Motorcycle
“ก้อง-สมเกียรติ” เตรียมพร้อมความท้าทายใหม่ สู่ “World Superbike”

“ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เติบโตภายใต้โครงการ “Race to the Dream” ของ “ไทยฮอนด้าฯ” ที่ประกาศชัดเจนแน่วแน่ในปี 2018 ว่าจะพานักบิดไทยก้าวสู่การแข่งขัน MotoGP ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของโลกสำหรับการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบในปี 2025
สร้างผลงานอย่างโดดเด่นในเวที “Road to MotoGP” ของ “Dorna Sport” ที่เฟ้นหาเพชรเม็ดงามจากเอเชียเพื่อก้าวเข้าสู่การแข่งขัน World Grang Prix อย่าง “Asia Talent Cup” และสามารถคว้าแชมพ์ประจำปีได้ในปี 2016 ก่อนจะได้รับการพโรโมทขึ้นสู่การแข่งขันดาวรุ่งชิงแชมพ์โลกอย่าง CEV Moto3 Junior World Championship ในปี 2017-2018 ซึ่งเป็น 2 ปีล้ำค่าให้เจ้าตัวได้บ่มเพาะฝีมืออย่างเต็มที่
ปีนั้นเอง “ก้อง-สมเกียรติ” ได้รับโอกาสทองให้ได้พิสูจน์ฝีมือใน “World Grand Prix” ครั้งแรกของชีวิต ซึ่งมีขึ้นในเมืองไทย และเป็นการแข่งขัน MotoGP ครั้งแรกในผืนแผ่นดินไทย ในปี 2018 ด้วยสิทธิ์ไวด์การ์ดในรุ่น Moto3 World Championship พร้อมผลงานคว้าอันดับ 9 ใน Moto3 ครั้งนั้นต่อหน้าแฟนความเร็วในบ้านเกิด และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของเขาในเส้นทางอาชีพ “นักบิด World Grand Prix” อย่างแท้จริง
ปี 2019 “ก้อง-สมเกียรติ” ได้รับการยืนยันจาก Idemitsu Honda Asia Team ก้าวกระโดดขึ้นสู่การแข่งขันในรุ่น Moto2 World Championship
นับจากนั้น... นักบิดขวัญใจชาวไทยมุ่งมั่นฝึกซ้อมอย่างหนัก และยกระดับผลงานของตัวเองขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปลดลอคคว้าชัยชนะครั้งแรกของชีวิตได้สำเร็จ ในศึก Indonesian Grand Prix 2022 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแข่งรถชาวไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะใน “World Gran Prix”
ในปีนั้น นักบิดชาวไทยระเบิดฟอร์มสุดยอดจนได้รับการจับตามองจากทั่วโลก เขาคว้าโพเดียมมาได้ถึง 4 ครั้ง จากการคว้าชัยชนะที่ อินโดนีเซีย, อันดับ 2 ที่ เทอร์มา เดอ ริโอ ฮอนโด ประเทศ อาร์เจนตินา, อันดับ 3 ที่ Le Mans ประเทศฝรั่งเศส และอันดับ 2 ที่ เรดบูล ริง ประเทศออสเตรีย ก่อนจะจบฤดูกาลด้วยอันดับ 10 บนตารางแชมเพียนชิพ เก็บไปทั้งสิ้น 128 คะแนน
“ก้อง-สมเกียรติ” ยกระดับขึ้นในปี 2023 ด้วยการรั้งอันดับ 6 ของโลกเมื่อจบฤดูกาล เก็บมาได้ทั้งสิ้น 173.5 คะแนน ผลงานโดดเด่นที่สุด คือ การคว้าชัยชนะแบบ “Perfect Weekend” ในศึก Japanese Grand Prix ด้วยการรั้งอันดับ 1 ทุกช่วงที่ลงสนาม, คว้า Pole Position, นำทุกรอบของการแข่งขัน, เข้าเส้นชัยเป็นคันแรก และสร้างสถิติเวลาต่อรอบเร็วที่สุดตลอดกาลในรุ่น Moto2 จากรอบควอลิฟายค์ รวมถึงครองสถิติเวลาต่อรอบเร็วที่สุดในการแข่งขันที่ โมบิลิที รีสอร์ท โมเตกิ ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย
ผลงานดังกล่าวสร้างแรงบันดาลใจมากมายให้แก่นักแข่งระดับเยาวชน ผู้ปกครองหลายคนวางเส้นทางให้บุตรหลานมุ่งมั่นสู่การแข่งขันระดับอาชีพ และที่สำคัญทุกครั้งที่มีการแข่งขัน MotoGp ในเมืองไทย ก็สร้างปรากฏการณ์สนามแตก จากความนิยมที่มีต่อตัวเขาเช่นกัน ซึ่งในปี 2023 “ก้อง-สมเกียรติ” บันทึกประวัติศาสตร์อีกครั้ง ด้วยการเป็นนักบิดไทยคนแรก ที่ขึ้นโพเดียมระดับ World Grand Prix ในบ้านเกิด
ในปี 2024 “ก้อง-สมเกียรติ” ได้รับการจับตาอย่างมากในฐานะดาวรุ่งที่โดดเด่น เขาปรับสไตล์การบิดให้มีความคงที่มากขึ้น และการทำงานร่วมกับทีมอย่างเข้มข้นในแง่การเวทอัพรถแข่ง
“ก้อง-สมเกียรติ” จารึกประวัติศาสตร์ให้แก่วงการมอเตอร์สปอร์ทไทยอีกครั้ง ด้วยการเป็นนักบิดไทยคนแรกที่ขยับขึ้นสู่การแข่งขัน MotoGP ฤดูกาล 2025 ร่วมกับสังกัด Idemitsu Honda LCR ในรุ่น “Premiere Class” ซึ่งเป็นคลาสส์สูงสุดของโลก
เส้นทางสุดท้าทายนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะนี่คือ “MotoGP” เวทีที่หินที่สุดของโลก การแข่งขันที่รวมนักบิดที่เก่งที่สุดของโลกเอาไว้ 22 คน
“ก้อง-สมเกียรติ” ต้องลงแข่งในสนามเดียวกันกับสุดยอดแชมพ์โลกอย่าง มาร์ค มาร์เกซ, ฟรานเชสโก บันยาญา, ฮอร์เก มาร์ติน, โจอัน เมียร์ และอีกหลายคนที่ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือของโลกทั้งนั้น ซึ่งตลอด 5 สนามแรกใน MotoGP “ก้อง-สมเกียรติ” โดนอาการบาดเจ็บประจำตัวนักบิดอย่าง “Arm Pump” รบกวน ก่อนจะต้องเข้ารับผ่าตัดเพื่อรักษาให้หายขาด
ในที่สุดแต้มแรกที่รอคอยก็มาถึง “ก้อง-สมเกียรติ” ยกระดับผลงานขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะบิดเข้าป้ายอันดับ 15 ในศึก Dutch Grand Prix คว้าแต้มแรกในประวัติศาสตร์ให้แก่ชาวไทยได้สำเร็จ
ทว่านักบิดไทยกลับโชคร้ายอีกครั้ง ได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่เอ็นเข่าขวา จากการทุ่มเทซ้อมหนัก พลาดล้มขณะฝึกซ้อมรถแข่ง Motocross ส่งผลให้ไม่สามารถลงแข่งได้ถึง 4 สนามติดต่อกัน
อย่างไรก็ดี เมื่อกลับหายกลับสู่สนามได้อีกครั้งช่วง 8 สนามสุดท้าย “ก้อง-สมเกียรติ” ยกระดับผลงานของตัวเองได้ทีละขั้น ทำเวลาต่อรอบขยับเข้าหากลุ่มได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน
ก่อนจะกลับคว้าแต้มได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้าอันดับ 15 ที่ มิซาโน เวิร์ลด์ เซอร์กิท มาร์โก ซิมอนเชลลี, ต่อด้วยอันดับ 15 ในประเทศญี่ปุ่น และอันดับ 13 ที่ อินโดนีเซีย จากนั้นก็มาคว้าอันดับ 15 ให้ตัวเองที่มาเลเซีย
จบฤดูกาลแรกในฐานะ Rookie “ก้อง-สมเกียรติ” ฝากผลงานด้วยการคว้า 7 แต้มมาฝากชาวไทย นี่คือแต้มแห่งความมุ่งมั่น และไม่ยอมแพ้ แม้จะได้รับโอกาสเพียงฤดูกาลเดียวเท่านั้น
ทว่าเส้นทางของ “ก้อง-สมเกียรติ” ในการแข่งขันระดับโลกยังไม่จบลง เขายังคงเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่วงการมอเตอร์สปอร์ทไทย
โดยในฤดูกาล 2026 “ก้อง-สมเกียรติ” ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก Honda (ฮอนดา) ด้วยการดึงเข้าร่วมทีมโรงงานเพื่อลุยศึก World Superbike Championship กับสังกัด Honda HRC โครงการนี้ของ Honda มีความสำคัญอย่างมาก เพราะนี่คือการพิสูจน์ความแข็งแกร่งของรถแข่ง Honda CBR1000 RR-R ในเวทีสูงสุดของโลก
ที่ผ่านมา Honda ทุ่มเทอย่างหนักกับพโรเจคท์นี้ แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวสู่ชัยชนะได้ ฉะนั้น “ก้อง-สมเกียรติ” และว่าที่ทีมเมทอย่าง เจค ดิกสัน จึงกลายเป็นความหวังใหม่ของพวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนี้ Honda ยังปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในทีม World Superbike Championship ด้วยการเปลี่ยนทีมบริหารชุดใหญ่ รวมถึงทีมทดสอบที่ดึงตัวแชมพ์โลก 6 สมัยอย่าง โจนาธาน เรีย เข้ามาเป็นนักบิดทดสอบของทีม
นี่คือการส่งสัญญาณว่า Honda มุ่งมั่นที่จะทวงความสำเร็จใน World Superbike ให้ได้ และ “ก้อง-สมเกียรติ” ก็คือหนึ่งใน “คีย์แมน” ของพวกเขา
แม้เส้นทางของ “ก้อง-สมเกียรติ” กับ MotoGP จะสิ้นสุดลงในปี 2025 แต่การเดินทางของเขาในเวทีมอเตอร์สปอร์ทโลกยังไม่สิ้นสุด
เราจะได้เห็นนักบิดไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ลงแข่งขันในศึก World Superbike Championship แบบเต็มฤดูกาล และที่สำคัญ คือ การได้ร่วมสังกัดทีมโรงงานของ “Honda HRC” ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทีมใด
ฉะนั้น นี่คือความหวังใหม่ของวงการมอเตอร์สปอร์ทไทย ที่มี “ก้อง” สมเกียรติ จันทรา เป็นผู้ขีดเขียนบนหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง
ในวันที่ 26-27 พฤศจิกายนนี้ คู่หูไลน์อัพนักบิดคู่ใหม่ของทีม Honda HRC อย่าง "ก้อง" สมเกียรติ จันทรา นักบิดไทย และเจค ดิกสัน ทีมเมทชาวอังกฤษ จะเข้าร่วมการทดสอบกับทีมเป็นครั้งแรกในฐานะ ทีมโรงงาน ในศึก World Superbike Championship ที่ เซอร์กิโต เด เฮเรซ ประเทศสเปน
“ก้อง-สมเกียรติ” และดิกสัน จะร่วมงานในฐานะทีมเมทเป็นครั้งแรก หลังจากที่ดวลกันใน Moto2 กว่า 6 ปี ซึ่งทั้งคู่ถือว่ามีความคุ้นเคยกันดีในฐานะเพื่อนร่วมสนาม

บทความแนะนำ

