รูปทรงของรถยนต์สามารถช่วยให้ตัวรถเคลื่อนที่ผ่านอากาศได้อย่างไรหากคิดถึงรูปทรงของรถยนต์ในทศวรรษ 80 คุณคงนึกถึงกล่องที่ตั้งอยู่บนล้อ แต่ปัจจุบัน รูปทรงของรถยนต์ ดูเพรียวลมมากขึ้น ซึ่งต้องขอบคุณบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่นำเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์ หรือแอโรไดนามิคมาใช้ ขณะที่รถยนต์เคลื่อนตัวผ่านอากาศ และผลักโมเลกุลของอากาศไปด้านข้าง จะทำให้เกิดแรงต้านทาน ที่เรียกว่า แรงต้านอากาศ ยิ่งรถยนต์เคลื่อนตัวเร็วมากเท่าไร แรงต้านอากาศก็มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น เครื่องยนต์จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้ความเร็วรถยนต์คงที่ ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และการทรงตัวไม่มั่นคงอีกด้วย อากาศพลศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่จะช่วยพัฒนายานยนต์ให้สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง โดยเกิดแรงต้านอากาศน้อยที่สุด รูปทรงของรถที่ลู่ลม และสามารถลดแรงต้านอากาศจากลมที่ผ่านตัวรถได้ กลายเป็นส่วนสำคัญของการออกแบบรถในปัจจุบัน ให้มีรูปทรงสวย และเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ รถยนต์ที่มีรูปแบบแอโรไดนามิค คือ รถยนต์ที่ด้านหน้ามีลักษณะลู่ลม หน้ารถจะต่ำลงเกือบจะแตะพื้น และลดสัดส่วนอุปกรณ์ที่ยื่นออกมาต้านลม ส่วนด้านหลังมีลักษณะเรียว เพื่อลดกระแสลม ข้อดีของการมีแอโรไดนามิคที่มีประสิทธิภาพ คือ ทำให้อากาศไหลเวียนรอบรถได้ดี ไม่ใช่แค่ลดแรงต้านอากาศ แต่ยังทำให้ประหยัดพลังงาน และทำให้รถเคลื่อนตัวได้เร็วขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ การระบายอากาศยังช่วยทำให้อุปกรณ์สำคัญของรถ เช่น เครื่องยนต์ และเบรค สามารถคงความเย็นไว้ได้ เพื่อรักษาสมรรถนะของรถ แม้จะถูกใช้งานอย่างหนักก็ตาม
ระบบแอโรไดนามิค มีความสำคัญกับรถแข่งเช่นกัน ต่างกันเพียงจุดประสงค์ รถยนต์ธรรมดาใช้ระบบแอโรไดนามิคเพื่อลดแรงต้านอากาศ แต่รถแข่งใช้เพื่อเพิ่มแรงกดที่เกิดขึ้นกับตัวรถเมื่อมีอากาศมาปะทะ เพื่อกดให้รถอยู่ติดพื้นขณะเคลื่อนตัว เพิ่มความเสถียร และช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วขึ้น เพราะรถแข่งไม่ต้องยึดหลักความปลอดภัยเหมือนกับรถทั่วไป ดังนั้นระบบแอโรไดนามิคในรถแข่งจึงจัดเต็มกว่า มีปีกหลังที่ใหญ่กว่า และสปอยเลอร์หน้าอยู่ต่ำเกือบติดพื้น การออกแบบที่สุดโต่งนี้ เกิดขึ้นเพื่อเพิ่มแรงกดอากาศสำหรับรถ ฟอร์มูลา วัน ถึงขนาดที่ (ตามหลักทฤษฎี) รถจะสามารถเคลื่อนที่แบบกลับหัว โดยที่ช่วงล่างยังยึดติดกับเพดานได้ !
คุณรู้จักอัลลอยที่หุ้มด้วยยาง ซึ่งทำหน้าที่ยึดรถไว้กับพื้นถนนมากแค่ไหนกัน
แม้ว่าหลายคนอาจจะมองข้าม แต่ล้อถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรถยนต์ เพราะเป็นส่วนเดียวที่เชื่อมรถเข้ากับถนน เครื่องยนต์จะสร้างพลังขับเคลื่อนรถไปบนไฮเวย์ได้สำเร็จ ก็ต่อเมื่อมีล้อเชื่อมต่อกับเพลา (ผ่านดุมล้อ) ที่หมุนด้วยพลังจากเครื่องยนต์ เมื่อเพลาหมุน ล้อจะทำให้รถเคลื่อนที่ได้
อย่างไรก็ตาม ล้อไม่เพียงทำให้รถเคลื่อนไหว แต่ยังทำให้รถหยุดได้อีกด้วย โดยผ่านระบบเบรคที่ประกอบไปด้วย จานเบรค และคาลิเพอร์บนล้อแต่ละล้อ จานเบรคนั้นยึดติดกับล้อและหมุนไปกับล้อ ในขณะที่คาลิเพอร์ทำหน้าที่เป็นตัวหนีบ เมื่อผู้ขับเหยียบคันเบรค ลูกสูบจะปิดตัวหนีบ ทำให้จานเบรกหมุนช้าลง และหยุดการเคลื่อนไหวของล้อ ทำให้รถหยุดในที่สุด
ล้อรถยังทำหน้าที่ยึดเกาะถนนและควบคุมทิศทางด้วย ยางที่หุ้มอยู่รอบล้อเป็นตัวยึดเกาะถนน ล้อหน้าจะเป็นตัวควบคุมทิศทางโดยเคลื่อนที่จากซ้ายไปขวา จากการหมุนของแกนพวงมาลัย
กระปุกเกียร์สามารถส่งต่อแรงขับจากเครื่องยนต์ไปที่ล้อได้อย่างไร กระปุกเกียร์ถูกติดตั้งเข้ากับเครื่องยนต์ และพลังงานจากเครื่องยนต์จะไหลผ่านกระปุกเกียร์ก่อนจะผ่านไปที่ล้อรถ ลูกสูบในเครื่องยนต์จะต้องสูบฉีดอย่างคงที่ ด้วยความเร็วอย่างน้อย 1,000 รตน. เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ดับ การจะหยุดรถไม่ให้ออกตัวด้วยความเร็วสูงสุด กระปุกเกียร์จะควบคุมพลังที่จะทำให้ล้อเคลื่อนให้เหมาะสม ฟันเฟืองและลำเกียร์ด้านในกระปุกเกียร์ จะสร้างอัตราส่วนที่แตกต่างขึ้นอยู่กับความเร็วและแรงบิด แต่ละเกียร์จะทำหน้าที่แตกต่างกันออกไปตามสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับความเร็วและลักษณะของถนน

