ทดสอบ(formula)
GWM TANK 500 ULTRA ตัวลุยระดับหรู “ของแท้” เลือดมังกร !
รถยนต์สายพันธุ์ลุยแบบเอสยูวี ยังคงเป็นที่ต้องการของใครหลายคน ปัจจุบันมีทางเลือกมากมายหลายยี่ห้อ หลายระดับราคา แต่หากต้องการเอสยูวีที่มีความหรู ภูมิฐาน ออพชันแน่น ราคาค่าตัวก็ค่อนข้างสูงระดับหลายล้านบาท ล่าสุดมีทางเลือกที่น่าสนใจจากค่ายรถสัญชาติจีนโดย GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) นำเสนอบแรนด์รถยนต์ใหม่ สำหรับสายพันธุ์ลุยโดยเฉพาะ และนี่คือ ตัวทอพของค่าย TANK 500 (แทงค์ 500) จะหรูลงตัว และลุยได้โดนใจแค่ไหน มาทดสอบกันทั้งทางเรียบ และทางสมบุกสมบัน !
EXTERIOR ภายนอก
จุดเด่นแรกของ TANK 500 คือ รูปทรงของตัวถังที่เน้นความบึกบึนแบบชัดเจน ด้วยส่วนหน้าของตัวรถที่มีขนาดใหญ่จากกระจังหน้า และชุดกันชน รวมถึงฝากระโปรงที่มีสันเหลี่ยมบึกบึน ชวนให้นึกถึงตัวลุยขนาดใหญ่ที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในบ้านเรา นั่นคือ TOYOTA LAND CRUISER (โตโยตา แลนด์ ครูเซอร์) ตรงกลางกระจังหน้าติดตั้งโลโกขนาดใหญ่ของ TANK ใช้วัสดุโครเมียมเสริมความหรูหรา ส่วนไฟหน้า และไฟตัดหมอกแบบแอลอีดี ด้านข้างตัวถังเน้นสันเหลี่ยมพาดยาวถึงส่วนท้าย ส่วนเสาที่ทำมุมค่อนข้างตั้งชันตามสไตล์เอสยูวีขนานแท้ ขณะที่ไฟท้ายจัดเรียงในแนวตั้งมีความทันสมัยผสมผสานอยู่ ประตูบานท้ายขนาดใหญ่ ติดตั้งระบบดูดประตูอัตโนมัติเพิ่มความสะดวกสบายขณะปิด ที่ขาดไม่ได้ คือ ยางอะไหล่ติดตั้งนอกตัวถัง เป็นจุดที่น่าจะสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ชื่นชอบรถยนต์สายพันธุ์แบบดั้งเดิมได้ดี (แม้ยางอะไหล่จะบดบังทัศนวิสัยด้านหลังของผู้ขับเล็กน้อย) โดยยางอะไหล่จะมีฝาครอบปิดชิด ออกแบบให้มีความกลมกลืนกับตัวถังส่วนท้ายของ TANK 500 ส่วนล้อแมกมีขนาดใหญ่ถึง 20 นิ้ว (ยาง CONTINENTAL CROSSCONTACT ขนาด 265/50 R20) ตัวรถมีความสูงค่อนข้างมาก แต่รุ่นทอพ ULTRA ติดตั้งบันไดด้านข้างสามารถเปิด/ปิดด้วยไฟฟ้า ทำให้การขึ้น/ลงรถคันนี้ทำได้สะดวก อย่างไรก็ตาม แม้เส้นสายจะมีความหรูหรา บึกบึนอย่างน่าพอใจ แต่เรามีความรู้สึกว่าระยะฐานล้อของรถยนต์รุ่นนี้ยังค่อนข้างสั้น เมื่อเทียบกับความบึกบึนของตัวรถโดยรวม ทำให้สัดส่วนมุมมองในบางจุดดูไม่สมดุลเสียทีเดียว
INTERIOR ภายใน
ห้องโดยสารของ TANK 500 รุ่นทอพ ULTRA มีการตกแต่งที่หรูหรา ภูมิฐาน พร้อมความกว้างขวาง และพื้นที่ใช้สอยที่มีให้อย่างเหลือเฟือ วัสดุที่ใช้งานกับห้องโดยสารของเอสยูวีรุ่นนี้มีความทันสมัย และดูหรูหราในตัว ผสมผสานการใช้งานแบบดิจิทอล ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผลหลักขนาดใหญ่ และจอแผงหน้าปัดแบบดิจิทอลเต็มตัว สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลากหลาย เสริมความหรูหราด้วยนาฬิกาแบบแอนาลอกติดตั้งบริเวณตรงกลางคอนโซลหน้า คล้ายกับตัวลุยระดับหรูรุ่นคลาสสิคบางรุ่น พวงมาลัยมีขนาดใหญ่ คันเกียร์มีรูปทรงที่แปลกตา มีลักษณะดันขึ้น/ลงสำหรับการเปลี่ยนโหมดเกียร์ พร้อมปุ่มใช้งานรอบๆ คันเกียร์ รวมถึงการใช้งานของโหมดการลุยทางสมบุกสมบันรูปแบบต่างๆ สามารถปรับได้ผ่านปุ่มหมุนถัดจากคันเกียร์ มีหลากหลายระบบให้เลือกใช้งาน ทำให้เอสยูวีคันนี้ลุยได้หลากหลายรูปแบบ ภายใต้ตัวถังที่หรูหรา
เบาะแถวที่ 2 ของ TANK 300 มีความกว้างขวางดีมาก เห็นได้จากระยะช่วงขาที่มีอย่างเหลือเฟือ มีปุ่มใช้งานช่องแอร์ด้านหลังพร้อมปุ่มควบคุมแยกต่างหาก ตัวเบาะสามารถปรับเอน และเลื่อนหน้า/หลังได้ ระดับของเบาะค่อนข้างสูง ทำให้ผู้โดยสารด้านหลังมีทัศนวิสัยที่ปลอดโปร่ง ไม่อึดอัด ตัวเบาะมีการตัดเย็บที่ประณีต นั่งได้สบาย นอกจากนี้ ในรุ่นทอพ ULTRA มีการติดตั้งเบาะแถวที่ 3 สามารถพับเก็บได้ราบกับพื้นห้องโดยสาร ความกว้างขวางของเบาะแถวที่ 3 ทำได้ดีในระดับหนึ่ง ผู้ใหญ่สามารถนั่งโดยสารได้ (แม้ยังไม่เหมาะสำหรับการโดยสารทางไกลเป็นระยะเวลานานหลายชั่วโมงก็ตาม) อย่างไรก็ตาม หากมีการใช้งานเบาะแถวที่ 3 สำหรับการโดยสาร เบาะแถวที่ 2 จำเป็นต้องเลื่อนไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อแบ่งปันพื้นที่สำหรับผู้โดยสารแต่ละตำแหน่ง เรามีความคิดว่า การขึ้น/ลงเบาะแถวที่ 3 ควรเพิ่มระบบพับเบาะแถวที่ 2 ด้วยไฟฟ้าจะมีความสะดวกกว่านี้ไม่น้อย
ENGINE เครื่องยนต์
ขุมพลังของ TANK 500 คือ เครื่องยนต์ระบบไฮบริด ประกอบด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 244 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 106 แรงม้า ทางผู้ผลิตไม่ได้ระบุกำลังสูงสุดทั้งระบบ แต่ระบบไฮบริดของเอสยูวีเป็นแบบคู่ขนาน เน้นแรงบิดสูง โดยเครื่องยนต์มีแรงบิดสูงสุดที่ 38.7 กก.-ม. และมอเตอร์ไฟฟ้า คือ 27.3 กก.-ม. กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ส่วนคู่เปรียบเทียบสมรรถนะ เราลองการทดสอบแบบ “ชกข้ามรุ่น” นำอีกหนึ่งเอสยูวีระดับตำนาน (แต่ถูกนำมาพัฒนาให้มีความทันสมัยสำหรับยุคปัจจุบัน) นั่นคือ LAND ROVER DEFENDER 110 (แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ 110) รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แม้จะมีความแตกต่างทางด้านราคา และชื่อชั้นโดยรวม แต่สมรรถนะจะแตกต่างกันแค่ไหน มาดูกัน
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. TANK 500 ทำเวลาที่ 9.4 วินาที ขณะที่ LAND ROVER DEFENDER คือ 10.0 วินาที การส่งกำลังของเอสยูวีแดนมังกร อาศัยความได้เปรียบจากแรงบิดในช่วงรอบเครื่องยนต์ต่ำ และแรงม้าที่สูงของเครื่องยนต์เบนซิน สามารถออกตัวได้อย่างฉับไว มีความได้เปรียบเครื่องยนต์ดีเซลของตัวลุยสัญชาติอังกฤษเล็กน้อย มาต่อกันที่อัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. TANK 500 ทำเวลาได้ที่ 31.9 วินาที (ที่ความเร็ว 155.9 กม./ชม.) ส่วน LAND ROVER DEFENDER มีตัวเลขที่ 31.7 วินาที (ที่ความเร็ว 160.6 กม./ชม.) ในช่วงความเร็วตีนปลาย แล่นเป็นระยะทางยาว ยังคงมีความสูสีเกินคาด ทางฝั่ง DEFENDER อาศัยการส่งกำลังที่ต่อเนื่อง และมีความเร็วปลายสูงกว่าเล็กน้อย ชิงความได้เปรียบกลับมาในส่วนนี้ เรามีความเห็นว่าตัวถังด้านหน้าที่หนาของ TANK 500 อาจทำให้มีการต้านลมค่อนข้างมาก ช่วงความเร็วตีนปลายอาจมีแผ่วเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าน่าพอใจสำหรับเอสยูวีขนาดใหญ่เช่นนี้
สำหรับอัตราเร่งยืดหยุ่นเสมือนการเร่งแซง ที่ความเร็ว 60-100 และ 80-120 กม./ชม. TANK 500 มีอัตราเร่งที่ 4.6 และ 5.2 วินาที ส่วน LAND ROVER DEFENDER ทำได้ที่ 5.5 และ 7.1 วินาที แสดงให้เห็นว่า การตอบสนองของระบบไฮบริดมีความกระฉับกระเฉงอย่างน่าพอใจ สามารถพาตัวถังขนาดใหญ่ของ TANK 500 ทำอัตราเร่งได้อย่างฉับไว การส่งกำลังของเกียร์ในบางจังหวะอาจมีอาการสะดุดเล็กน้อย แต่ไม่รบกวนการขับขี่ และการทำอัตราเร่งแต่อย่างใด เป็นระบบไฮบริดที่ถูกพัฒนาสำหรับการเสริมกำลังขับเคลื่อนร่วมกับเครื่องยนต์ ไม่ได้เน้นที่ความประหยัดแต่อย่างใด ทำให้จุดอ่อนของระบบไฮบริดของ TANK 500 คือ การประหยัดเชื้อเพลิง ที่น่าจะทำได้ดีกว่านี้ในแง่ของการใช้งานระบบไฮบริด แต่ในแง่ของผู้ที่ต้องการพละกำลังของการขับเคลื่อนอาจเป็นเรื่องที่พอรับได้
SUSPENSION ระบบรองรับ
การเป็นตัวลุยเต็มตัวแบบนี้ สมรรถนะบนทางเรียบอาจยังไม่พิสูจน์ตัวเองได้มากพอ ประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบัน คือ หนึ่งในสิ่งที่ท้าทายสำหรับ TANK 500 คันนี้ โดยเฉพาะการเป็นรถยนต์สัญชาติจีนที่เดิมทีไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนักในแง่ของการพัฒนาเอสยูวีขนานแท้แบบนี้ ! เรานำรถยนต์คันนี้มาผ่านบททดสอบในสนาม SPIRIT ADVENTUROUS GROUND ซึ่งมีสถานีทดสอบการลุยหลากหลายรูปแบบ การลุยผ่านแต่ละสถานีเราลองใช้งานโหมดการขับขี่ต่างๆ ของ TANK 500 ไม่ว่าจะเป็น โหมดการลุยทางผืนทราย ลุยโคลน การปรับโหมดการส่งกำลังของชุดเฟืองส่งกำลังรูปแบบต่างๆ และพบว่าเอสยูวีสัญชาติจีนคันนี้สามารถแล่นผ่านได้ดีเกินคาด ! การปรับแต่งระบบส่งกำลัง รวมถึงหน่วยประมวลผลเพื่อแปรผันการส่งกำลังทำได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่างๆ สามารถลุยได้จริง ภายใต้ตัวถังที่มีขนาดใหญ่ และเส้นสายหรูหราเช่นนี้ นอกจากนี้ ยังเสริมประสิทธิภาพการลุยด้วยการแสดงผลที่ชัดเจนผ่านหน้าจอหลัก รวมถึงการแสดงผลของโหมดสำหรับการลุยน้ำ สามารถบอกระยะความสูงของน้ำที่ตัวรถแล่นผ่านได้ด้วย (ทางผู้ผลิตระบุว่าสามารถลุยน้ำได้สูงสุดที่ความลึก 800 มม.) และยังมีออพชันที่น่าสนใจ คือ ระบบ TANK TURN ช่วยให้การเลี้ยวในที่แคบที่ความเร็วต่ำมีความคล่องตัวยิ่งขึ้นจากวงเลี้ยวที่แคบลง หลักการทำงานเบื้องต้น คือ ระบบจะทำการลอคล้อด้านหลังฝั่งที่อยู่ด้านในโค้ง ให้เป็นเสมือนจุดหมุนของตัวรถขณะการเลี้ยว ทำให้วงเลี้ยวแคบลงอย่างได้ผลbetflix
บทพิสูจน์ตัวลุยสัญชาติจีน คือ ของแท้
การทดสอบสมรรถนะในส่วนต่างๆ ของ TANK 500 ช่วยพิสูจน์ได้ในเบื้องต้นว่า เอสยูวีคันนี้มีประสิทธิภาพที่ลงตัวในหลายด้าน ไม่ใช่แค่ความใหญ่โต และความหรูหราภูมิฐานเท่านั้น การขับเคลื่อนของระบบไฮบริดมีสมรรถนะที่น่าพอใจ มีความกระฉับกระเฉงเกินคาด อัตราเร่งที่ทำได้ดีสำหรับตัวถังระดับดังกล่าว โดยเฉพาะอัตราเร่งยืดหยุ่นที่มีการส่งกำลังอย่างต่อเนื่อง และที่ขาดไม่ได้ คือ ประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบันที่ทำได้ดีมาก ผ่านระบบขับเคลื่อนที่ทางค่ายรถพัฒนาขึ้นมาสำหรับสายพันธุ์ของ TANK โดยเฉพาะ สามารถลุยได้หลากหลายสภาวะ โดยไม่ต้องอาศัยทักษะในการขับมากเกินไป เป็นหนึ่งในความชาญฉลาดของระบบสำหรับการลุยทางสมบุกสมบันของรถยนต์รุ่นนี้ กับรุ่นทอพ ULTRA ที่มีราคา คือ 2,269,000 บาท (รุ่นเริ่มต้น PRO คือ 2,049,000 บาท) อาจดูสูงกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป แต่ยังคุ้มค่าในแง่ของความครบครันของการใช้งาน และออพชันโดยรวม ใครที่มีงบประมาณมากพอ และต้องการตัวลุยที่ครบครันยิ่งกว่าเอสยูวีสไตล์พีพีวี ที่มีราคาในระดับ 1 ล้านบาทปลายๆ ราคาที่จ่ายเพิ่มขึ้นมาสำหรับ TANK 500 ถือว่ายังคุ้มค่า !