ธุรกิจ
ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์
MINI แนะนำรุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด
MINI Millennium Auto แนะนำ MINI Black Edition E-Challenge (มีนี บแลค เอดิชัน อี-ชาลเลนจ์) จำนวนจำกัด พร้อมเปิดตัว NXT Gen Cup รายการ Junior Touring Car พร้อมสิทธิพิเศษ
สมปราชญ์ โบสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายขายและการตลาด บริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า รู้สึกภาคภูมิใจในการที่ได้ร่วมกันก่อตั้งทีมแข่ง Millennium Motorsport x Magik Proshop ส่งรถยนต์ MINI ลงสนามชิงชัยในรายการระดับประเทศ และเพื่อต่อยอดให้แก่แฟนๆ มอเตอร์สปอร์ท บริษัทฯ แนะนำ MINI รุ่นลิมิเทด MINI Black Edition E-Challenge ที่ผลิตขึ้นมาจำนวนจำกัดเพียงไม่กี่คัน มาพร้อมสิทธิพิเศษในการร่วมกิจกรรม MINI Challenge 2025 ที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิท จังหวัดบุรีรัมย์ โดยให้เจ้าของรถได้สัมผัสประสบการณ์แบบนักแข่งบนทแรคระดับสากล พร้อมคำแนะนำเทคนิคการขับ โดยนักแข่งมืออาชีพ
MINI Black Edition E-Challenge เวอร์ชันพิเศษเฉพาะ MINI Millennium Auto
MINI Black Edition E-Challenge ยนตรกรรมไฟฟ้าสุดชิค รุ่นพิเศษ ผลิตจำนวนจำกัด และมีจำหน่ายที่โชว์รูม MINI Millennium Auto เท่านั้น รูปลักษณ์สปอร์ทเข้มดูดุดัน ด้วยตัวถังสีดำ ตัดกับล้อ JCW Rallye Spoke ขนาด 18 นิ้ว สีทอง พร้อมสติคเกอร์ลายพิเศษ Black Edition สีเดียวกัน ขณะที่อัตราเร่งก็จี๊ดจ๊าดสะใจสไตล์รถยนต์ไฟฟ้า 100 % โดยมาพร้อมสิทธิพิเศษที่ผู้ครอบครองจะได้รับ คือ การเข้าร่วมกิจกรรม MINI Challenge ที่จะจัดขึ้นในอนาคต
MINI Challenge-ต้นฉบับแห่งความเร้าใจสไตล์ MINI สู่ยุคมอเตอร์สปอร์ทไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
MINI Challenge คือ รายการแข่งรถยนต์แบบ One-Make Race ที่ใช้รถรุ่นเดียวกันทั้งหมด เปิดโอกาสให้นักขับทั้งมืออาชีพ และสมัครเล่น ได้ลงสนามจริงอย่างเท่าเทียม เริ่มต้นครั้งแรกที่สหราชอาณาจักร ช่วงปี 2545 และได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก ด้วยเอกลักษณ์ของการแข่งที่สนุก เข้มข้น และสะท้อนจิตวิญญาณของแบรนด์ MINI ได้อย่างชัดเจน ขับสนุก คล่องตัว และเต็มไปด้วยพลังแห่งความท้าทาย (Challenge DNA)
ปีนี้ความเร้าใจของ MINI Challenge ก้าวสู่ยุคใหม่อีกขั้น เมื่อ Formula E ประกาศเปิดตัว NXT Gen Cup รายการ Junior Touring Car โดยใช้รถไฟฟ้า100 % เปิดโอกาสให้นักขับอายุ 15-25 ปี ลงแข่งขัน เพื่อเฟ้นหาดาวรุ่งดวงใหม่ในวงการมอเตอร์สปอร์ทโลก โดยฤดูกาลแรก วางแผนจัดหลายสนามทั่วยุโรป เช่น อิตาลี เยอรมนี และอังกฤษ ตอกย้ำพันธกิจของ Formula E และ MINI ในการขับเคลื่อนมอเตอร์สปอร์ทสู่อนาคตที่ยั่งยืน พร้อมสานต่อจิตวิญญาณแห่ง MINI Challenge สู่ยุคไฟฟ้าอย่างเต็มพลัง
...........................................................................................................................
BYD ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่
บริษัท บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ภายใต้กลุ่มธุรกิจเรเว่ ผู้จัดจำหน่าย และให้บริการหลังการขายรถยนต์พลังงานใหม่ BYD (บีวายดี) และ Denza (เดนซา) อย่างเป็นทางการในประเทศไทย มีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของไทย ทั้งการผลิต และการใช้งานภายในประเทศ ให้เติบโตไปอีกก้าว ซึ่งนำไปสู่การลดมลพิษจากท้องถนน และอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยภาครัฐมีมาตรการ EV 3.0 ซึ่งส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานใหม่ ผ่านการมอบเงินอุดหนุนจากกรมสรรพสามิตให้แก่ผู้ผลิต นำไปสู่การตั้งราคารถยนต์พลังงานใหม่ที่เป็นประโยชน์กับผู้บริโภค โดยรถยนต์ BYD ที่ได้รับการสนับสนุนภายใต้มาตรการ EV 3.0 มีจำนวน 2 รุ่น ได้แก่ BYD Dolphin (ดอลฟิน) และ BYD Atto 3 (อัตโต 3)
BYD ร่วมมาตรการ EV 3.0 ผลิตรถยนต์ชดเชยเพื่อการส่งออก
ตามมาตรการ EV 3.0 ในการผลิตรถยนต์ชดเชยเพื่อการส่งออกตามเกณฑ์กำหนด รวมไปถึงนโยบาย "30@30" ซึ่งตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้ 30 % ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2030 (พ.ศ. 2573) สำหรับศักยภาพของโรงงาน BYD ประเทศไทย มีกำลังการผลิตสูงสุด 150,000 คัน/ปี และผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ทั้งหมด 4 รุ่น ประกอบด้วย BYD Dolphin, BYD Atto 3, BYD Sealion 6 DM-i (ซีไลออน 6 ดีเอม-ไอ) และ BYD Seal 5 DM-i (ซีล 5 ดีเอม-ไอ) ทั้งยังเพิ่มอัตราการจ้างงานให้แก่แรงงานไทยคุณภาพ ด้วยอัตราจ้างงานทั้งหมด 6,100 ตำแหน่ง
ประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้นำวงการยานยนต์พลังงานใหม่ของไทย เรเว่มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานใหม่ในไทยต่อไป พร้อมดำเนินงานตามมาตรการของรัฐ ผ่านการมอบประสบการณ์การใช้งานเหนือระดับ และนวัตกรรมยานยนต์ชั้นนำในราคาที่เหมาะสม ซึ่งพิสูจน์แล้วจากยอดส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ในไทยครบ 100,000 คัน
“เรเว่ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยลดมลพิษบนท้องถนน ผ่านการร่วมส่งมอบยานยนต์พลังงานใหม่จาก BYD ให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยครบ 100,000 คัน ซึ่งช่วยลดมลพิษจากควันท่อไอเสีย นำไปสู่อากาศสะอาดที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”
สำหรับมาตรการ EV 3.0 ที่สิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 จะส่งผลให้ภาพรวมราคาจำหน่ายรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยกลับไปอยู่ในระดับปกติ หรือสูงกว่าในราคาปัจจุบัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการครอบครองรถยนต์พลังงานใหม่จาก BYD ที่ผู้บริโภคชาวไทยมากกว่า 100,000 ราย ให้การยอมรับในคุณภาพ และนวัตกรรมระดับชั้นนำของวงการ
โดยมาตรการ EV 3.0 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มีการสนับสนุนอยู่ที่คันละ 150,000 บาท สำหรับรถยนต์รุ่น BYD Dolphin และ BYD Atto 3 ซึ่งเมื่อหมดมาตรการดังกล่าว ทางเรเว่คาดการณ์ว่าราคารถยนต์ไฟฟ้าจะปรับขึ้น โดยสอดคล้องกับโครงสร้างราคาที่เปลี่ยนแปลงไป
.......................................................................................................
อีวี ไพรมัสฯ จัดตั้ง วู่หลิง ไทยแลนด์ฯ
บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ Wuling (วู่หลิง) แต่ผู้เดียวในประเทศไทย (Sole Distributor) ประกาศก้าวสำคัญในการยกระดับธุรกิจสู่มิติใหม่ ด้วยการดึงบริษัทแม่ และดีเลอร์รายใหญ่จากจีนเข้าร่วมลงทุนจัดตั้ง บริษัท วู่หลิง ไทยแลนด์ จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารงานขาย และการตลาด ตลอดจนบริการหลังการขายแบบครบวงจรของแบรนด์ Wuling ในไทย รองรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของไทยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
พิทยา ธนาดำรงศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีวี ไพรมัส จำกัด เปิดเผยว่า การจัดตั้งบริษัท วู่หลิง ไทยแลนด์ จำกัด ถือเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของเราในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งของแบรนด์ Wuling ในไทย หลังจากที่เราได้เริ่มต้นทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า Wuling ทั้ง 2 รุ่น คือ Air EV (แอร์ อีวี) และ Binguo EV (ปินกั่ว อีวี) ในไทย ตั้งแต่ปี 2566 และได้เริ่มการประกอบ Binguo EV ในไทย ณ โรงงานแหลมฉบัง ในปี 2567 นั้น แบรนด์ Wuling ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคชาวไทยเป็นอย่างดี ด้วยลักษณะรถที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์ มีคุณภาพ ในราคาที่เข้าถึงง่าย และการขับขี่ที่ลงตัว
“การร่วมทุนกับบริษัทแม่ และดีเลอร์รายใหญ่จากจีนในครั้งนี้ จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในทุกๆ ด้าน เป็นการยกระดับแบรนด์ Wuling ในไทย เพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าชาวไทยทุกคน"
ชู 3 นโยบายหลัก มุ่งสู่มาตรฐานสากล และการบริการระดับพรีเมียม
บริษัท วู่หลิง ไทยแลนด์ จำกัด ได้กำหนดนโยบายหลัก 3 ด้าน เพื่อยกระดับการให้บริการ และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าชาวไทย ประกอบด้วย
1. จัดตั้งคลังอะไหล่ขนาดใหญ่เพื่อรองรับการบริการหลังการขาย
บริษัทฯ จะจัดตั้งคลังอะไหล่ขนาดใหญ่ที่เทพารักษ์ เพื่อเพิ่มความพร้อมด้านบริการหลังการขาย โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 คลังอะไหล่แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายอะไหล่หลักของประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าศูนย์บริการ และดีเลอร์ทั่วประเทศจะมีอะไหล่พร้อมให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดระยะเวลาในการรออะไหล่ และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
2. เพิ่มผลิตภัณฑ์พวงมาลัยขวาอีก 4 รุ่น เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 1-2 ปี 2569
เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดไทยที่หลากหลาย บริษัทฯ จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวารุ่นใหม่อีก 4 รุ่น ภายในไตรมาสที่ 1 และ 2 ของปี 2569 โดยรถทุกรุ่นจะถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน ตั้งแต่รถเพื่อการเดินทางในเมือง ไปจนถึงรถเพื่อการใช้งานเชิงพาณิชย์ ย้ำเน้นจุดยืนของ Wuling ในฐานะแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่มีเอกลักษณ์ และแตกต่างจากรถรุ่นอื่นในตลาด ด้วยดีไซจ์นที่โดดเด่น เทคโนโลยีที่ทันสมัย และราคาที่คุ้มค่า
3. ปรับมาตรฐานโชว์รูม และศูนย์บริการ พร้อมขยายดีเลอร์ครบ 40 แห่ง ภายในปี 2569
บริษัทฯ จะยกระดับมาตรฐานของโชว์รูม และศูนย์บริการทั้งหมด ทั้งในด้านการขาย และการบริการหลังการขาย เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า พร้อมกันนี้ จะเพิ่มจำนวนดีเลอร์ให้ครบ 40 แห่งทั่วประเทศ ภายในปี 2569 เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้สะดวกมากขึ้น
“การจัดตั้ง Wuling Thailand ในครั้งนี้ เป็นเสมือนการอัพเกรดการทำตลาดที่ อีวี ไพรมัสฯ ดำเนินการมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมาให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น การได้ผู้ผลิตเข้ามาเสริมนั้นจะทำให้เราทำตลาดได้อย่างเต็มที่มากขึ้น พร้อมการสนับสนุนในด้านต่างๆ ที่ล้วนแต่จะทำให้การตลาดของแบรนด์ Wuling ในไทยนั้น เติบโตได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน สร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้รถยนต์ Wuling ณ ปัจจุบัน กว่า 2,000 คันในไทย และลูกค้าในอนาคต รวมถึงผู้จำหน่ายทั่วประเทศที่กำลังเพิ่มการลงทุนให้สามารถดำเนินงานขาย และบริการลูกค้าได้อย่างทั่วถึงอีกด้วย”
...........................................................................................................................
เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย)ฯ สนับสนุนสถานีชาร์จ ATTRIC
บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำระดับโลกด้านการจัดการพลังงาน และผู้ให้บริการโซลูชันสีเขียวอัจฉริยะ ส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขั้นสูงให้แก่สถาบันยานยนต์ (TAI) ในพิธีเปิดศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) อย่างเป็นทางการ เพื่อสนับสนุนความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการขับเคลื่อนนวัตกรรมด้านยานยนต์ และการคมนาคมที่ยั่งยืน
วิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศูนย์ทดสอบ ATTRIC เป็นรากฐานสำคัญของอนาคตอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย การติดตั้งเครื่องชาร์จความเร็วสูง UFC 200 และเครื่องชาร์จอัจฉริยะ AC MAX ของ Delta ในศูนย์ที่มีมาตรฐานระดับโลกแห่งนี้ จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่ายานยนต์ทุกคันที่ผ่านการทดสอบจะเป็นไปตามมาตรฐานระดับสากล ทั้งด้านสมรรถนะ และความปลอดภัย ความร่วมมือในครั้งนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงพันธกิจร่วมกันของ 2 องค์กรในการขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเปลี่ยนผ่านสู่การคมนาคมที่สะอาด และยั่งยืน
อนุสรณ์ เนื่องผลมาก ประธานกรรมการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า สถาบันยานยนต์ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับมอบสถานีประจุไฟฟ้าความเร็วสูง ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักในระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าด้านการทดสอบของศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการทดสอบรถยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐานสากล แต่ยังช่วยผู้ประกอบการไทย และต่างชาติ ให้สามารถเข้าถึงการทดสอบในประเทศ ลดเวลา และค่าใช้จ่ายในการส่งไปทดสอบต่างประเทศ รวมถึงยังเป็นการสนับสนุนงานวิจัย และนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด เพื่อเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสู่อนาคตที่สะอาด ปลอดภัย และยั่งยืน สถาบันยานยนต์รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ผนึกกำลังร่วมกับ บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในเส้นทางการพัฒนานวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้า และนวัตกรรมยานยนต์ของภูมิภาค ซึ่งสถาบันยานยนต์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาร่วมกันในมิติอื่นๆ ต่อไป
การส่งมอบในครั้งนี้ประกอบด้วย UFC 200 Ultra-Fast DC Charger จำนวน 1 เครื่อง ที่มีกำลังไฟสูงถึง 200 กิโลวัตต์ พร้อมระบบโหลดแบบไดนามิค รองรับการชาร์จรถยนต์หลายคันพร้อมกัน ด้วยแรงดันไฟฟ้าที่สูงสุดถึง 920 โวลท์ และระบบการยืนยันตัวตนที่ปลอดภัย ผ่านระบบต่างๆ เช่น ระบบ RFID และบัตรเครดิท ทำให้เทคโนโลยีนี้เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับสภาพแวดล้อมการทดสอบที่ต้องการมาตรฐานสูง นอกจากนี้ Delta ยังได้ส่งมอบเครื่องชาร์จ AC MAX Charger จำนวน 2 เครื่อง โดยแต่ละเครื่องให้กำลังไฟฟ้า 22 กิโลวัตต์ พร้อมระบบด้านการเชื่อมต่อขั้นสูง และมาตรฐานความปลอดภัยชั้นนำในอุตสาหกรรม เพื่อรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันที่มีความน่าเชื่อถือ และยืดหยุ่นสูง ระบบเหล่านี้ช่วยเสริมศักยภาพให้ศูนย์ ATTRIC สามารถชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างครบวงจร โดยสามารถรองรับการชาร์จพร้อมกันได้สูงสุดถึง 4 คัน ภายใต้สภาพการใช้งานจริง
ศูนย์ทดสอบ ATTRIC ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1,235 ไร่ ในตำบลลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของประเทศไทย ศูนย์แห่งนี้เป็นสนามทดสอบมาตรฐานรถยนต์แบบครบวงจรสำหรับประเมินความปลอดภัย สมรรถนะ และประสิทธิภาพการขับขี่ของยานยนต์ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่หลากหลาย โดยมีระบบชาร์จไฟฟ้าของ Delta ที่ผสานเข้ากับการดำเนินงานของ ATTRIC อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ทั้งผู้ผลิต หน่วยงานกำกับดูแล และนักวิชาการ สามารถเข้าถึงระบบนิเวศการทดสอบยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรที่สามารถประเมินยานยนต์ไฟฟ้าได้ในสภาพการชาร์จจริง ควบคู่ไปกับการทดสอบยานยนต์แบบดั้งเดิม
ความร่วมมือขอ Delta กับสถาบันยานยนต์ครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความไว้วางใจ และบทบาทความเป็นผู้นำของ Delta ในอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน โดยในปี 2567 Delta ได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นจากนายกรัฐมนตรี อันเป็นการยกย่องบทบาทอันโดดเด่นของบริษัทในการมีส่วนร่วมต่อการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้ ในปี 2560 และ 2561 Delta ยังมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการทดสอบยานยนต์ของไทย ด้วยการมอบอุปกรณ์ให้แก่ห้องปฏิบัติการกล้วยน้ำไท (Kluaynamthai Laboratory) และสำนักงานทดสอบยานยนต์ (Automotive Testing Office) ความสำเร็จเหล่านี้ช่วยตอกย้ำบทบาทของ Delta ในฐานะพันธมิตรที่มุ่งมั่นผลักดันนวัตกรรมยานยนต์ และอนาคตพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศไทย
ความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เพียงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมกันในด้านความยั่งยืน ทั้งนี้ การผสานศักยภาพของศูนย์ทดสอบ ATTRIC ที่ล้ำสมัยเข้ากับความเชี่ยวชาญของ Delta ด้านเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า จะช่วยผลักดันการหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ทั้งยังเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะผู้นำด้านการขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดในภูมิภาค และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
...........................................................................................................................
Honda แนะนำ Super Cub และ FUJISAN Limited Edition
ไทยฮอนด้าฯ จัดงานสุดพิเศษ “Super Cub THE ORIGINAL CLUB MEETING” รวมพลคนรักความคลาสสิค เฉลิมฉลองตำนานออริจินัลที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 60 ปี พร้อมแนะนำ All New Honda Super Cub (ฮอนดา ซูเพอร์ คับ) ใหม่ และรุ่นพิเศษ All New Super Cub FUJISAN Limited Edition (ซูเพอร์ คับ ฟูจิซัง ลิมิเทด เอดิชัน) ใหม่ ดีไซจ์นเรทโรมีนีมอลสะท้อนความเป็นญี่ปุ่น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันเท่านั้น
All New Honda Super Cub
All New Honda Super Cub มาพร้อมคอนเซพท์ "Find Your Original ถึงเวลาออริจินัล" ยังคงเอกลักษณ์ความเรทโรสุดคลาสสิคที่สะท้อนตัวตนผู้ขับขี่ไว้ครบถ้วน พร้อมเสริมความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ ระบบ Combined Brake System (CBS) ที่ช่วยกระจายแรงเบรคหน้า และหลังอย่างสมดุล พร้อมดิสค์เบรคหน้า ช่วยให้เบรคได้แม่นยำขึ้น มอบความมั่นใจในทุกจังหวะการขับขี่ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ Honda Smart Engine 110 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ที่ให้ทั้งความประหยัด สมรรถนะ และความทนทานเหนือชั้น อีกทั้งโดดเด่นด้วยไฟหน้า LED และกระจกทรงกลมดีไซจ์นคลาสสิค สำหรับ All New Honda Super Cub มาพร้อม 2 สีทูโทนใหม่ สะท้อนเสน่ห์เรทโรอย่างลงตัว เลือกเผยความเป็นตัวตนได้ตามต้องการ โดยพร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันนี้ ทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีฟ้า-ขาว (SBW), สีเหลือง-ขาว (Y-W), สีเขียว (GRN) และสีเทา-ขาว (G-W) ในราคาแนะนำ 50,600 บาท
All New Super Cub FUJISAN Limited Edition
ออกแบบมาเพื่อคนรักอิสระ และหลงใหลการเดินทาง ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากบรรยากาศเส้นทางท่องเที่ยวของภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาว ผ่านดีไซจ์นเรทโรมีนีมอลสะท้อนความเป็นญี่ปุ่น ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 คันทั่วประเทศ
รุ่นพิเศษนี้มาพร้อมชุดแต่งเฉพาะที่สร้างเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ทั้งบังลมหน้าสีฟ้าใส Blue Wind Shield ดีไซจ์นมีนีมอลเข้ากับตัวรถ เพิ่มมิติความเท่สไตล์ญี่ปุ่น และช่วยลดแรงลมปะทะ รวมถึงสติคเกอร์ลายกราฟิคภูเขาไฟฟูจิ และพระอาทิตย์ Fuji San Body Sticker โทนสีฟ้า-ขาวตัดแดง สะท้อนความเป็น Japanese Retro มาพร้อมกับลาย และตะแกรงเหล็กหน้า Blue Body Protector & Front Carrier สีน้ำเงินเข้าชุด เพิ่มความสะดวก และเสริมลุคคลาสสิค อีกทั้งของพิเศษที่ออกแบบมาเข้าธีมเดียวกัน คือ เสื้อแจคเกท Fuji San Jacket และหมวกกันนอคทรงคลาสสิค Fuji San Classic Helmet ที่ได้แรงบันดาลใจจากวิวภูเขาไฟฟูจิในฤดูหนาว มอบความโดดเด่นในทุกเส้นทาง ในราคาแนะนำ 54,000 บาท
ภายในงาน "Super Cub THE ORIGINAL CLUB MEETING" เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเรทโรสุดคลาสสิคในแบบฉบับ Super Cub โดยมีรถ Super Cub กว่า 200 คันจากทั่วประเทศ มาร่วมอวดโฉมในลานรวมรถสุดยิ่งใหญ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สะท้อนพลังแห่งคอมมูนิทีคนรักความออริจินัลที่มาร่วมเฉลิมฉลองความคลาสสิคไปด้วยกัน ผู้เข้าร่วมได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมที่จัดเต็มในสไตล์ Super Cub ไม่ว่าจะเป็นโซนอาหาร และเครื่องดื่มสุดชิคให้ชิลล์กันฟรี กิจกรรม DIY สุดคูล การประกวดรถแต่งสวยจำกัดผู้เข้าประกวด 30 คัน การประกวดแต่งตัวออริจินัลสไตล์ รวมถึงการแสดงดนตรีสด และดีเจที่เพิ่มสีสันแห่งความสนุก พร้อมพบปะเหล่าอินฟลูเอนเซอร์สายคลาสสิค ที่มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่แฟน Super Cub ได้อบอุ่น และประทับใจตลอดงาน
นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมพิเศษที่สะท้อนจิตวิญญาณของ Super Cub ผ่านโซนคอมมูนิทีซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ขับขี่ได้พบปะ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความประทับใจ พร้อมร่วมสนุกกับการแจกของรางวัล และเซอร์พไรส์มากมาย โดยไทยฮอนด้าฯ ยังมอบของที่ระลึกสุดเอกซ์คลูซีฟ “Super Cub Original Club Bandana Limited Edition” ให้แก่ลูกค้า Super Cub ทุกรุ่นที่ลงทะเบียน และขี่รถมาร่วมงาน 100 ท่านแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวของคอมมูนิทีคนรักความออริจินัล งานนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญของไทยฮอนด้าฯ ในการตอกย้ำความสำเร็จของ Super Cub รถจักรยานยนต์ออริจินัลที่อยู่ในใจคนไทยมายาวนาน พร้อมส่งต่อดีไซจ์นคลาสสิคเหนือกาลเวลา ควบคู่กับเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์การขับขี่ในทุกยุค
...........................................................................................................................
อัพเดท 2025 “ทางหลวง” ในประเทศไทย มีกี่ประเภท ?
ทางหลวงพิเศษ หรือมอเตอร์เวย์
เป็นทางหลวงที่ทำไว้เพื่อให้การจราจรผ่านได้ตลอดอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ โดยกรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ขยาย บูรณะ และบำรุงรักษา รวมทั้งควบคุมจุดเข้า-ออกของรถยนต์ และจัดเก็บค่าผ่านทาง เช่น มอเตอร์เวย์ สาย 7 (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) สาย 9 บางปะอิน-บางพลี (วงแหวนรอบนอกด้านตะวันออก) หรือ M81 มอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-กาญจนบุรี
ทางหลวงแผ่นดิน
เป็นทางหลวงสายหลักเชื่อมระหว่างภาค จังหวัด อำเภอ รวมถึงสถานที่สำคัญ ที่กรมทางหลวงเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง ขยาย บูรณะ และบำรุงรักษา โดยทางหลวงแผ่นดินจะมีตัวเลขบอกเส้นทาง และตัวเลขของทางหลวงมีตั้งแต่ 1-4 หลัก จะเป็นการบอกประเภทของทางหลวงแผ่นดิน
ทางหลวงที่มีหมายเลขตัวเดียว
หมายถึง ทางหลวงหลักที่เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ ไปยังภูมิภาคหลักของประเทศไทย มีทั้งหมด 4 สาย ได้แก่
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน)
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 (ถนนสุขุมวิท)
- ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม)
ทางหลวงที่มีหมายเลข 2 ตัว
หมายถึง ทางหลวงแผ่นดินสายประธานตามภาคต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลขตัวเดียวผ่านออกไปสู่พื้นที่สำคัญในแต่ละจังหวัด
ทางหลวงที่มีหมายเลข 3 ตัว
หมายถึง ทางหลวงแผ่นดินสายรองประธาน ที่เชื่อมต่อกับทางหลวงหมายเลขตัวเดียว หรือ 2 ตัว เข้าสู่สถานที่สําคัญของจังหวัด หรืออาจจะไม่ผ่านพื้นที่สําคัญ
ทางหลวงที่มีหมายเลข 4 ตัว
หมายถึง ทางหลวงแผ่นดินที่เชื่อมระหว่างจังหวัดกับอําเภอ หรือสถานที่สําคัญของจังหวัดนั้น ในลักษณะการกระจายพื้นที่ให้บริการทางหลวงออกสู่พื้นที่ย่อยในแต่ละอำเภอ
ทางหลวงชนบท
ตัวอักษรย่อ บอกถึงจังหวัดที่ตั้งของสายทางนั้นๆ เช่น นบ. หมายถึง ทางหลวงชนบทที่อยู่ในเขตจังหวัดนนทบุรี หรือ ชบ. หมายถึง ทางหลวงชนบทที่อยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี เป็นต้น
ส่วนหมายเลข โดยหมายเลขตัวแรกจะบอกถึงลักษณะของการเชื่องโยงของสายทางว่าจุดเริ่มต้นสายทางเป็นอย่างไร มีทั้งหมด 6 หมายเลขขึ้นต้น แต่ละหมายเลขมีความหมายดังนี้
- เลข 1 หมายถึง เริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินที่มีหมายเลขตัวเดียว
- เลข 2 หมายถึง เริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินที่มีหมายเลข 2 ตัว
- เลข 3 หมายถึง เริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินที่มีหมายเลข 3 ตัว
- เลข 4 หมายถึง เริ่มต้นจากทางหลวงแผ่นดินที่มีหมายเลข 4 ตัว
- เลข 5 หมายถึง เริ่มต้นจากทางหลวงชนบท หรือทางหลวงท้องถิ่น
- เลข 6 หมายถึง เริ่มต้นจากสถานที่ เช่น โรงเรียน วัด บ้าน ตําบล อําเภอ

ทางหลวงท้องถิ่น
เป็นทางหลวงที่อยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีการเชื่อมต่อกันระหว่างหมู่บ้าน ตำบล หรือเทศบาล สำหรับรหัสสายทางของป้ายทางหลวงท้องถิ่นจะประกอบด้วย ตัวอักษร 3 ตัว แล้วตามด้วยตัวเลข 5 หลัก เช่น สข.ถ 33-002 โดยความหมายของตัวอักษร และตัวเลขที่ปรากฏบนป้ายทางหลวงท้องถิ่น คือ
ตัวอักษร 2 ตัวแรก เป็นชื่อย่อของจังหวัด
ตัวอักษรตัวที่ 3 จะเป็นตัว ถ ทุกทางหลวงท้องถิ่น เพราะหมายถึงถนนทางหลวงท้องถิ่น อย่าง สข.ถ ในส่วนเลขที่ปรากฏบนป้ายระบุทางหลวงท้องถิ่นแบ่งเป็น 2 ส่วน หมายเลขส่วนแรกที่มี 1, 2 หรือ 3 ตัว เป็นลำดับองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นภายในจังหวัด ส่วนตัวเลขส่วนหลังเป็นสำดับของสายทาง หรือถนนที่ลงทะเบียนในเขตองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นนั้น
ทางหลวงสัมปทาน
เป็นทางหลวงที่กรมทางหลวงได้ให้เอกชนสัมปทาน ทางหลวงสัมปทานจะมีระบบตัวเลขเหมือนกับทางหลวงแผ่นดิน หรือทางหลวงพิเศษ ขึ้นอยู่กับลักษณะของทางหลวงสัมปทานนั้นว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เช่น ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) เฉพาะช่วงทางยกระดับดินแดง-ดอนเมือง ถนนวิภาวดีรังสิต




























