ทั่วไป
อันที่จริงผมรังเกียจเรื่องการมงการเมืองไม่น้อย โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ผมเอียนเต็มที ไม่อยากเอ่ยถึง แต่ในยามที่ชาติประสบปัญหาถึงขั้นวิกฤติอย่างน่ากลัว จึงกัดฟันเอ่ยถึง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง
อันที่จริงผมรังเกียจเรื่องการมงการเมืองไม่น้อย โดยเฉพาะที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ผมเอียนเต็มที ไม่อยากเอ่ยถึง แต่ในยามที่ชาติประสบปัญหาถึงขั้นวิกฤติอย่างน่ากลัว จึงกัดฟันเอ่ยถึง เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง
สิ่งที่อยากจะพูด คือ ปัญหาที่พ่อแม่พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ กำลังเกิดความละเหี่ยเพลียใจกับเรื่องการเมืองในระยะนี้ ความละเหี่ยมาจากสิ่งที่ "กลืนไม่เข้าคายไม่ออก" ได้แต่กลอกหน้าทำตาปริบๆ เมื่อรู้ว่าอีกในไม่ช้าต้องมีการเลือกตั้ง เพื่อจะได้อ้างกับชาวโลกว่า ฉันก็เป็นประชาธิปไตย ไม่ให้ประเทศอื่นรังเกียจรังงอนในการคบหา
คนไทยกลืนไม่เข้า เพราะถ้าจะ "กลืนลงไป" หมายถึง กลืนหรือยอมรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่เจ้ากรรมในช่วงหลัง ๆ หลายปีที่ผ่านมา เราเป็นประชาธิปไตยแต่ในนาม หรือ "กำมะลอ"
บรรดานักการเมืองที่ชูคออยู่ในสภา หรือเป็นรัฐมนตรี รัฐมนโท ส่วนใหญ่เป็น "นักเลือกตั้งอาชีพ" ที่ใช้วิธีการซื้อเสียงทั้งทางตรง และทางอ้อมเข้ามา คนเหล่านี้นับวันมีแต่จะเชี่ยวชาญการซื้อเสียงมากยิ่งขึ้น จนสามารถผูกขาดการเป็นผู้แทนได้ทุกสมัย คนเหล่านี้ไม่ใช่ผู้อาสา หรือรับใช้ชาติ รับใช้ประชาชน ตามแนวทางประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังที่ปรากฏในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
แล้วบ้านเมืองก็ตกอยู่ในวังวนของการคอร์รัพชันอย่างไม่มีสิ้นสุด แถมยังโจ๋งครึ่มมากขึ้น นักเลือกตั้งต้มยำทำแกงชาติบ้านเมืองตามอำเภอใจมากขึ้น และนับวันคนไทยจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ด้วยความปวดใจมากขึ้น แต่จำนวนผู้รู้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสลัดนักเลือกตั้งอาชีพ ไม่ให้สิงสู่ในชาติบ้านเมืองนี้ได้ และไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่ นักเลือกตั้งอาชีพที่ตั้งหน้ายึดถือเอาการเมืองเป็นธุรกิจจะหมดไป ดังนั้นการยอมรับ หรือกลืนเอาประชาธิปไตยแบบไทยๆ ลงไป จึงพะอืดพะอมเหมือนกลืนเอาอาจมเน่าเหม็นนั่นเอง
ครั้นเราจะ "คาย" สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยลงกระโถน เราก็ต้องปกครองอย่างไม่มีการเลือกตั้ง หรือที่เรียกว่าเผด็จการ ดังเช่นที่หลายประเทศดำรงอยู่ และหลายประเทศไปได้สวย ไม่คละคลุ้งด้วยพฤติกรรมน่ารังเกียจของนักเลือกตั้งอาชีพ ก็ทำไม่ได้ เราหลวมตัวยอมรับประชาธิปไตยแบบพ่อค้าแบบจอมปลอมมาหลายเวลาแล้ว ถ้าเราคายทิ้งประชาธิปไตยที่ชวนอาเจียนออกไป คงโดนข้อหาจากชาวโลก และถูกโดดเดี่ยวแน่ๆ โดยที่ชาวโลกไม่รู้หรอกว่า "ไส้ของเรากำลังจะเป็นหนอง" จากน้ำมือนักเลือกตั้งอาชีพ
ขณะที่ สสร. กำลังร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หลังจากล้มล้างรัฐบาลที่ผ่านมาซึ่งรำๆ จะทำให้คนไทยออกมาเข่นฆ่ากันจนนองเลือด ชนิดที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน มีคนเสนอให้การเป็นผู้แทนมีขีดจำกัด ไม่เกินคนละสองสมัย เพื่อขจัดนักเลือกตั้งอาชีพที่เห็นหน้าซ้ำซากออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ นักเลือกตั้งอาชีพร้องเสียงหลงคัดค้านระเบ็งเซ็งแซ่
สรุปแล้ว รัฐธรรมนูญที่จะคลอดออกมาในไม่ช้า ถ้าไม่มีไม้เด็ด จัดการกับนักการเมืองไม่พึงปรารถนาได้อย่างเข้มแข็งจริงจังทันทีทันใดชนิดไม่มีอายุความ พวกเราก็ต้องกัดฟันกล้ำกลืนเอานักเลือกตั้งอาชีพ ซึ่งจำนวนไม่น้อยมีแผลเต็มตัว หรือหลายแผล เข้ามาวุ่นวายในบ้านนี้เมืองนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมกับนั่งใจสั่นภาวนาสาธุให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์พระสยามเทวาธิราชช่วยปกปักรักษา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ให้รอดพ้นจากเภทภัยความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นจากน้ำมือของนักเลือกตั้งอาชีพดังเช่นที่ผ่านมา
อันที่จริงน่าแปลก บรรดานักเลือกตั้งอาชีพส่วนใหญ่มีเงินทองทรัพย์สินมากมายก่ายกอง เป็นเศรษฐี เป็นเจ้าสัว สามารถดำรงชีพอย่างสุโขโดยไม่ข้องแวะการเมือง ไม่ต้องยึดการเมืองเป็นพาณิชยกิจ ไม่ต้องเป็นนักเลือกตั้งอาชีพให้คนไทยพะอืดพะอม แต่เขา
ไม่ยอมละเลิก ต่างมุ่งหน้ายึดกุมประเทศไทยต่อไปในลักษณะที่เรียกว่า กูไม่ชักดิ้นชักงอล้มตายลงไป กูไม่เลิก ทานโทษอย่าหาว่าหยาบ มันเป็นยังงั้นจริงๆ สรุปแล้วเป็นกรรมอย่างหนึ่งของประเทศไทย
อันที่จริงอีกเรื่องหนึ่ง ถ้านักเลือกตั้งอาชีพสงบสติอารมณ์ พิจารณาถึงความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างถ่องแท้ รู้ว่าประเทศชาติต้องการประชาธิปไตยที่แท้จริง มีความรักและคำนึงถึงความอยู่รอดของชาติบ้านเมืองอยู่ในตัวตน ท่านสามารถเสียสละล้างมือ
ในอ่างทองคำ บอกว่าอั๊วเลิกเป็นนักเลือกตั้งอาชีพแล้วนะ หันมายืนอยู่ข้างสนาม อาศัยวิทยายุทธที่มีอยู่เต็มพุง รู้ทางหนีทีไล่ของพวกโกงกิน คอยกำกับควบคุมเตือนภัย ตะโกนบอกให้บ้านเมืองรับรู้ ย่อมเป็นอานิสงส์อย่างสูง ได้บุญกุศลอย่างยิ่งจริงไหมมีคนวิเคราะห์แบบง่ายๆว่า ที่เราเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้เพราะเรามีคน "ไม่ฉลาด" มากเกินไป นักเลือกตั้งอาชีพที่คนไทยเบื่อแล้วเบื่ออีก ซึ่งเกาะกันเป็นก๊วน และเปลี่ยนพรรคเปลี่ยนค่ายเหมือนเปลี่ยนถุงเท้า นับแล้วจำนวนไม่มากเลย เมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ จึงฉวยโอกาสยึดประเทศนี้ไว้ได้อย่างหวานคอแร้ง ยึดได้โดยง่าย เลือกตั้งเมื่อไหร่ กูหน้าแหลมเข้ามาได้สบายโก๋ ชนิดที่สาธุชนคนไทยที่อยากเห็นบ้านเมืองไปโลด แกะไม่หลุด ท้อ แท้และหมดอาลัยตายอยาก
ครับ ขอใช้สิทธิสำแดงความคิดเห็นมา ณ ที่นี้ด้วยความห่วงใยบ้านเมืองซึ่งคงจะตกอยู่ในวังวนเดิมๆ อีกต่อไป ส่งผลให้ประเทศไทยเล่นเพลง เล่นดนตรี ในลีลาเก่าเรื่อยมา "สาละวันเตี้ยลงสาละวันถอยหลัง" นั่นเอง
ที่เห็นๆ คือ ประเทศที่เผชิญสงครามฆ่าแกงผู้คนล้มตายเป็นเบืออยู่หลายทศวรรษอย่างเวียดนาม กำลังจะมี "รถไฟความเร็วสูง" หรือรถไฟหัวกระสุนในไม่ช้า ขณะที่เราโกงกินเรื่องรถไฟมายาวนาน และไม่รู้จบ กิจการรถไฟล้าหลังมาตลอด จนกระทั่งบัดนี้ อีกหน่อยลาว กัมพูชา เขามีมั่ง โดยเรายังไปไม่ถึงไหน คงดูไม่จืด ต้องเอาปี๊บคลุมหัวทั้งประเทศ เศร้าใจไหมพี่น้อง
สำหรับคดีความงวดนี้เป็นเรื่องรถโดนกัน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ แล้วมีการไปทำความตกลงที่โรงพักในระดับหนึ่ง ลงท้ายไอ้ที่ตกลงกันไว้ระดับหนึ่งนี่เอง ทำให้ฝ่ายที่เสียหายอย่าง "นายสว่างไสว" หน้ามืด ค้าความถึงศาลฎีกาจบไปแล้ว 3 ศาล ยังไม่รู้ว่าหมู่หรือจ่า ทำไมถึงยุ่งยากขนาดนั่น เรามาดูกันต่อไป
เหตุเกิดขึ้นแล้ว นายสว่างไสว ได้รับบาดเจ็บแต่ไม่มาก ขณะที่คนขับรถกระบะโดยประมาทมาชนรถของ นายรู้จริง คือ "นายชั้นอ๋อง" นั้นมีความผิดทางอาญาอยู่ด้วย ร้อยเวรเจ้าของคดีที่เป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบปรับ
นายชั้นอ๋อง ชื่อเท่ก็จริง แต่เป็นแค่ลูกจ้างของ "นางพอทน" จึงอยากจ่ายค่าปรับแต่น้อย พยายามอ้อนตำรวจให้ช่วยเหลือและยอมรับผิดไม่หัวหมอ มีการทำบันทึกประจำวันว่าจะซ่อมรถให้ของ นายสว่างไสว ตำรวจจะได้ลงโทษปรับแค่เบาบาง งานนี้จ่ายไป 400 บาท
ลงจากโรงพักไปแล้ว นายชั้นอ๋อง กับ นางพอทน ซึ่งเป็นนายจ้างและเป็นเจ้าของรถทำเมิน ไม่สนใจ นายสว่างไสว อีกเลย รถก็ไม่ซ่อมให้
นายสว่างไสว จึงต้องกัดฟันค้าความ จ้างทนายยื่นฟ้อง นางพอทน กับ นายชั้นอ๋อง ให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายค่ารักษาพยาบาล เป็นเงินก้อนหนึ่ง
นายชั้นอ๋อง ทำตามธรรมเนียมลูกจ้างทั้งหลาย นอนตีพุงอยู่บ้านไม่สนใจคดีความที่โดนฟ้อง ถือว่าไม่มีอะไรจะเสีย ส่วน นางพอทน ซึ่งเป็นเถ้าแก่เนี้ยขี้เหนียวตามประสาคนมีสตางค์ จัดแจงสู้คดีอ้างว่าตามบันทึกประจำวัน นายชั้นอ๋อง ลูกจ้างของตนได้แอ่นอกรับผิดอย่างเต็มๆ ถือว่าทำสัญญาประนีประนอมยอมความ คดีละเมิดที่ นายชั้นอ๋อง ก่อขึ้นจบไปแล้ว มาเรียกร้องจาก นางพอทน ไม่ได้หรอก
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องของ นายสว่างไสว
นายสว่างไสว ถึงกับหน้ามีด ต้องกัดฟันอีกยกหนึ่ง ยื่นอุทธรณ์เพื่อเอาชนะ คดี
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว เห็นว่างานนี้ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาใหม่ ด่วนยกฟ้องทันทีตามที่จำเลยต่อสู้คดีไม่ได้ บันทึกประจำวันยังไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงพิพากษายกคำตัดสินของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นคลำคดีนี้อีกที แล้วตัดสินใหม่
นั่นหมายความว่า คดีของ นายสว่างไสว ยังไม่ปรากฏผลว่าจะหัวหรือก้อยหมู่หรือจ่า ที่สำคัญ นางพอทน ไม่ยอมแพ้ ยื่นฎีกาขึ้นไป ขอให้ยกฟ้องเหมือนอย่างที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ เดี๋ยนจะขอบคุณอย่างเหลือหลาย
ศาลฎีกาต้องนำคดีนี้มาคลำ แล้วชี้ขาดออกมาว่า
งานนี้นาย สว่างไสว กับ นายชั้นอ๋อง พบร้อยเวร มีการทำบันทึกเกี่ยวกับค่าเสียหายระบุไว้ว่า ข้อ 1 นายชั้นอ๋อง ยินยอมซ่อมแซมรถยนต์เก๋งของ นายสว่างไสว ให้อยู่ในสภาพเดิม จะเปลี่ยนประตูหน้าและประตูหลังขวากระจกมองข้างขวารวมทั้งคิ้วด้านขวา ส่วนที่เหลือหากซ่อมแซมได้จะซ่อมให้อยู่ในสภาพปกติ ข้อ 2. นายสว่างไสว รับทราบข้อเสนอของ นายชั้นอ๋อง แล้วยินยอมในข้อเสนอทุกประการ
บันทึกลักษณะนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า นายชั้นอ๋อง ยอมรับผิดในทางอาญาว่า เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายจริง โดยระบุรายละเอียดความเสียหายที่ยินยอมซ่อมแซมให้ เพื่อหาทางบรรเทาโทษในการโดนเปรียบเทียบปรับเท่านั้น ดังจะเห็นได้จากข้อความในเอกสารมีต่อไปว่า นายชั้นอ๋อง ยอมรับแจ้งข้อหา และรับสารภาพยอมให้เปรียบเทียบปรับ นายสว่างไสว ผู้เสียหายก็ไม่ขัดข้อง ตำรวจจึงปรับ 400 บาท
ในบันทึกไม่ได้มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอน เกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระวิธีการชำระตลอดจนระยะเวลาที่แน่นอน ที่จะทำให้ปราศจากข้อโต้แย้งใดๆ ต่อกันอีก ทั้งนี้เพราะยังมีข้อความว่า ส่วนที่เหลือหากซ่อมแซมได้จะซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพปกติ ข้อตกลงดังกล่าวจึงยังไม่ชัดแจ้งว่ามีการตกลงระงับข้อพิพาทโดยยอมสละข้อเรียกร้องอื่นทั้งสิ้น จึงไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมตามที่ศาลอุทธรณ์ว่าไว้ ข้ออ้างของ นางพอทน ฟังไม่ขึ้น ต้องเป็นเรื่องยาวต่อไป
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน
นั่นหมายความ ว่าคดีผ่านไป 3 ศาล ยังไม่ได้ตัดสินออกมาว่า นายสว่างไสว จะได้เงินหรือไม่เท่าไร เพราะคดีต้องวกเป็นบูมเบอแรง กลับไปที่ศาลชั้นต้นอีกกระทอกหนึ่ง โดย นายสว่างไสว ได้เปรียบอยู่นิดหนึ่ง คือ บันทึกประจำวันศาลชี้ไว้แล้วว่า ไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ นางพอทน หมดสิทธิ์ที่จะนำประเด็นนี้มานอค นายสว่างไสว
ศาลชั้นต้นจึงต้องรับคดีนี้มาพิจารณาต่อไปตามเนื้อผ้าว่า นายชั้นอ๋อง ขับรถประมาทหรือไม่ สร้างความเสียหายให้แก่ นายสว่างไสว แค่ไหน แล้วตัดสินไปตามนั้น
อย่างว่า ถ้า นางพอทน ตื้อซะอย่าง ก็เล่นเกมยาวได้อีก ด้วยการอุทธรณ์ฎีกาเมื่อไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินให้ตนแพ้คดี ถึงได้บอกแต่แรกว่า นายสว่างไสว หน้ามืด ขึ้นศาลจนหายอยากก็แล้วกัน
ข้อแนะนำ ถ้าไม่แน่ใจว่าการลงชื่อแซ่หรือทำสัญญาเมื่อเกิดเหตุขึ้นจะมีผลบวกลบอย่างไร ควรยั้งมือไว้ก่อน กรณีที่คนขับรถเป็นแค่ลูกจ้าง ไม่ใช่เจ้าของ ยิ่งต้องระวัง ผลีผลามจะไล่เบี้ยเอาจากเถ้าแก่ไม่ได้นั่นเอง
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2842/2548
คดีรถ ตีพิมพ์ใน"ฟอร์มูลา" ส่งไป ๑๔ ก.พ.๕๐
ABOUT THE AUTHOR
"
"จอมยุทธ" fomula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน เมษายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ทั่วไป