่ตลาดรถกระบะอีกครั้ง ปรับโฉมรถกระบะ 3 รุ่นย่อยพิเศษ Ford Ranger Extra Pack (ฟอร์ด เรนเจอร์ เอกซ์ตรา แพค) มอบทางเลือกใหม่สำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบการแต่งรถ ให้เป็นกระบะสุดแกร่งที่มาพร้อมชุดแต่งที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวส่งตรงจากโรงงาน พิเศษจำนวนจำกัด ทั้ง 3 รุ่นย่อยมาพร้อมการรับประกันตัวรถ และอุปกรณ์เสริมพิเศษนานถึง 5 ปี หรือ 150,000 กม. เปิดจองผ่านช่องทางออนไลน์ www.ford.co.th วันที่ 12 กันยายน 2568 เวลา 10.00 น.เป็นต้นไป
เมธัส ลิขิตสัจจากุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด Ford ประเทศไทย กล่าวว่า ลูกค้าชาวไทยให้ความสำคัญกับการปรับแต่งรถให้ดูมีสไตล์ ดุดัน และโฉบเฉี่ยวมากขึ้น Ford จึงตอบโจทย์นี้ด้วย นำ Ford Ranger Extra Pack ที่นำรถรุ่นเรือธงมาตกแต่งเพิ่มความเท่ และดุดัน พร้อมติดตั้งอุปกรณ์เสริมมาตรฐานจากโรงงาน ลูกค้าจะได้รับรถที่พร้อมใช้งานในสไตล์ที่ต้องการทันที โดยมั่นใจได้ทั้งในคุณภาพของอุปกรณ์เสริม และการรับประกันจาก Ford เพื่อมอบความคุ้มค่า และความมั่นใจในทุกการขับขี่
Ford Ranger Raptor Extra Pack (ฟอร์ด เรนเจอร์ แรพเตอร์ เอกซ์ตรา แพค) เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 รถกระบะออฟโรดสมรรถนะสูง อัดแน่นด้วยดีเอนเอ Ford Performance ขั้นสุดแห่งรถกระบะที่มาพร้อมเทคโนโลยีอันชาญฉลาด และดีไซจ์นที่ดุดัน ได้รับการปรับลุคเสริมความแกร่งจริงทุกคัน ดุดันทุกสถานการณ์ ด้วยสปอร์ทบาร์ใหม่สุดเท่ สร้างความโดดเด่นให้แก่รถกระบะสมรรถนะสูงสุดในตระกูล Ranger เพิ่มลวดลายแสดงสุดยอดแห่งขุมพลังด้วยสติคเกอร์ลายเอกลักษณ์เฉพาะ Raptor เครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 เท่านั้นพร้อมยกระดับการเดินทางให้คอออฟโรดตัวจริง ด้วยชอคอับ Fox แบบ Live Valve Internal Bypass 2.5 นิ้ว และโหมดการขับขี่ 7 โหมด ยกระดับสมรรถนะการขับขี่ให้เหนือมาตรฐานสำหรับคอออฟโรดตัวจริง ทั้งยังอวดความเท่ของเครื่องยนต์ วี 6 ได้ด้วยระบบ Active Valve Exhaust ปรับระดับเสียงท่อ 4 โหมด ที่เจ้าของรถควบคุมได้ผ่าน My Mode ระบบบันทึกการตั้งค่า และเรียกใช้งานตามสไตล์ผู้ใช้รถแต่ละคน โดยสามารถกำหนดรูปแบบพวงมาลัย ระบบกันสะเทือน และท่อไอเสียได้ตามใจชอบ ภายในมอบความสะดวกสบายทุกการเดินทางด้วยห้องโดยสารที่ใช้เบาะหนัง และหนังสังเคราะห์ เฉพาะของ Raptor โดยเบาะนั่งคนขับ และผู้โดยสารสามารถปรับไฟฟ้าได้ 10 ทิศทาง และเพลิดเพลินกับระบบความบันเทิงในรถด้วยลำโพง Bang & Olufsen 10 ตำแหน่ง ที่มีเฉพาะใน Ranger Raptor รุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 3.0 ลิตร วี 6 เท่านั้น จำหน่ายในราคา 1,984,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีดำ Absolute Black สีขาว Arctic White สีเทา Command Gray และสีส้ม Code Orange
Ford Ranger Wildtrak Extra Pack (ฟอร์ด เรนเจอร์ ไวลด์ทแรค เอกซ์ตรา แพค) รุ่น 2.0 ลิตร เทอร์โบ รถกระบะสำหรับลูกค้าที่มองหาทางเลือกในการใช้รถที่มีสมรรถนะในการขับขี่ พร้อมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ ตอบโจทย์การใช้งาน และไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานการใช้ชีวิตกับครอบครัว หรือการพักผ่อน มาพร้อมการปรับโฉมใหม่ ด้วยล้ออัลลอยใหม่แบบ Beadlock ขนาด 18 นิ้ว มอบความเท่ที่แตกต่างโดดเด่นพร้อมทุกการผจญภัยสติคเกอร์ลายใหม่ ตกแต่งด้านข้างตัวรถตั้งแต่ประตูด้านหน้าถึงประตูผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมสปอร์ทบาร์ที่แสดงอัตลักษณ์ความเป็น Wildtrak ไม่เหมือนใคร ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มอบกำลังสูงสุด 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 405 นิวทันเมตร ภายในตกแต่งแสดงอัตลักษณ์เฉพาะรุ่นแบบ Wildtrak พร้อมด้วยระบบเสียง และความบันเทิง รวมถึงฟีเจอร์ความปลอดภัยที่ครบครัน จำหน่ายในราคา 1,104,000 บาท พร้อมฟรีประกันภายชั้น 1 มีสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเหลือง Luxe Yellow สีขาว Arctic White สีเทา Meteor Gray และสีดำ Absolute Black
Ford Ranger XLS Extra Pack (ฟอร์ด เรนเจอร์ เอกซ์แอลเอส เอกซ์ตรา แพค) รถกระบะ 4 ประตูยกสูง ที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบอเนกประสงค์สำหรับกลุ่มลูกค้าเจ้าของธุรกิจขนาดย่อม มาพร้อมรุ่นพิเศษจำนวนจำกัดที่เสริมความสปอร์ทไปอีกขั้นด้วยการปรับโฉมสุดเท่ ไม่ว่าจะเป็นโรลล์บาร์ใหม่ เพิ่มความดุดันพร้อมเป็นตัวช่วยสำหรับคุณในทุกการใช้งาน และสติคเกอร์ตกแต่งด้านท้ายของตัวรถดีไซจ์นใหม่ มอบทางเลือกให้ลูกค้าผู้ที่ต้องการทั้งรถกระบะพันธุ์แกร่งสำหรับการทำงาน และภาพลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร สามารถอวดความดุดัน และโดดเด่นไปได้ทุกที่ อัดแน่นด้วยฟังค์ชันที่ตอบโจทย์เจ้าของรถ Ranger ไม่ว่าจะเป็นบันไดข้าง และบันไดเหยียบข้างกระบะท้าย ฝาท้ายกระบะที่สามารถปรับเป็นโต๊ะทำงานช่างอเนกประสงค์ พร้อมจุดยึดอุปกรณ์ช่าง 2 จุด และไม้บรรทัดวัดขนาดแบบ Built-in ที่แบ่งระยะวัดทุก10 มม. ภายในมอบความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง และด้านผู้โดยสาร 4 ทิศทาง และหน้าจอแสดงผลบนหน้าปัดแบบสีขนาด 4 นิ้ว พร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 4A รองรับ Wireless Apple CarPlay และ Android Auto จำหน่ายในราคาพิเศษ 809,000 บาท (จากราคาปกติ 934,000 บาท) ตั้งแต่ 12 กันยายน-31 ตุลาคม 2568 มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีขาว Arctic White และสีเทา Meteor Gray
Ford Ranger Extra Pack ทั้ง 3 รุ่นย่อย มาพร้อมการรับประกันนาน 5 ปี หรือ 150,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน)
.......................................................................................................................
Lotus เปิดตัว MY26 ในงาน A New Era 600
Lotus Car ประเทศไทย ผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายรถยนต์ Lotus (โลทัส) อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดตัวรถ Lotus MY26 ในงาน "A New Era 600" โมเดลใหม่ รถยนต์สปอร์ทไฟฟ้า พร้อมจับมือพาร์ทเนอร์ สร้างความเอกซ์คลูซีฟ
ธีรพงศ์ รอดลอย Country Manager Lotus Cars Thailand โดย บริษัท แปซิฟิค ไทย มอเตอร์สปอร์ตส์ จำกัด กล่าวว่า งาน "A New Era 600" งานเปิดตัวรถยนต์ Lotus โมเดลใหม่ หลังจากที่ได้เปิดราคาใหม่ไปก่อนหน้านี้ และเปิดชื่อรุ่นย่อยใหม่ Emeya (เอมียา) และ Eletre (เอเลตเรอ) ทั้ง 603 แรงม้า และ 905 แรงม้า นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เราเปิดรุ่นเริ่มต้น Emeya 600 ในราคาเพียง 4.89 ล้านบาท ซึ่งเป็นรุ่นไฮไลท์ในครั้งนี้ เพื่อต้องการมอบประสบการณ์ขับขี่ที่ดีที่สุดพร้อมการดูแลเหนือระดับ ภายในงานพร้อมให้ยลโฉมรถยนต์รุ่นย่อยใหม่ได้อย่างใกล้ชิด ได้แก่ Emeya 600, Emeya 600 GT SE, Eletre 600 GT SE และ Eletre 900 Sport ซึ่งเป็นการเพิ่มรุ่นย่อยใหม่ที่หลากหลาย และอยู่ในช่วงราคาตั้งแต่ 4.89-7.99 ล้านบาท ถือเป็นการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ในมุมกว้างยิ่งขึ้น สร้างทางเลือกความเอกซ์คลูซีฟที่ต่างกันในออพชันของแต่ละรุ่น พร้อมฟังค์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งาน
“ความพิเศษในงานเปิดตัว Lotus MY26 ครั้งนี้ เราได้สร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับประเทศ เพื่อเป็นการนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น TTB, King Power, KEF, Borom, Mono Wheel และ Martell เพื่อมอบข้อเสนอพิเศษ และสัมผัสกิจกรรมสุดเอกซ์คลูซีฟ”
สำหรับงาน "A New Era 600" มาในคอนเซพท์ "When Speed Meet Style" สร้างประสบการณ์ใหม่ผ่าน 5 Senses Experience นับเป็นอีกไฮไลท์สำคัญของงานที่ร่วมสร้างสรรค์ความเอกซ์คลูซีฟในการเปิดตัวรถ Lotus MY26 เพื่อมอบประสบการณ์ให้ลูกค้าในทุกๆ ด้าน ผ่านทุกสัมผัสทั้ง 5 รูปแบบ (5 Experiences and Activities) คือ
- Sight-ชมรถยนต์ Lotus MY26 ที่มีดีไซจ์นเป็นเอกลักษณ์เสมือนชิ้นงาน Masterpiece
- Sound-สัมผัสเสียงอันทรงพลัง ทั้งในตัวรถ และตลอดภายในงาน จากแบรนด์ KEF
- Scent-กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ สร้างบรรยากาศความหรูหราจาก Borom
- Touch-เพลิดเพลินกับกิจกรรมสำหรับผู้ที่รักการขับขี่กับ Car Simulator จาก Monowheel
- Taste-ลิ้มรส Cocktail สูตรพิเศษจาก Martell ให้ความผ่อนคลายหลังจากการขับขี่
Lotus Car ประเทศไทย ได้นำแนวคิด Sensory Experience สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ผ่านทุกสัมผัส ร่วมกับ DNA ความเป็น Lotus เข้าด้วยกัน พร้อมยกระดับความพรีเมียม ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างทาง Borom แบรนด์น้ำหอมไทยสาย Niche ชื่อดังที่มีความยูนีคเฉพาะตัว ผสมผสานกับความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ Lotus ทั้ง 4 Pillars
1) ความเร็วที่เหนือความคาดหมาย (Speed and Racing) จุดเด่นเรื่องความเร็วอันทรงพลังของแบรนด์ Lotus รถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง และเร็วที่สุดในฐานะ Hyper GT (Dual-Motor) สำหรับ Emeya และ Hyper-SUV สำหรับ Eletre ถือเป็นรถที่โดดเด่นเรื่องความเร็ว และให้อรรถรสการขับขี่ที่เฉพาะตัว สอดคล้องกับคอนเซพท์ของน้ำหอมกลิ่น Naked Satin ที่สะท้อนคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ เป็นหนึ่งใน Signature Scent ที่ให้ความประทับใจตั้งแต่แรกที่ได้สัมผัส เสมือนคุณได้ขับรถยนต์ Lotus เช่นกัน
2) ความล้ำสมัยด้านเทคโนโลยี (High Technology) ด้วยพละกำลังยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 603-905 แรงม้า พร้อมกับขุมพลังการประมวลผลอัจฉริยะจาก NVIDIA Drive เป็นเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน ให้ความล้ำสมัย และเงียบสงบแต่ทรงพลังอย่างไร้ที่ติ เปรียบเสมือนน้ำหอมกลิ่น Cashmere Unnamed ที่สะท้อนถึงความ Quiet Luxury ที่ให้ความรู้สึกเรียบหรูแฝงอยู่ในทุกสัมผัส แต่ยังคงสง่างาม
3) ความสปอร์ทที่โดดเด่น (Gentle Looks) สะท้อนภาพลักษณ์ที่ให้รสนิยมที่แตกต่าง โดดเด่นด้วยดีไซจ์น Aerodynamic ที่ให้ความสปอร์ท ด้วยรายละเอียดที่พิถีพิถันทั้งภายนอก และภายในรถ เสมือนกับกลิ่นน้ำหอม Gentle Oxford ที่ให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียด และสะท้อนรสนิยมที่เฉพาะตัว ด้วยเสน่ห์ในแบบ Everyday Elegance
4) ความเป็นตำนานของวงการมอเตอร์สปอร์ท (Motorsport Legacy) ด้วยการพัฒนาจากรถแข่ง F1 ที่ถ่ายทอดสมรรถนะจากสนามแข่งสู่ถนนจริง เพื่อส่งต่อประสบการณ์ขับขี่ในรูปแบบ "For the Drivers" ให้ผู้ที่รักในการขับขี่ เปรียบเสมือนกับคาแรคเตอร์ของน้ำหอมกลิ่น Mysterious Wool ในแนว Animalic Note ที่ให้ความรู้สึกปลุกสัญชาตญาณความเป็นมอเตอร์สปอร์ท หลงใหลในความแรง และความเร็ว สะท้อนจิตวิญญาณ และแสดงตัวตนความเป็น DNA ของรถยนต์ Lotus อย่างดี
อีกทั้งภายในรถยนต์จะได้สัมผัสอรรถรสด้านเสียงอันโดดเด่นของทาง KEF แบรนด์เครื่องเสียงระดับไฮเอนด์จากประเทศอังกฤษ เป็นเครื่องเสียงในรถยนต์ Lotus ทุกรุ่น ให้เอกลักษณ์โทนเสียงที่สมดุล และให้รายละเอียดเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งได้มาร่วมสร้างบรรยากาศภายในงาน โดยจัดแสดงเครื่องเสียง Soundbar ที่เสมือนเป็นงานศิลป์มาเติมเต็มประสบการณ์การฟังเหนือระดับ นอกจากนี้ จะได้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่เสมือนจริง เพลิดเพลินไปกับ Car Simulator และ Electric Scooter จาก Monowheel จัดเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่ เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมไปกับอรรถรสการขับขี่ของยนตรกรรมไฟฟ้า Lotus Car ในการเปิดตัวครั้งนี้
นอกจากนี้ Lotus Car ประเทศไทย มีความตั้งใจที่จะดูแลลูกค้า Lotus อย่างดีที่สุด และมุ่งหวังที่จะสร้างคอมมูนิที Lotus ให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยจัดรวมคอมมูนิทีจาก Siam Lotus มาร่วมพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนแนวคิด และประสบการณ์ขับขี่รถยนต์ Lotus จากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่รถคลาสิคจนมาถึงรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นปัจจุบัน แม้ว่ามีการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แต่รถยนต์ Lotus ยังคงให้คาแรคเตอร์การขับขี่ที่สนุก และ DNA ของรถยนต์ Lotus ยังคงอยู่เสมอ อีกทั้งยกระดับการดูแลหลังการขายให้ลูกค้าทุกท่านได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และมั่นใจกับความพร้อมด้านศูนย์บริการหลังการขายของทาง Lotus Car ประเทศไทย
สำหรับลูกค้าผู้ที่สนใจ Lotus MY26 พร้อมให้เป็นเจ้าของรถยนต์ Lotus ได้แล้ววันนี้ “Lotus for Everyone” สำหรับรุ่นเริ่มต้น Emeya 600 เปิดราคาที่ 4.89 ล้านบาท* รับ Lotus Wall Box และประกันภัยชั้น 1 นาน 2 ปี* และรุ่น Eletre 600 ราคาเริ่มต้นที่ 5.29 ล้านบาท* รับ Lotus Wall Box และประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี* นอกเหนือจากนี้ ยังมอบความพิเศษสำหรับผู้ที่จองรถในงานจะได้รับข้อเสนอพิเศษรวมสูงสุด 60,000 บาท* จากพาร์ทเนอร์สุดเอกซ์คลูซีฟอย่าง KEF มอบ Voucher สำหรับชุดเครื่องเสียงระดับพรีเมียม มูลค่า 50,000 บาท* พร้อมรับของขวัญสุดเอกซ์คลูซีฟจากทาง Borom น้ำหอมขนาด 100 ml มูลค่า 9,900 บาท*
อีกทั้ง Lotus Car ประเทศไทย ร่วมกับ TTB มอบเอกสิทธิ์พิเศษ รับคะแนนสะสมพิเศษ 300,000 คะแนน เมื่อชำระเงินจองรถ หรือดาวน์รถ ตั้งแต่ 300,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิพ สำหรับรถยนต์ Lotus MY26 ที่พร้อมส่งมอบ และรถยนต์ Lotus รุ่นอื่นที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน-31 ตุลาคม 2568 และทำการส่งมอบรถยนต์ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2568 โดยเอกสิทธิ์พิเศษนี้สำหรับผู้ที่ถือบัตรเครดิท TTB Reserve และบัตรเครดิท TTB ประเภทที่มีคะแนนสะสม (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)
สำหรับผู้ที่มาร่วมงานจะได้รับสิทธิพิเศษ Power Pass ส่วนลดสูงสุด 20 % จาก King Power และ Voucher พิเศษจากน้ำหอม Borom
............................................................................................................................
เริ่มแล้ว ! กฎใหม่ราชกิจจาฯ เก็บภาษีรถโบราณ 45 %
ราชกิจจานุเบกษาประกาศเก็บภาษีสรรพสามิต รถยนต์โบราณ ในอัตรา 45 %
เก็บภาษีรถโบราณ 45 %
ราชกิจจานุเบกษาประกาศกฎกระทรวงใหม่ เรื่องกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยกำหนดเก็บภาษีสรรพสามิตสำหรับ “รถยนต์โบราณ” เป็นครั้งแรก ในอัตราร้อยละ 45 (45 %) ของราคาขายปลีก แต่หากไม่เข้าเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพสามิตกำหนด จะถูกจัดเก็บสูงสุด ร้อยละ 50 (50 %) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 กย. 68 เป็นต้นไป
รถโบราณที่เข้าเงื่อนไข ภาษีอัตราพิเศษ 45 %
ประเภทรถที่เข้าร่วมได้
จำกัดเฉพาะรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถโดยสารไม่เกิน 10 คน, สเตชันแวกอน และรถแข่ง (ไม่รวมรถกระบะ และมอเตอร์ไซค์)
เกณฑ์อายุรถ
รถโบราณที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป แต่ไม่เกิน 100 ปี (ส่วนรถที่มีอายุเกิน 100 ปี จะถือเป็นวัตถุโบราณ ซึ่งจะมีการแยกพิกัดศุลกากรอีกกรณีหนึ่ง)
สิทธิยกเว้นอากรศุลกากรขาเข้า
ต้องเป็นการนำเข้าแบบสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) พร้อมมีเอกสารรับรอง
มูลค่า
รถโบราณต้องมีมูลค่าขั้นต่ำ 2 ล้านบาท
มาตรการคืนภาษี
หากนำเข้ารถโบราณมาบูรณะในประเทศ และส่งออกไปต่างประเทศภายใน 2 ปี จะได้รับสิทธิคืนภาษีสรรพสามิตเต็มจำนวน (เป็นการสนับสนุนฝีมือช่างไทยสู่ระดับสากล)
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมรถยนต์โบราณเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างยั่งยืน โดยการปรับปรุงมาตรการให้สามารถนำรถยนต์โบราณเข้ามาในราชอาณาจักรได้ แต่เนื่องจากยังไม่มีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้ารถยนต์โบราณไว้อย่างชัดเจน จึงเห็นสมควรกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตเพื่อรองรับมาตรการ
เปิดรับฟังความเห็น เล็งแก้กฎหมายอนุญาตนำเข้ารถโบราณ
เว้นภาษีนำเข้ารถโบราณ หนุนซอฟท์เพาเวอร์ไทย
.......................................................................................................................
กระทรวงพลังงาน เผยการใช้น้ำมัน 7 เดือน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1
สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เผยภาพรวมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 อยู่ที่ 156.90 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยที่น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 การใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 และกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ขณะที่การใช้ LPG ลดลงร้อยละ 3.9 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วลดลงร้อยละ 2.0 และ NGV ลดลงร้อยละ 15.8
รายละเอียดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดในเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้
การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซิน เฉลี่ยอยู่ที่ 32.01 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 โดยน้ำมันแกสโซฮอล 95 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.44 ล้านลิตร/วัน เนื่องจากส่วนต่างราคาระหว่างแกสโซฮอล 95 กับแกสโซฮอล 91 ลดลงมาอยู่ที่ 0.37 บาท/ลิตร (ราคาเฉลี่ยเดือนมกราคม-กรกฎาคม 2568) โดยในช่วงเดียวกันของปีก่อนส่วนต่างราคาระหว่างแกสโซฮอล 95 กับแกสโซฮอล 91 อยู่ที่ 1.10 บาท/ลิตร จึงทำให้ผู้บริโภคเลือกใช้แกสโซฮอล 95 สูงขึ้นจากปีก่อน ขณะที่การใช้แกสโซฮอล 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.65 ล้านลิตร/วัน แกสโซฮอล อี 20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.14 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.39 ล้านลิตร/วัน และแกสโซฮอล อี 85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน พบว่าการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณของการชะลอตัวลงโดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วนร้อยละ 6.7 ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่มีการขยายตัวของผู้โดยสารอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 2.6 เทียบกับปีก่อน
การใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เฉลี่ยอยู่ที่ 66.69 ล้านลิตร/วัน ลดลงร้อยละ 2.0 ประกอบด้วยดีเซลหมุนเร็วธรรมดา ลดลงมาอยู่ที่ 66.67 ล้านลิตร/วัน สอดคล้องกับดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) เฉลี่ยเดือนมกราคม-กรกฎาคม ที่หดตัวลงร้อยละ 1.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับการขยายตัวของ GDP ไตรมาส 2/2568 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2 ในไตรมาส 1/2568 โดยเฉพาะการชะลอตัวจากกลุ่มบริการที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ตามจำนวน และรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หดตัวลง รวมถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า การส่งออกสินค้า และการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงหลังจากเร่งไปในช่วงก่อนหน้า สำหรับดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ลดลงมาอยู่ที่ 0.02 ล้านลิตร/วัน ขณะที่ดีเซลพื้นฐาน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.10 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ ภาพรวมปริมาณการใช้น้ำมันกลุ่มดีเซล อยู่ที่ 68.79 ล้านลิตร/วัน
การใช้น้ำมันอากาศยานเชิงพาณิชย์ (Jet A1) เฉลี่ยอยู่ที่ 17.40 ล้านลิตร/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.8 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยจำนวนผู้เยี่ยมเยือนทั้งคนไทย และต่างชาติขยายตัวร้อยละ 0.95 รวมไปถึงการขยายตัวของบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ ในขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยสะสม 7 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวน 19.29 ล้านคน ลดลงร้อยละ 6.4 ซึ่งเป็นการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (โดยเฉพาะจีน) ที่ลดลงร้อยละ 25.66 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากปัจจัยด้านความเชื่อมั่น และเศรษฐกิจภายในประเทศจากนโยบายการค้าโลก
การใช้ LPG เฉลี่ยอยู่ที่ 17.97 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 3.9 ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ภาคปิโตรเคมี ที่ลดลงมาอยู่ที่ 7.76 ล้าน กก./วัน และภาคขนส่งลดลงมาอยู่ที่ 2.28 ล้าน กก./วัน ขณะที่การใช้ในภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.87 ล้าน กก./วัน และภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.06 ล้าน กก./วัน
การใช้ NGV เฉลี่ยอยู่ที่ 2.41 ล้าน กก./วัน ลดลงร้อยละ 15.8 โดยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับจำนวนรถจดทะเบียน NGV สะสมที่ลดลง และจำนวนสถานีบริการ NGV ที่มีแนวโน้มปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ปตท. ยังคงช่วยเหลือผ่านโครงการบัตรสิทธิประโยชน์ ให้แก่กลุ่มรถแทกซี และรถโดยสารสาธารณะ และได้ประกาศปรับลดราคา NGV สำหรับรถทั่วไปลง 0.28 บาท/กก. ส่งผลให้ราคาอยู่ที่17.08 บาท/กก. โดยมีผลระหว่างวันที่ 16 สิงหาคม-15 กันยายน 2568 และจะมีการพิจารณาทุกๆ เดือน เพื่อสะท้อนกลไกต้นทุนที่แท้จริง
การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยอยู่ที่ 1,024,145 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 1.2 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้ารวม 78,208 ล้านบาท/เดือน โดยเป็นการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 989,623 บาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบอยู่ที่ 76,246 ล้านบาท/เดือน สำหรับการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันเบนซินพื้นฐาน น้ำมันดีเซลพื้นฐาน น้ำมันอากาศยาน และ LPG) อยู่ที่ 34,522 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 46.8 คิดเป็นมูลค่าการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอยู่ที่ 1,963 ล้านบาท/เดือน
การส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป เฉลี่ยอยู่ที่ 139,225 บาร์เรล/วัน ลดลงร้อยละ 17.7 เป็นการส่งออกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันอากาศยาน และ LPG คิดเป็นมูลค่าส่งออกรวม 11,626 ล้านบาท/เดือน
.......................................................................................................................
Triumph Bonneville ครองใจไรเดอร์ทั่วโลก
รู้หรือไม่ ? ว่ารถจักรยานยนต์ตระกูล “Bonneville” (บอนเนวิลล์) ของ Triumph Motorcycles มีต้นกำเนิดในปี 1959 จากการเปิดตัวรถจักรยานยนต์ Bonneville T120 (บอนเนวิลล์ ที 120) ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาด 650 ซีซี โดยชื่อของ Bonneville ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Bonneville Salt Flats ลานประลองความเร็วที่มีชื่อระดับตำนาน และทำให้ชื่อของ Bonneville ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของรถจักรยานยนต์สูบคู่สัญชาติอังกฤษที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล และอาจกล่าวได้ว่าเป็นชื่อที่โด่งดังที่สุดในวงการรถจักรยานยนต์ Modern Classic ของโลก
ดังนั้น รถจักรยานยนต์ Modern Classic ตระกูล Bonneville ของ Triumph (ทไรอัมฟ์) จึงสืบเชื้อสายโดยตรงมาจาก Bonneville รุ่นปี 1959 ซึ่งเป็นต้นแบบรถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษรุ่นดั้งเดิม และยังเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมย่อยเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์อีกหลายรุ่น โดยรูปลักษณ์แบบ Bonneville ที่ทุกคนจดจำได้ดีจะมีการเก็บรายละเอียดสุดงดงาม เป็นการสานต่อดีไซจ์นแบบดั้งเดิมที่โดดเด่นเหนือกาลเวลา รวมทั้งจุดเด่นเลื่องชื่ออีกด้าน คือ เครื่องยนต์สูบคู่อันเป็นเอกลักษณ์ มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ขนาด 900cc และเครื่องยนต์ 1,200cc ซึ่งทั้งคู่ได้รับการพัฒนามาพร้อมการปล่อยไอเสียน้อยลง รวมทั้งประหยัดน้ำมันอย่างดีเยี่ยม เมื่อผสานเข้ากับขีดความสามารถในการขับขี่อัดแน่นทั้งสเปค และเทคโนโลยีเพื่อผู้ขับขี่ขั้นสูงช่วยให้การขับขี่นั้นคล่องตัว และมีไดนามิคยิ่งขึ้น ทำให้รถจักรยานยนต์ Modern Classic ตระกูล Bonneville ของ Triumph จึงเป็นที่หมายปองของผู้ที่ชื่นชอบขับขี่รถจักรยานยนต์สไตล์ดังกล่าว
ปัจจุบันรถจักรยานยนต์ Modern Classic ตระกูล Bonneville เครื่องยนต์ 900cc ประกอบไปด้วย Speed Twin 900 (สปีด ทวิน 900) รุ่นใหม่ รถจักรยานยนต์สมรรถนะสุดเร้าใจ ที่มอบการบังคับรถที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ เสริมด้วยความสะดวกสบาย และสไตล์ที่ดูดียิ่งขึ้น ตามมาด้วย Bonneville T100 (บอนเนวิลล์ ที 100) วิวัฒนาการของต้นแบบรถจักรยานยนต์อย่างแท้จริง มาพร้อมแรงบิดมหาศาล และสมรรถนะสุดเร้าใจ ปิดท้ายด้วย Scrambler 900 (สแกรมบเลอร์ 900) ภาพลักษณ์สมบุกสมบันแบบออฟโรด ความอเนกประสงค์ และสไตล์ต้นแบบสุดเท่ พร้อมขีดความสามารถ และสมรรถนะเพื่อความสนุกบนถนนทุกประเภท
ในขณะที่กลุ่มรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์ 1,200cc แต่ละรุ่น ล้วนแล้วแต่มีคาแรคเตอร์ และสไตล์ในแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็น Bonneville T120 ต้นแบบรถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษอย่างแท้จริง สู่การวิวัฒนาการอย่างงดงาม ทั้งสมรรถนะ การบังคับรถ และเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาอย่างดีเยี่ยม ต่อด้วย Bonneville Bobber (บอนเนวิลล์ บอบเบอร์) รถจักรยานยนต์สไตล์ Bobber สายพันธุ์แท้ มาพร้อมนวัตกรรม และความเร้าใจในการขับขี่ มอบสมรรถนะ ขีดความสามารถ สเปค และสไตล์อันโดดเด่น ตามมาด้วย Bonneville Speedmaster (บอนเนวิลล์ สปีดมาสเตอร์) ต้นแบบรถจักรยานยนต์คัสตอมสัญชาติอังกฤษสไตล์ Laid-back มอบการขับขี่สไตล์ครูเซอร์ที่ให้คุณขับขี่ได้อย่างสะดวกสบาย และ Speed Twin 1200 RS (สปีด ทวิน 1200 อาร์เอส) รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จะพาผู้ขับขี่ไปสัมผัสประสบการณ์การผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสมรรถนะ และสไตล์ได้อย่างลงตัว ตลอดจน Scrambler 1200 (สแกรมบเลอร์ 1200) รถจักรยานยนต์ที่มีความโดดเด่นในทุกๆ ด้านมีสไตล์เฉพาะตัวตามแบบฉบับ Scrambler พร้อมขีดความสามารถที่เพียบพร้อมสำหรับการผจญภัยอันยอดเยี่ยมเหนือใคร
ล่าสุด Triumph มอบความพิเศษสำหรับรถจักรยานยนต์ Triumph Modern Classic ตระกูล Bonneville ด้วยการรังสรรค์กองทัพรถจักรยานยนต์คอลเลคชันพิเศษ Icon Editions ที่นำตราสัญลักษณ์หรือโลโกระดับตำนานของ Triumph ในปี 1907 กลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง หลังไม่ได้ปรากฏบนถังน้ำมันเชื้อเพลิงของรถจักรยานยนต์ Triumph อย่างเป็นทางการ มานานกว่า 100 ปี โดยมาเผยโฉมอยู่บน 6 รุ่น อาทิ Bonneville T100 Icon Edition, Scrambler 900 Icon Edition และ Scrambler 1200 X Icon Edition โดยแต่ละรุ่นเป็นการผสมผสานระหว่างสี Sapphire Black และสี Aluminium Silver ช่วยเติมเต็มความเป็นต้นแบบสไตล์ดั้งเดิมได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผสานการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันเพื่อให้มีพื้นผิวที่ไร้ที่ติ
นอกจากนี้ ทุกรุ่นยังมีการลงสีด้วยมือ และตราสัญลักษณ์ หรือโลโกสีทองของ Triumph สมัยยุค Edward รวมถึงกราฟิคพิเศษสำหรับรุ่น Icon บนถังน้ำมัน และแผงด้านข้าง การออกแบบอันโดดเด่นทั้งหมดนี้บ่งบอกถึงแก่นแท้ของความเป็นต้นแบบ ผสมผสานการสืบทอดความเป็นตำนานเข้ากับสมรรถนะ และสไตล์คลาสสิคร่วมสมัย รายละเอียดระดับพรีเมียม และคุณลักษณะที่ไม่เหมือนใคร เพื่อเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์รถจักรยานยนต์สัญชาติอังกฤษ
